Friday, October 31, 2014

ได้เวลาล้างพิษให้ไต ด้วยอาหารเพื่อสุขภาพ




          อยากมีสุขภาพทีดีต้องรักไตให้มากขึ้น ได้เวลามาล้างพิษให้ไตด้วยอาหารเพื่อสุขภาพกันแล้วค่ะ

          ไต มีหน้าที่สำคัญในการขับของเสียออกจากร่างกาย จึงทำให้ไตเป็นอวัยวะที่ต้องทำงานหนักเพื่อให้ร่างกายของเราไม่มีสารพิษตกค้างจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และการทำงานอย่างหนักนั้นก็แปลว่าจะต้องมีสารพิษมากมายที่ตกค้างอยู่ที่ไต ซึ่งถ้าหากเราไม่ล้างพิษให้เจ้าอวัยวะนี้บ้าง ก็อาจส่งผลทำให้มันทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

          ว่าแต่เราจะทำอย่างไรดีล่ะ ไตของเราถึงจะสะอาดและทำงานได้ดีขึ้น แน่นอนค่ะว่ามีวิธีง่าย ๆ นั่นก็คือการกินไงล่ะ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และช่วยในการขับสารพิษได้ ก็สามารถทำให้ไตของเราได้ล้างพิษได้เช่นกัน วันนี้เราเลยนำตัวอย่างของอาหารที่ช่วยล้างพิษไตมาฝากจากเว็บไซต์ wellnesstoday.com ถ้ารักสุขภาพต้องรีบล้างพิษไตได้แล้วนะ


แอปเปิล

          ผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพ และเหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักชนิดนี้สามารถช่วยให้ไตของเราสะอาดขึ้นได้ค่ะ เพราะในแอปเปิลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย ทำหน้าที่ต่อสู้กับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี และลดอาการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไตทำงานได้แย่ลง นอกจากนี้มันยังช่วยในดูแลสุขภาพหัวใจอีกด้วยนะ

          วิธีการรับประทานก็ไม่ยากค่ะ ใครที่ชอบรับประทานสด ๆ ก็สามารถทานแบบสด ๆ ได้เลย แต่ถ้าใครชอบที่จะนำเจ้าผลไม้ชนิดนี้ไปรับประทานกับผักผลไม้ชนิดอื่นก็แค่หั่นแอปเปิลใส่ลงในสลัด หรือจะนำไปอบกับแครนเบอร์รี หรือโรยด้วยอบเชย และถ้าอยากให้รับประทานได้กับอาหารหลาย ๆ ชนิด ก็สามารถนำแอปเปิลไปทำเป็นซอสแบบไม่ผสมน้ำตาลก็ดีนะ จะได้รับประทานแอปเปิลได้มากขึ้นไงล่ะ

  
แตงโม

          แตงโม ผลไม้ที่เราชอบรับประทานเวลาร้อน ๆ มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 92% เมื่อเทียบกับกล้วยที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ 74% ซึ่งปริมาณน้ำที่สูงขนาดนี้สามารถช่วยล้างพิษให้ไตได้ เพราะไตของเราจะมีสุขภาพดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่เราได้รับเข้าสู่ร่างกายนั่นเอง ถ้าหากอยากล้างสารพิษให้ร่างกาย การดื่มน้ำแตงโมปั่นในช่วงเช้าก็เป็นความคิดที่ดีนะคะ โดยอาจจะเติมโยเกิร์ตธรรมชาติและพืชตระกูลเบอร์รีลงไปสัก 1 กำมือ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์มากขึ้น แถมยังทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอีกด้วยล่ะ

 
คะน้า

          ไฟเบอร์ปริมาณสูงที่อยู่ในคะน้า มีประโยชน์ต่อระบบการย่อยและการล้างพิษ แถมยังช่วยทำให้ตับและไตขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่ได้รับจากผักใบเขียวอีกด้วย คะน้าเป็นผักที่นำมาปรุงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด หรือจะนำไปทำเป็นซุปก็ได้ แล้วแต่จะสะดวก แต่ก็ควรจะผ่านความร้อนให้สุกก่อนนะคะ เพราะคะน้าเมื่อถูกนำมาปรุงให้สุกแล้วจะให้สารอาหารได้มากกว่าตอนที่สดอีกล่ะค่ะ

 
บรอกโคลีและกะหล่ำดอก

          หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าเจ้าบรอกโคลีและกะหล่ำดอกนี้มีประโยชน์สูงมาก เช่นเดียวกับคะน้าซึ่งแน่นอนว่าช่วยในการล้างพิษไตได้เช่นกันค่ะ ซึ่งจะช่วยให้ไตทำงานได้ดียิ่งขึ้น สารอาหารที่อยู่ในผักทั้งสองชนิดนี้ก็ยังส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างทรงประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย และถ้าคิดไม่ออกว่าจะรับประทานอะไรดี ลองซื้อบรอกโคลีหรือกะหล่ำดอกมาปรุงอาหารทานกันดูนะ

 
แครนเบอร์รี

          ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยวที่ถูกใจใครหลาย ๆ คน มันได้นำพาเอาคุณประโยชน์ของเจ้าแครนเบอร์รีนี้มาด้วย โดยเจ้าแครนเบอร์รีนี้มีประโยชน์ในการขจัดแบคทีเรียที่อยู่ตามทางเดินปัสสาวะ และส่วนประกอบของแครนเบอร์รีบางชนิดก็ทำหน้าที่เหมือนยาแอสไพริน ช่วยลดอาการอักเสบต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการทำงานที่บกพร่องของไตค่ะ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะค่อนข้างหายากไปเสียหน่อย เพราะฉะนั้นใครที่อยากทานเจ้าผลไม้ชนิดนี้ก็ลองหาแบบที่แช่แข็งมาไว้รับประทานแล้วกันเนอะ โดยอาจจะนำมาทานเล่นหรือนำไปทำเป็นน้ำผลไม้ปั่นก็ดีไม่หยอกเลยล่ะค่ะ

 
หัวแรดิช (Radish)
         
          หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับผักชนิดนี้สักเท่าไร แต่บอกได้เลยว่ามันเป็นผักที่ดีต่อไตมาก ๆ ชนิดหนึ่งเลยล่ะ เพราะสารอาหารที่อยู่ในหัวแรดิชนั้น มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ไม่ว่าจะเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และลดอาการอักเสบได้ ซึ่งเป็นการช่วยแบ่งเบาการทำงานที่หนักของไตได้ค่ะ โดยเจ้าผักชนิดนี้ก็รับประทานง่าย ๆ เพียงแค่ล้างให้สะอาดและนำมาฝานลงในสลัดรับประทานคู่กัน หรือถ้านำไปทำเป็นน้ำสลัดหรือซอสสำหรับราดอาหารชนิดต่าง ๆ ก็จะช่วยทำให้ได้รับประทานแรดิชเพิ่มขึ้นได้ค่ะ

 
          ไต เป็นอวัยวะที่เราต้องใส่ใจเช่นเดียวกับอวัยวะอื่น ๆ ที่สำคัญ เพราะหากไตของเรามีปัญหาอย่างเช่น อาการไตวาย ขึ้นมาละก็ นั่นหมายความว่าการทำงานทุกส่วนของร่างกายก็จะปั่นป่วนและเสื่อมถอยลงอย่างแน่นอน เพราะอวัยวะส่วนที่คอยกรองสารพิษในเลือดนั้นทำงานไม่ได้ ฉะนั้น หมั่นล้างพิษให้ร่างกายบ่อย ๆ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และลดพฤติกรรมการกินที่ส่งผลเสียด้วยนะคะ แค่นี้เองคงไม่ยากเกินไปสำหรับคนที่อยากสุขภาพดี จริงไหมคะ


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/485825878525992646/

Thursday, October 30, 2014

13 สัญญาณเตือน ที่บ่งบอกว่าความอ้วนกำลังจะมาเยือน


         สัญญาณเตือนอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าความอ้วนกำลังจะมาเยือนสาว ๆ ใครที่ไม่อยากรู้ตัวว่าอ้วนเมื่อสายเกินไป ลองมาเช็คดูกันเลยจ้า

          สาว ๆ คนไหนเคยเป็นบ้างไหมคะ ที่คิดว่าตัวเองกินเท่าไหร่ก็คงไม่อ้วน จึงละเลยการออกกำลังกาย และปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่สนใจว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปเท่าไหร่แล้ว และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นสาวอ้วนไปซะแล้ว จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ ให้ย้อนเวลากลับไปก็คงไม่ได้ แถมยังต้องมาเครียดกับการลดน้ำหนักอีกต่างหาก สำหรับสาว ๆ คนไหนที่ไม่อยากจะมีปัญหาแบบนี้ ควรเช็คร่างกายตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยค่ะ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าความอ้วนกำลังจะมาเยือนหรือไม่ ลองเช็คสัญญาณต่อไปนี้ดูสิคะ หากมีข้อไหนที่ตรงกับคุณ ไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ คุณกำลังจะอ้วนแน่ ๆ ว่าแล้วก็อย่ารอช้าเลยค่ะ ลองมาเช็คกันเลยดีกว่า

กินอาหารมากเกินไป

          คนที่กินอาหารมากเกินไปโดยไม่สามารถยับยั้งความต้องการของตนเองได้ เรียกได้ว่าคุณกำลังอยู่ในขั้นเสพติดอาหารแล้วค่ะ ซึ่งคนจำพวกนี้มักจะมีพฤติกรรมการกินที่แตกต่างจากคนทั่วไป หรือเรียกอีกว่า "ยัด" หรือ "สวาปาม" นั่นเอง ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ย่อมทำให้สาว ๆ อ้วนได้แน่นอน

เลือกกิน

          คนที่มีแนวโน้มจะอ้วนมักชอบเลือกกินอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ขนม เวลากินก๋วยเตี๋ยวก็ชอบใส่น้ำตาล ดื่มกาแฟก็ใส่ครีมหรือใส่น้ำตาลมาก ๆ เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนได้ง่ายมาก

รู้สึกหิวบ่อย

          อาการของคนอ้วนมักจะรู้สึกหิวบ่อย ๆ นอกจากในระหว่างมื้อหลัก ๆ แล้ว มักจะหาของว่างหรือขนมขบเคี้ยวมากินจุบจิบอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้บางครั้งจะไม่รู้สึกหิว แต่รู้สึกว่าปากว่างจึงต้องหาของกินเล่นมากินอยู่บ่อย ๆ ซึ่งการกินมากกว่าปกติจะทำให้อ้วนได้ง่ายและเสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย

อารมณ์แปรปรวน

          อารมณ์เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อพฤติกรรมการกินของคนเราค่ะ เพราะบางคนเวลาเครียดหรือซึมเศร้ามาก ๆ ก็มักจะกินอาหารบ่อยมากขึ้น บางคนชอบกินจุบกินจิบ เพราะเหงาปาก ส่วนบางคนเมื่อเวลาโกรธมาก ๆ ก็มักระบายความโกรธหรือความหงุดหงิดไปกับการกินขนมขบเคี้ยว ซึ่งจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ใช้พลังงานน้อยเกินไป

          สารอาหารที่คนเรากินเข้าไป เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ส่วนหนึ่งจะต้องถูกนำมาใช้ในการให้พลังงานแก่ร่างกาย หากใช้พลังงานเท่ากับสารอาหารที่ได้รับก็จะทำให้ไม่อ้วน ตรงข้ามกับคนที่ใช้พลังงานน้อย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดโรคอ้วนได้ง่าย ๆ ส่วนใหญ่แล้วมักมีพฤติกรรมชอบความสะดวกสบาย ขี้เกียจแม้ในกิจวัตรประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ขึ้นลงตึกเพียง 1-2 ชั้นก็ต้องใช้ลิฟต์ ระยะทางไม่กี่สิบเมตรก็ต้องขับรถไป ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้จะมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคอื่น ๆ ตามมาได้อีกหลายอย่าง

เหนื่อยง่าย

          เมื่อสาว ๆ มีไขมันส่วนเกินอยู่มากในตัว จะทำให้ดัชนีมวลในร่างกายสูงขึ้นตามไปด้วย หรือเรียกง่าย ๆ ว่าตัวหนักมากกว่าเดิม ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือจะทำให้สาว ๆ เคลื่อนไหวร่างกายได้ช้าลง และรู้สึกเหนื่อยง่ายมากกว่าเดิมนั่นเอง

รู้สึกอึดอึดตัวเอง

          หากสาว ๆ เริ่มรู้สึกว่า ตัวเราเริ่มหนา ใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ แล้วเริ่มอึดอัดหรือคับเกินไป ใส่กางเกงขาสั้นไม่ได้เพราะขาใหญ่ ใส่เสื้อแขนกุดก็ไม่ได้เพราะแขนใหญ่ เมื่อทุกอย่างดูอึดอัดและลำบากไปหมด จึงเป็นสาเหตุให้เริ่มมองหาเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ ๆ มาใส่ นั่นแหละค่ะความอ้วนกำลังจะมาเยือนคุณแล้ว

นอนกรน

          คนอ้วนมักจะมีอาการนอนกรน เพราะมีไขมันรอบลำคอที่หนา เนื้อเยื่อในช่องคอมักจะหย่อนตัวขณะนอนหลับ ทำให้เข้าไปอุดตันทางเดินลมหายใจ จนทำให้สาว ๆ นอนกรนได้ บางครั้งก็อาจหายใจได้ลำบากอีกด้วย ไม่ดีต่อสุขภาพเลยนะคะสาว ๆ ดังนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองด้วยเด็ดขาดเชียวล่ะ

มีรอยฟกช้ำตามตัวโดยไม่รู้สาเหตุ

          ใครเคยตื่นมาแล้วพบว่ามีรอยช้ำตามตัวที่ไม่รู้สาเหตุว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร บ้างเอ่ย ถ้าคุณมีอาการแบบนี้ ให้สงสัยไว้เลยค่ะว่ารอยที่เกิดขึ้นนั้น จริง ๆ แล้วอาจเกิดจากการอักเสบในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ตัวของเรามีปริมาณไขมันส่วนเกินมากเกินไปนั่นเอง

มีปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง

          เมื่อสาว ๆ ไปตรวจร่างกาย แล้วพบว่าตัวเองมีความดันโลหิตหรือคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดที่สูงเกินไป นั่นหมายถึงความอ้วนกำลังจะมาเยือนแล้วนั่นเอง

รอบเอวหนา

          สาว ๆ ลองสังเกตตัวเองดูสิคะว่าเวลาใช้มือหยิบชั้นผิวหนังบริเวณรอบเอวแล้วมีชั้นไขมันหนา ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้ามีนั่นก็แสดงว่าตอนนี้ไขมันกำลังพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปล่อยไว้นานวันอาจจะกลายเป็นพุงย้วย ๆ ซึ่งอาจทำให้คุณใส่กางเกงหรือกระโปรงตัวเก่าไม่ได้ เพราะจะเห็นได้ชัดว่าพุงปลิ้น เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องสงสัยแล้วค่ะ คุณกำลังอ้วนอย่างแน่นอน

มีอาการปวดตามข้อต่าง ๆ

          การที่มีน้ำหนักตัวมากจนเกินไป ก็เหมือนกับการที่ร่างกายต้องแบกรับของหนัก ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้สาว ๆ เกิดอาการปวดขา ปวดข้อ เจ็บเข่า หรือสะโพก และอาจเกิดโรคไขข้อเสื่อมตามมาภายหลังได้

น้ำหนักเพิ่มตลอดเวลา

          สาว ๆ ควรชั่งน้ำหนักเพื่อตรวจเช็คร่างกายอยู่เป็นประจำ ถ้าเมื่อไหร่ที่สาว ๆ เริ่มรู้ตัวว่าน้ำหนักตัวเองเพิ่มง่าย และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังจะอ้วนแล้วค่ะ

          เป็นอย่างไรบ้างคะสาว ๆ มีสัญญาณข้อไหนในนี้ที่คุณกำลังเป็นกันอยู่หรือเปล่าเอ่ย ถ้ามีมากกว่า 1 ข้อ ให้สงสัยได้เลยค่ะว่าความอ้วนกำลังจะมาเยือนคุณอย่างแน่นอน ในเมื่อรู้ตัวเองแล้วว่ากำลังจะอ้วนก็ควรหยุดพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านั้นแล้ว หันมาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมอาหารกันดีกว่าค่ะ อย่าปล่อยให้ความอ้วนเอาชนะเราได้ง่าย ๆ สู้ ๆ นะคะสาว ๆ


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, October 28, 2014

ปรับมุมมองเปลี่ยนความคิด โซเชียลเน็ตเวิร์กก็มีข้อดีนะ




         เห็นแต่ข้อเสียของโซเชียลเน็ตเวิร์กกันมาเยอะ มาดูข้อดีของโซเชียลเน็ตเวิร์กกันบ้างดีกว่า อย่าเพิ่งมองว่ามันมีแต่ข้อเสียอย่างเดียวเลยนะ

          โซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นหนึ่งในวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้เราได้ติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้น เหมือนย่อโลกทั้งใบไว้ในกำมือ แต่ถึงแม้มันจะทำให้เราสะดวกสบายแค่ไหน เจ้าโซเชียลเน็ตเวิร์กก็ยังส่งผลร้ายกับเราอยู่ดีถ้าหากเราใช้มันมากเกินความพอดี แต่วันนี้เราจะไม่พูดถึงข้อเสียของมันค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมจะนำข้อดีของการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างพอดีจากเว็บไซต์ health.com มาบอกให้ลองเปลี่ยนมุมมองกันดูบ้างเนอะ
 
1. ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง

          มีการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Social Influence พบว่า การเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กช่วยทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวลดลงได้ โดยในการศึกษาได้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือผู้ที่ออนไลน์โซเชียลเน็ตเวิร์กตลอดเวลาโดยไม่มีการโพสต์ข้อความใด ๆ หรือตอบสนองกับสิ่งที่ผู้อื่นโพสต์เลยตลอด 48 ชั่วโมง กับอีกกลุ่มหนึ่งที่มีการโพสต์ข้อความต่าง ๆ ลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กตามปกติ พบว่าผู้ที่ไม่มีการโพสต์ข้อความใด ๆ หรือมีการตอบสนองใด ๆ เลยบนโซเชียลเน็ตเวิร์กมีแนวโน้มว่าจะรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าผู้ที่มีความเคลื่อนไหวบนโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่อย่างสม่ำเสมอค่ะ
 2. ช่วยให้คุณปลอดภัยมากขึ้น

          โซเชียลเน็ตเวิร์กสามารถช่วยให้คุณมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยการเลือกติดตามแหล่งข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อที่เราจะได้รับการแจ้งเตือนได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่างในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2011 ที่มีพายุทรอนาโดมากกว่า 10 พัดเข้าสหรัฐฯ นักวิจัยพบว่าผู้ที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเช่น Twitter หรือ Facebook นั้นมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากพายุลดลง เนื่องจากพวกเขาได้รับการเตือนล่วงหน้าจากผู้คนที่เขาติดตามอยู่โซเชียลเน็ตเวิร์กเหล่านั้นนั่นเอง

 3. เลิกบุหรี่ได้ด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์ก

          สำหรับหลาย ๆ คน การเลิกสูบบุหรี่เป็นเรื่องที่ยากมาก และจำเป็นต้องได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากคนรอบข้าง และโซเชียลเน็ตเวิร์กก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่ช่วยทำให้ให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น เพราะมีการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Communication พบว่า ผู้ที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อค้นหากลุ่มคนและการสนับสนุนเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่สามารถเลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น

 4. ทำให้สนใจภาพลักษณ์ตัวเองมากขึ้น

          การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กแม้ว่าจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจกับรูปร่างกับตนเองมากขึ้น แต่สำหรับคนที่มีรูปร่างไม่ค่อยดีนั้นถือเป็นแรงผลักดันที่ยิิ่งใหญ่เลยล่ะค่ะ เพราะว่าเมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นให้เห็นรูปภาพของคนที่มีรูปร่างดีจากในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็จะทำให้พวกเขาหันกลับมามองรูปร่างตนเองมากขึ้น และเริ่มให้ความสนใจกับรูปร่างและภาพลักษณ์ของตนเองมากขึ้นนั่นเองค่ะ ถ้าหากใครกำลังหาแรงบันดาลใจในการลดน้ำหนักละก็ ลองมองหาในโซเชียลเน็ตเวิร์กดูนะคะ

 5. เปิดใจมากขึ้นเพียงใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก

          โซเชียลเน็ตเวิร์กแม้จะทำให้เราเงยหน้าขึ้นมาพูดคุยกันน้อยลง แต่มันก็สามารถทำให้คนเราเปิดใจได้มากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือกลุ่มคนที่ติดตามทวิตเตอร์ของซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่าง เลดี้กาก้า ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 41 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งเลดี้กาก้าได้กระตุ้นให้แฟนคลับของพวกเธอรู้จักแบ่งปันมากขึ้น และยังช่วยทำให้หลาย ๆ คนมีความกล้า มองข้ามปมด้อยของตนเอง และมีเลดี้กาก้าเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตค่ะ

 6. ช่วยทำให้รู้ถึงความผิดปกติที่เรามองข้าม

          โซเชียลเน็ตเวิร์กในบางครั้งก็อาจจะทำให้รู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้ได้ อย่างเช่นเหตุการณ์หนึ่งในรัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อคุณแม่คนหนึ่งได้โพสต์รูปลูกสาวของเธอลงในเฟซบุ๊ก และเพื่อนของเธอได้รีบมาเตือนว่าตาของลูกสาวเธอเหลืองผิดปกติ จึงทำให้เธอรีบพาลูกสาวของเธอไปพบแพทย์ และเมื่อทำการวินิจฉัยจึงรู้ว่าลูกสาวของเธอวัย 3 ขวบ เป็นโรค Coats’ disease ซึ่งเป็นโรคที่นำไปสู่ปัญหาการมองเห็นและอาการตาบอดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งต้องขอบคุณเพื่อนในเฟซบุ๊กของเธอที่เตือนถึงความผิดปกติและทำให้เธอสามารถพาลูกสาวของเธอไปเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที 
  
             ถึงอย่างนั้นก็ตาม โซเชียลเน็ตเวิร์กก็ยังคงเป็นดาบสองคม ที่มีทั้งประโยชน์และโทษ ซึ่งถ้าหากเราเลือกใช้มันอย่างถูกวิธี มันก็สามารถสร้างประโยชน์ให้เราได้อย่างมหาศาล แต่ถ้าเล่นจนมากเกินพอดี ก็อาจจะส่งผลให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นการวิจัยของนักวิจัยชาวเยอรมันพบว่า การที่เราเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กมากเกินไปส่งผลทำให้เราเกิดความอิจฉาต่อผู้อื่นได้เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันจะนำมาสู่ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลง และอาจทำให้คุณและอีกฝ่ายเกิดการทะเลาะกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้

          แม้คุณจะชอบเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กขนาดไหนแต่ก็ควรจะใช้มันไปในทางที่มีประโยชน์และใช้อย่างระมัดระวังอยู่เสมอ เพราะโซเชียลเน็ตเวิร์กเองก็ไม่ได้มีความปลอดภัยจนเราสามารถไว้วางใจได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือควรจะเล่นให้รู้ลิมิตของตนเอง และใช้มันอย่างเหมาะสม เพราะถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วนอกจากจะส่งผลทำให้สุขภาพจิตของเราเสียแล้ว อาจจะส่งผลถึงร่างกายและสังคมภายนอกของเราด้วยนะคะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Monday, October 27, 2014

วิธีรับมือแมวซนกลางดึก จนทาสแมวไม่ได้หลับไม่ได้นอน




       เคยไหมที่เจ้าแมวน้อยของคุณคอยกวนตลอดทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงร้อง หรือข่วนประตู ทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้สนิท และเหตุผลที่น้องแมวเป็นแบบนี้ในเวลากลางคืนก็เพราะ ยิ่งเจ้าของสนใจในพฤติกรรมของน้องแมวมากเท่าไรก็จะยิ่งทำให้น้องแมวคิดว่า สิ่งที่มันกำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไรล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบให้ทาสแมวได้ลองนำไปแก้เผ็ดเจ้าเหมียวสุดที่รัก กันค่ะ

  1. เหนื่อยซะจะได้พัก

          การที่ขังแมวไว้ข้างนอกห้องอาจจะไม่ได้ผลเสมอไป เพราะถ้าคุณขังแมวนอกห้องนอน มันก็จะเริ่มส่งเสียงร้องและขูดประตูเพื่อที่จะดิ้นรนเข้าไปในห้องให้ได้ และจะทำให้เจ้าของเองก็นอนไม่หลับไปด้วยเช่นกัน ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือให้หากิจกรรมให้น้องเหมียวทำในตอนกลางวันเพื่อให้ เจ้าเหมียวรู้สึกเหนื่อย พอถึงเวลากลางคืนมันจะรู้สึกอยากพักผ่อนไปเอง

  2. ทำหน้าต่างให้ชมวิว

          ติดตั้งหน้าต่างที่แมวสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ เพราะแมวเป็นสัตว์ที่อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา การที่ติดตั้งหน้าต่างที่ทำให้เจ้าเหมียวเห็นบรรยากาศภายนอก จะทำให้มันเกิดความสนใจมากขึ้น ซึ่งแมวจะใช้เวลาเหล่านี้มองไปยังนอกหน้าต่าง ๆ แทนที่จะหลับทั้งวันและตาสว่างตอนกลางคืน

  3. เลี้ยงนกไว้ใกล้ ๆ หน้าต่าง

          ลองหากรงนกมาเลี้ยงไว้ใกล้ ๆ หน้าต่าง เพราะจะช่วยดึงดูดความสนใจน้องแมวอย่างน้อยก็ 4-5 ชั่วโมง นี่จะเป็นอีกวิธีหนึ่งจะทำให้แมวของคุณใช้เวลากลางวันไปกับจ้องดูเจ้านกน้อย ในกรง จนเสียพลังงานไปไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นพอถึงเวลานอนกลางคืนมันก็จะรู้สึกเหนื่อยและนอนหลับสนิทจนไม่อยาก มากวนใจคุณอีก

  4. หาของเล่นให้แก้เหงา

          หาซื้อของเล่นมาให้แมวเล่นเพลิน ๆ เพื่อจะได้ไม่มากวนคุณในเวลาที่ต้องการพักผ่อน และเมื่อน้องแมวมีของเล่นแล้วก็จะทำให้ใช้เวลาอยู่กับของเล่นนี้นานขึ้น ถือเป็นการช่วยให้แมวได้ออกกำลังกายอีกวิธีหนึ่ง และเมื่อออกกำลังกายมาทั้งวัน การนอนหลับในยามค่ำคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

 
  5. เลิกสนใจพฤติกรรมที่เรียกร้องความสนใจ

          ถึงแม้ว่าน้องแมวจะมากวนคุณในเวลากลางคืนมากแค่ไหน สำคัญที่ว่าคุณไม่ควรสนใจในพฤติกรรมของมันมากเกินไป เพราะถ้าคุณให้ความสนใจเมื่อไร ก็จะทำให้แมวคิดว่าสิ่งที่มันทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเจ้าเหมียวมาขูดประตูห้องก็ทำเป็นไม่สนใจ โดยการหาหูฟังมาปิดหูเพื่อกันเสียงรบกวน เมื่อคุณทำอย่างนี้บ่อยขึ้นเจ้าเหมียวก็จะเลิกพฤติกรรมที่ไม่ได้ผลเหล่านี้ ไปเองในที่สุด

          ไม่ยากเลยใช่ไหมคะกับการที่จะทำให้น้องแมวนิ่งสงบในเวลากลางคืน เพียงแค่คุณหากิจกรรมระหว่างวันให้ทำ จนแมวรู้สึกเหนื่อยและอยากพักผ่อน รับรองว่าทั้งคุณและเจ้าเหมียวจะพากันหลับสนิททั้งคืนเลยล่ะ


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/56787645276537550/

Sunday, October 26, 2014

6 สัญญาณเตือนจากร่างกาย ได้เวลากินวิตามินดีด่วน !




         ในแต่ละวันเราได้รับวิตามินดีเพียงพอแล้วหรือยัง สัญญาณจากร่างกายต่อไปนี้จะร้องบอกคุณเองว่า ได้เวลากินวิตามินดีด่วน !
           
          แม้เราจะรับวิตามินดีได้ง่าย ๆ จากการตากแดดอ่อน ๆ ในตอนเช้า แต่จากข้อมูลทางการแพทย์ที่เว็บไซต์ Huffington Post เขาหยิบยกมาให้เราได้รู้ แสดงให้เห็นเลยว่า ปัจจุบันมีคนได้รับวิตามินดีไม่เพียงพออยู่จำนวนมากเลยทีเดียวนะคะ ซึ่งมาถึงตรงนี้หลายคนก็เกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีแล้วล่ะสิ อ๊ะ ! นี่ร่างกายเราขาดวิตามินดีกับเขาด้วยหรือเปล่าเนี่ย ? งั้นเอาเป็นว่ามาสำรวจอาการบ่งชี้จากสัญญาณของร่างกายต่อไปนี้ดีกว่า

1. ปวดเมื่อยร่างกายเป็นประจำ
           
          โดยเฉพาะในหน้าหนาว และตอนเช้าที่ลุกออกจากเตียง หากคุณเป็นอีกคนที่รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว ทั้งกระดูก และกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ก็ฟันธงได้กว่า 80% เลยว่า ร่างกายกำลังขาดวิตามินดีนะจ๊ะ ดังนั้นควรอัพวิตามินดีให้ร่างกายด่วน ๆ จ้า

2. รู้สึกซึมเศร้า
           
          วิตามินดีมีส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารสื่อนำประสาทเซโรโธนิน (neurotransmitter serotonin) ซึ่งก็สอดคล้องกับการศึกษาทางการแพทย์เมื่อปี ค.ศ. 1998 ที่พิสูจน์มาแล้วว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ จะมีสภาวะทางอารมณ์ในเชิงบวกมากกว่ากลุ่มอาสาสมัครที่ไม่ได้รับวิตามินดีอย่างเหมาะสม

3. อายุขึ้นเลข 5
           
          เมื่อแก่ตัวลงผิวหนังความสามารถในการรับวิตามินดีของร่างกายก็จะด้อยประสิทธิภาพ พร้อมกันนั้นตับก็แปลงวิตามินดีจากอาหารที่เรากินเข้าไปได้น้อยลงด้วย นอกจากนี้ผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมักจะไม่ค่อยได้รับแสงแดด เพราะอยู่ในร่มเป็นส่วนใหญ่ โอกาสได้รับวิตามินดีเลยค่อนข้างน้อยตาม ดังนั้นอาจจะถึงเวลาต้องเสริมวิตามินในมื้ออาหารให้มากขึ้นกว่าปกติแล้วล่ะค่ะ

4. ผิวคล้ำดำง่ายกว่าเดิม
           
          แพทย์ได้เผยผลการศึกษาไว้ว่า แสงแดดรุนแรง ที่มีค่า SPF 30 สามารถลดประสิทธิภาพในการผลิตวิตามินดีของผิวได้มากถึง 97% ซึ่งก็หมายความว่า ผิวของเราจะต้านทานรังสียูวีได้น้อยลง ทำให้โดนแดดเผาจนผิวมีสีเข้มขึ้นอย่างง่ายดาย ดังนั้นใครที่รู้สึกว่าช่วงนี้ผิวพรรณหมองคล้ำดำง่ายผิดปกติ นั่นก็แสดงว่า ร่างกายส่งสัญญาณเตือนให้กินวิตามินเพิ่มขึ้นโดยเร็วเลยนะจ๊ะ

5. เหงื่อเยอะจนสังเกตได้
           
          ถ้ารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายชักจะผลิตเหงื่อมากเกินไปแล้ว อาจจะไม่ได้เป็นเพราะอากาศร้อน หรือคุณเป็นไข้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากอาการเหงื่อแตกพลั่กเยอะขึ้นจนสังเกตได้อย่างนี้ แพทย์ก็บอกว่า มีแนวโน้มขาดวิตามินดีพอสมควรเลยทีเดียว และถ้าไปปรึกษาแพทย์ก็อาจจะได้รับการรักษาด้วยวิตามินดีเช่นกันจ้า

6. มีปัญหาช่องท้องบ่อย ๆ
           
          แพทย์เคยชี้แจงไว้ว่า วิตามินดีมีส่วนช่วยให้ลำไส้ดูดซึมไขมันได้ดียิ่งขึ้น แต่เมื่อไรที่ร่างกายได้รับวิตามินดีน้อยลง การดูดซึมไขมันของลำไส้ก็อาจจะไม่สะดวกเหมือนที่เคย ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง บิดท้อง ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ และอาการที่เกี่ยวกับช่องท้องทั้งหมดได้ง่าย ๆ เลยนะคะ ฉะนั้นกินวิตามินดีให้เพียงพอต่อร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนดีกว่าเนอะ

           
          อย่าง ไรก็ตาม หากคุณอยากเติมวิตามินดีให้ร่างกายด้วยการตากแดด สามารถพาผิวเปลือย ๆ ไปตากแดดได้ตั้งแต่ 07.00-09.00 น. แต่ถ้าเป็นแดดตั้งแต่ 10.00 น. เป็นต้นไป ให้ทาครีมกันแดดด้วยทุกครั้ง และพยายามอย่าอยู่กลางแดดนานเกิน 30 นาทีด้วยนะคะ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อเป็นการป้องกันผิวไหม้แดด และปกป้องผิวจากความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังด้วย


เครดิตภาพ  http://www.lovethispic.com/image/130344/palm-trees-and-sun