Monday, November 30, 2015

กลั้นปัสสาวะ เรื่องธรรมดาที่น่ากลัว




         ทำงานเพลิน ติดประชุมต่อเนื่อง ต้องเดินทางตลอดทั้งวันเจอสภาพรถติดอยู่ในรถ ไม่สามารถที่จะปัสสาวะได้ ก็เลยต้องกลั้นปัสสาวะด้วยความจำเป็น แถมบางคนไม่ค่อยชอบดื่มน้ำระหว่างทำงาน เพราะขี้เกียจที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่เห็นต้องเป็นห่วงเลย ไม่น่าเกิดปัญหาอะไร แค่กลั้นปัสสาวะเฉย ๆ คงไม่เป็นไร


         แล้ววันร้ายคืนร้ายก็เกิดขึ้น หลังจากกลั้นปัสสาวะ แล้วเกิดอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่ค่อยออก เจ็บแสบท่อปัสสาวะ บางคนมีอาการปัสสาวะเป็นเลือดด้วย ตกใจบวกกับ ความทรมานที่นึกไม่ถึง ก็เรียกว่าเกิดเรื่องเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะขึ้นแล้วคนที่เคยมี ประสบการณ์ก็จะบอกได้ว่า เกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน

         เรื่องที่เกิดขึ้นมักเกิดกับสตรีมากกว่าคุณผู้ชาย เนื่องเพราะความแตกต่างของสรีระของสองเพศคือ ท่อปัสสาวะของคุณผู้หญิงจะสั้นกว่ามากคือ มีความยาวเพียง 4-5 เซนติเมตร เท่านั้น ในขณะที่ท่อปัสสาวะของผู้ชายจะยาวกกว่ามาก จึงทำให้โอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะของสตรีง่ายกว่า

         ธรรมชาติ ได้มีกลไกที่สำคัญในการที่จะล้าง และขับเอาเชื้อโรคที่อาจจะหลุดเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะคือ การปัสสาวะอย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่มีการปัสสาวะก็คือ การล้างเอาเชื้อโรคที่พลัดหลง เข้าสู่กระเพาะปัสสาวะทิ้งสู่ภายนอกนั่นเอง

          ในกรณีที่กลั้นปัสสาวะไว้เป็นเวลานาน ๆ ก็เปรียบเหมือน การที่ปล่อยให้เกิดน้ำขังนิ่งไม่เกิดการไหลเวียนไว้ในบ่อเป็นเวลานาน ๆ เชื้อโรคต่าง ๆ ก็จะเจริญเติบโตมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนน้ำในบ่อเน่าเสีย ก็คือ เกิดการเพิ่มจำนวนเชื้อโรคในน้ำปัสสาวะจนก่อให้เกิดโรค คือเกิดการติดเชื้อได้นั่นเอง และเชื้อโรคก็จะวิ่งเข้าเล่นงานอวัยวะที่ใกล้ที่สุดคือ กระเพาะปัสสาวะ เกิดการอักเสบและทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา


         ความจริงประการหนึ่งที่ร่างกายทำได้คือ เชื้อโรคในปริมาณน้อย ๆ ไม่สามารถทำให้เกิดโรคได้ แต่เชื้อโรคชนิดเดียวกันเมื่อเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ๆ ก็ก่อให้เกิดโรคได้และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากมายนั่นเอง

         การกลั้นปัสสาวะบ่อย ๆ จึงเป็นการกระทำที่ไปเปลี่ยนกลไกการทำความสะอาดกระเพาะปัสสาวะ และทำให้เกิดปัญหาการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะตามมาได้ พบได้บ่อยในคนที่นั่งทำงานเพลิน ไม่ค่อยปัสสาวะ บางครั้งไม่ปวดมากแต่ร่างกายได้เตือนแล้วว่า ถึงเวลาที่ควรปัสสาวะแล้ว บางรายหนักยิ่งขึ้นไปอีกคือคนที่ไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ ทำให้การสร้างปัสสาวะลงลด ก็ไม่ต้องไปฉี่บ่อยและยังกลั้นอีกด้วย ก็เรียกว่า ทำร้ายร่างกายตนเองมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อก็ง่ายยิ่งขึ้น

         ร่างกายของมนุษย์ มีความลึกซึ้งมากในเรื่องกลไกการป้องกันตัวเอง แม้กระทั่งเรื่องการปัสสาวะ คือ พบว่า เวลาที่ไปปัสสาวะ ส่วนของปัสสาวะที่ออกมาในช่วงต้น ๆ จะเป็นปัสสาวะที่เกิดขึ้นก่อนและขังอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนานกว่า ส่วนที่ปัสสาวะออกมาทีหลัง

         ในทางการแพทย์ใช้หลักการในการเป็นแนวทางการวินิจฉัยโรคคือ ถ้าปัสสาวะที่ออกมาก่อน มีความขุ่น (มักจะเกิดจากการอักเสบติดเชื้อ) ก็พอจะบอกได้ว่าการอักเสบเกิดขึ้นในระบบปัสสาวะส่วนที่อยู่ต่ำ ๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ แต่ถ้าปัสสาวะที่ออกมาก่อนใสดี และเริ่มขุ่นในช่วงท้าย ๆ ก็ให้คิดว่าการอักเสบน่าจะเกิดที่ส่วนทางเดินปัสสาวะที่อยู่สูง เช่น หลอดไต หรือ ที่ไตข้างใดข้างหนึ่ง หลายคนคงสงสัยว่าจะตรวจอย่างไรว่าปัสสาวะส่วนต้น หรือส่วนปลาย วิธีการง่าย ๆ คือ ให้ปัสสาวะใส่แก้ว ใหญ่สามใบ ก็จะพอบอกได้ว่าส่วนต้นและส่วนปลายมีความผิดปรกติหรือไม่

         เมื่อมีการอักเสบของน้ำปัสสาวะ ก็จะทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบตามมา จะมีอาการคือ ปัสสาวะบ่อย แสบ เจ็บที่ท่อปัสสาวะ บางคนบอกว่าเหมือนโดนมีดบาดเวลาปัสสาวะทีเดียว มักจะกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ บางรายที่มีอาการมากอาจจะปัสสาวะเป็นเลือดได้ ซึ่งเมื่อเกิดสภาพอย่างนี้คนไข้มักทนต่อไปไม่ได้ต้องไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาทันที เมื่อเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดความไวกว่าปกติ คือ ความสามารถในการเก็บปัสสาวะจะทำได้น้อยลง จึงทำให้ปัสสาวะบ่อย ครั้งละไม่มาก บางรายการอักเสบไม่อยู่เพียงแค่ กระเพาะปัสสาวะ แต่ลุกลามขึ้นไปที่ไตเกิดการอักเสบที่เรียกว่า กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งคือ การอักเสบของเนื้อไตและเยื่อบุภายใน หลอดไตที่เชื่อมต่อกับไต (เรียกว่า กรวยไต ) ถือว่าเป็นโรคที่มีความรุนแรง ซึ่งหากรักษาไม่ถูกต้องอาจมีอันตรายร้ายแรง เช่น เกิดโลหิตเป็นพิษ หรือ ไตวายเฉียบพลันได้

         สาเหตุที่ทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบ่อยได้แก่เชื้อ อีโคไล ( E.Coli ) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบในอุจจาระของคนทั่วไป เนื่องจากทวารหนักและท่อปัสสาวะอยู่ใกล้กันมาก โอกาสในการปนเปื้อนจึงเกิดขึ้นได้ และทำให้เชื้อโรคหลุดเข้าไปในน้ำปัสสาวะ เกิดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะและย้อนขึ้นไปตามหลอดไต เกิดการอักเสบที่กรวยไตได้ โรคกรวยไต อักเสบเฉียบพลันจะมีอาการ ไข้สูง หนาวสั่นมาก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มักมีอาการปวดท้อง ปวดบั้นเอวด้านในด้านหนึ่ง และปัสสาวะขุ่น ถ้าเป็นมากอาจจะปัสสาวะเป็นหนองได้

         โรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ถือเป็นโรคที่รุนแรงและมีอันตราย ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องภายใน 24 ชั่วโมง คือ ได้รับการตรวจวินิจฉัย และหาสาเหตุร่วม เช่น การมีนิ่วอุดตันในทางเดินปัสสาวะ หากได้รับการรักษาช้าอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ภาวะไตวายเฉียบพลัน หรือภาวะโลหิตเป็นพิษ และจะพบความรุนแรงยิ่งขึ้นในกรณีที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ พบว่าการรักษาโรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ต้องได้รับยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ และต้องให้สารน้ำทางน้ำเกลือในกรณีที่ผู้ป่วยอาเจียนมาก เพื่อรักษาสมดุลเกลือแร่ และน้ำในร่างกาย

         การป้องกัน การอักเสบของทางเดินปัสสาวะอาจทำได้โดย ดื่มน้ำมาก ๆ ในเวลาที่ปัสสาวะได้ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับเอาเชื้อโรคทิ้งออกจากร่างกาย ไม่กลั้นปัสสาวะเพื่อลดโอกาสการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคในน้ำปัสสาวะ หลังถ่ายอุจจาระ ควรทำความสะอาดโดยใช้กระดาษชำระ เช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปสู่ด้านหลัง (ไม่เช็ดจากด้านหลังมาด้านหน้า เพราะทวารหนักอยู่ด้านหลังท่อปัสสาวะ)

         หากมีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบรักษาอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ลุกลามการอักเสบไปที่กรวยไตและเนื้อไต ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยเบาหวานอย่าวางใจเด็ดขาด เพราะการอักเสบที่รุนแรง อาจเกิดถุงหนองรอบไต และติดเชื้อเข้ากระแสเลือด อันตรายถึงชีวิตได้ พฤติกรรมของมนุษย์ มีผลต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น การกิน การนอนหลับ การใช้คอในกรณีนอนอ่านหนังสือ หรือนอนดูทีวีหรือการเงยคอบ่อย ๆ เรียกว่าใช้คอในท่าที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้กระดูกต้นคอเสื่อมได้ เช่นเดียวกันการกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ ก็ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้

         การที่มีความรู้และเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ ของมนุษย์ อย่างถูกต้องและนำมาปรับเปลี่ยนใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคนจึงเป็นวิธีการที่ดี ที่จะป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพได้ทางหนึ่งทีเดียว


เรื่องโดย : Officemat
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  At office, http://health.kapook.com/view5476.html

Sunday, November 29, 2015

10 เคล็ดลับการกินน้ำมันอย่างฉลาด





          คงพอจะทราบข้อมูลแล้วว่า น้ำมันแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเหมาะกับการปรุงอาหารประเภทใด แต่ลองมาดูเพิ่มเติมกันสิว่า เราจะมีเคล็ดลับการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารให้ปลอดภัยอย่างไรบ้าง

         
1.น้ำมันพืชที่ดีต้องไม่เป็นตะกอน ไม่มีกลิ่นหืน และควรมีสีเหลืองบ้าง ไม่ใสเกินไป จึงจะเป็นน้ำมันที่ไม่ผ่านการฟอกสีจนเบต้าแคโรทีนหายหมด

         
2.การทอดที่ต้องใช้ความร้อนสูงและใช้น้ำมันปริมาณมาก เช่น ไก่ทอด ปลาทอด ควรใช้น้ำมันปาล์มโอเลอิน ที่สกัดกรดไขมันอิ่มตัวออกบางส่วนแล้ว หรือน้ำมันรำข้าว ซึ่งไม่กลายเป็นสารอนุมูลอิสระได้ง่ายเมื่อถูกความร้อนจัดเหมือนน้ำมันเมล็ด ทานตะวัน ถั่วเหลือง

         
3.การทำอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อน เช่นน้ำสลัด ควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง และไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ 5-10 องศาเซลเซียส เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง

         
4.ในการผัดอาหารใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วเหลือง รำข้าว แต่ควรใส่ปริมาณน้อยที่สุด

         
5.ไม่ควรทอดอาหารที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ หรือเร่งไฟแรงให้เปลวไฟสัมผัสกับน้ำมันบ่อยครั้ง เพราะจะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งและโรคหัวใจ

         
6.ทอดอาหารครั้งละไม่มากเกินไป ช่วยให้ความร้อนของน้ำมันกระจายอย่างทั่วถึง และใช้เวลาในการทอดอาหารน้อยลง

         
7.เมื่อเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ทอด ควรเทน้ำมันเก่าออกให้หมดไม่ควรเทน้ำมันใหม่ปนกับน้ำมันเก่า เพราะน้ำมันเก่าจะไปเร่งการเสื่อมสภาพของน้ำมันใหม่

         
8.ถ้าจำเป็นต้องนำน้ำมันพืชกลับมาใช้ซ้ำ น้ำมันต้องไม่มีกลิ่นหืน เหนียวข้น หรือมีสีดำ ที่สำคัญต้องต้องไม่มีเศษอาหารและไม่ควรใช้ซ้ำเกิน 2 ครั้ง เพื่อป้องกันสารก่อมะเร็ง

         
9.ควรใช้น้ำมันหลากชนิดหมุนเวียนสลับกันไป เพราะน้ำมันแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป

         
10.เมื่อทอดอาหารเสร็จแล้ว ใช้กระดาษซับน้ำมันรองอาหารไว้ จะช่วยลดน้ำมันจากอาหารได้บ้าง

          ต่อไปนี้ ก็น่าจะมั่นใจแล้วว่าจะเลือกใช้น้ำมันแบบไหนถึงจะทำให้อาหารอร่อย และปลอดภัยต่อสุขภาพ ห่างไกลจากตัวการร้าย ที่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาสุขภาพในอนาคต


Modern Mom, http://health.kapook.com/view17544.html

Saturday, November 28, 2015

1 นาทีเพื่อการลดน้ำหนัก




               สิ่ง เดียวที่คุณต้องการก็คือเวลาหนึ่งนาที เพื่อเริ่มการกำจัดน้ำหนักส่วนเกิน และต่อไปนี้คือกลยุทธ์แสนง่ายดาย ในการตัดลดแคลอรี่และเผาผลาญไขมันอย่างได้ผล ซึ่งใช้เวลาเพียง 60 วินาที หรือน้อยกว่านั้น

         1. เจือจางน้ำผลไม้ ผสมน้ำผลไม้ที่คุณโปรดปราน (ครึ่งหนึ่งของปริมาณที่คุณเคยดื่ม) กับน้ำเปล่าหรือน้ำแร่แบบมีฟอง คุณสามารถตัดลดแคลอรี่ลงไปได้อย่างน้อย 85 แคลอรี่ ต่อแก้ว ซึ่งหมายถึง 2 กิโลในหนึ่งปี

         2. เคี้ยวหมากฝรั่ง
งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ค้นพบว่าการเคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาลตลอดทั้งวันเพิ่มอัตราการผลาญได้ราว 20 % ที่สามารถช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าปีละ 10 ปอนด์

         3. จิบชาเขียวก่อนออกไปเดิน
คาเฟอีนช่วยปลดปล่อยกรดไขมันของคุณ จึงเผาผลาญไขมันได้ง่ายกว่า และโพลีฟีนอล (ที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์) ในชาเขียวก็ดูจะทำงานร่วมกับคาเฟอีนในการเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ (ถ้าคุณความดันโลหิตสูง อย่าใช้เคล็ดลับนี้)

         4. หลอกต่อมรับรส การจิบยาแก้ไอรสเมนธอลหรือยูคาลิปตัสจะช่วยระงับอาการอยากอาหารได้อย่างชะงัดในทันที

         5. เพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน
การเติมพริกลงในอาหารจะทำให้คุณทานอาหารช้าลง และพริกยังช่วยเพิ่มการผลาญพลังงานอีกด้วย

         6. อย่าอยู่เฉย
การขยับแข้งขยับขาหรืออยู่ไม่สุขตลอดเวลาจะช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น ซึ่งอาจมากถึงวันละ 700 แคลอรี่เลยล่ะ

         7. เช่าหนังผีมาดู
คุณมีความอยากอาหารน้อยลงเวลาที่กลัว แต่จะกินมากขึ้นถ้าโกรธหรือมีความสุข

         8. มองตัวเอง
งานวิจัยบอกว่า การมองตัวเองในขณะกินอาหาร อาจทำให้คุณกินน้อยลงได้ 22-32 เปอร์เซ็นต์

         9. วิดพื้น
ก่อนที่คุณจะเปิดถ้วยไอศกรีม วางมันลงก่อนแล้วก็ทำท่าวิดพื้นซัก 10 ครั้ง การทำกิจกรรมทางกายบางอย่าง จะทำให้คุณสำนึกถึงเป้าหมายของคุณขึ้นมาได้

         10. ดมกลิ่น
เวลาที่อยากกินขนมเค้กหรือคุกกี้หอมกรุ่นพวกนั้นเหลือเกิน ลองทำแบบนี้ดู สูดกลิ่นมันสัก 30 วินาที ก่อนกิน มันจะเป็นการตอบสนองต่อความอยากที่จะช่วยให้คุณหยุดกินได้แค่คุกกี้ชิ้น เดียว

         11. กินปลา
ปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ทูน่า แม็กครีล และแซลมอน อาจช่วยคุณลดน้ำหนักได้ด้วยการเผาผลาญไขมันให้ดีขึ้น คนที่น้ำหนักเกิน ซึ่งกินอาหารแคลอรี่ต่ำที่มีปลาด้วยทุกวัน ลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ได้กินปลาเลยราว 20 %

Lisa, http://health.kapook.com/view4665.html

Friday, November 27, 2015

ทำไมไม่รวยสักที 15 เหตุผลที่ทำให้คุณไม่รวย เลี่ยงเดี๋ยวนี้ ถ้าอยากมีเงินเก็บ !



ทำไมไม่รวยสักที หากสงสัยแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ อาจต้องปรับนิสัยใช้เงินกันสักหน่อย และถ้าอยากรวย ลองมาเช็กดูก่อนว่าคุณมีนิสัยแบบนี้ไหม

          ทำไมถึงไม่รวยสักที คำถามนี้คงเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนสงสัยกับตัวเองอยู่ไม่น้อย ในเมื่อรายได้ที่เข้ามาก็เรียกได้ว่าพอประมาณ แต่ทำไมยังแทบจะไม่มีเงินเก็บ หนำซ้ำบางทีก็ชักหน้าไม่ถึงหลังอีกต่างหาก เอาล่ะ ! อย่ามัวแต่ตีอกชกหัวกับตัวเอง เพราะปัญหาเหล่านี้อาจมีสาเหตุจากตัวของเราเองก็ได้ และถ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงไม่รวยเสียที ลองมาดู 15 เหตุผลที่ส่งผลเสียกับวินัยทางการเงินของคุณดูสิ แล้วบางทีอาจจะเข้าใจ

1. เริ่มต้นช้า

           ยิ่งคุณปล่อยให้ตัวเองใช้เงินโดยไม่เก็บออมนานเท่าไร โอกาสที่คุณจะร่ำรวยก็ยิ่งน้อยลง ในขณะที่คนอื่นกำลังเริ่มเก็บออมเงินเพื่ออนาคต คุณกลับใช้เงินโดยไม่คำนึงถึงอนาคต กว่าจะรู้สึกตัวก็ช้าเกินไปเสียแล้ว และกว่าจะมาเริ่มเก็บเงิน คุณก็อาจจะไม่ถึงฝั่งฝันอย่างที่ตั้งใจไว้เพราะแก่เกินไป รู้แบบนี้แล้วก็รีบเก็บออมเงินเถอะ ก่อนจะเข้าตาจนในอีกไม่ช้า

2. ไม่ควบคุมค่าใช้จ่าย

          หลายคนมักประสบปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง ได้รับเงินมาเท่าไรก็ไม่พอ มนุษย์เงินเดือนบางคนได้รับเงินเดือนต้นเดือน ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือนก็แทบจะต้องรัดเข็มขัดกันแล้ว นั่นก็เป็นเพราะคุณไม่มีการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งวิธีแก้ปัญหาก็ไม่ยาก แค่เพียงเริ่มจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายเท่านั้น คุณก็จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นแล้ว

3. ไม่เก็บออมเงินสำหรับฉุกเฉิน

          การเก็บออมเงินช่วยให้คุณมีฐานะที่มั่นคงในภายภาคหน้า ทั้งยังเป็นการเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัว เราได้ ซึ่งโดยปกติแล้วเป้าหมายในระยะสั้นของการออมเงินก็คือการใช้เป็นเงินสำรอง หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งควรจะมีเตรียมเอาไว้เทียบเท่ากับเงินเดือนประมาณ 3-6 เดือนเป็นอย่างต่ำ แต่ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คุณต้องใช้เงินเหล่านั้น บัญชีเงินเก็บก็จะกลายเป็นเงินออมระยะยาวสำหรับอนาคตนั่นเอง

4. เอาแต่พูดแต่ไม่ยอมทำ

          การที่เอาแต่พูดว่าตัวเองจะเก็บเงิน จะประหยัดให้มากขึ้น แต่ไม่ยอมทำจริง ๆ สักที ก็เป็นอีกสาเหตุแบบไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมคุณถึงไม่มีเงิน หรือไม่รวยเสียที เพราะคำพูดน่ะ ไม่สามารถทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ต้องลงมือทำต่างหากล่ะถึงจะเห็นผล

5. ไม่ให้ความสนใจกับเงินที่ใช้ไป

          คุณจำได้หรือเปล่าว่าเงินที่เบิกออกมาล่าสุดนั้นใช้ไปกับอะไรบ้าง หรือธนบัตรใบละ 1,000 ที่คุณใช้ไป หมดไปกับค่าอะไรบ้าง ถ้าหากคุณจำไม่ได้ละก็ ก็ล้มเลิกความคิดที่จะกลายเป็นคนรวยไปได้เลย เพราะการที่คุณไม่ได้ใส่ใจเงินที่จ่ายไปมากเพียงพอ ก็จะทำให้คุณใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย กว่าจะรู้ตัวเงินก็หมด แถมยังคิดไม่ออกด้วยว่าหมดไปกับอะไรอีก คราวหน้าหากคิดจะใช้เงิน แล้วคิดว่าตัวเองจำไม่ได้ว่าใช้ไปกับอะไรบ้าง บันทึกลงสมุดจดค่าใช้จ่ายเลยค่ะ รับรองช่วยได้แน่

6. ไม่มีความอดทน

          ทุกคนล้วนแต่มีสิ่งที่อยากจะได้หรืออยากจะทำด้วยกันทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถอดใจไว้ได้แค่ไหน ถ้าหากคุณเป็นคนขี้ใจอ่อน ก็บอกได้เลยว่าคุณต้องเสียเงินจำนวนมากกับสิ่งที่อยากได้อย่างแน่นอน และนั่นล่ะคือตัวบ่อนทำลายความร่ำรวยของคุณ หัดใจแข็งให้มากขึ้น แล้วจะรู้เลยว่าคุณจะเก็บเงินได้มากขึ้นแน่

7. ใช้เงินเป็นเบี้ย

          การใช้เงินแบบไม่คิดและไม่คำนึงถึงฐานะของตัวเอง นอกจากจะส่งผลเสียต่อสภาพคล่องทางการเงินของคุณแล้ว ยังเป็นนิสัยการใช้เงินที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปนาน ๆ ก็อาจจะส่งผลให้คุณล้มละลายได้เลยทีเดียว หันมาใช้เงินอย่างพอเพียง และหมั่นเก็บออมกันดีกว่าไหม ทำให้ตัวเองให้ดูจนแต่มีเงินในบัญชีเพียบ ย่อมดีกว่าแต่งให้ตัวเองดูรวยแต่ต้องเป็นหนี้นะ

8. เลือกลงทุนแค่ทางเดียว

          การลงทุนในปัจจุบันมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินเพื่อรับดอกเบี้ย การเล่นหุ้น ซื้อตราสารหนี้ การฝากเงินในรูปแบบของสลากออมสินของสถาบันทางการเงิน หรือแม้แต่การนำเงินไปลงทุนในกองทุนต่าง ๆ และแม้ว่าการเลือกลงทุนในด้านเดียวจะมีความเสี่ยงน้อย แต่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด อีกทั้งถ้าหากเกิดการผิดพลาด นั่นก็แปลว่าเงินทั้งหมดที่ลงทุนจะสูญเสียไป ฉะนั้นลองหันมาให้ความสนใจกับการลงทุนหลาย ๆ อย่างสิ แม้จะเสี่ยงขึ้นอีกหน่อย แต่ว่าคุ้มค่ากว่าแน่นอน

9. ใช้เวลาอยู่กับคนมีความคิดไม่ตรงกับคุณมากเกินไป

          จริงอยู่ที่คบเพื่อนไม่ควรจะมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง แต่การอยู่กับคนที่มีความคิดในเรื่องการเงินไม่ตรงกับคุณก็ไม่ช่วยทำให้คุณ สร้างเนื้อสร้างตัวได้เช่นกัน ยิ่งโดยเฉพาะการใช้เวลากับคนที่ไม่คิดจะเก็บเงินหรือไม่สนใจเรื่องความมั่น คงทางด้านการเงิน คิดเพียงแต่ว่ามีเงินก็ควรจะใช้ หากคุณอยู่กับคนเหล่านี้นาน ๆ ก็อาจจะทำให้คุณล้มเลิกความตั้งใจที่จะเก็บออมเงินหรือใช้เงินอย่างประหยัด ไปเลยก็ได้ ฉะนั้นมี 2 ทางให้เลือก ก็คืออยู่ห่างจากคนเหล่านี้ หรือไม่ก็ชักชวนให้เขาเปลี่ยนความคิดมาเริ่มเก็บออมเงินด้วยกันเสียเลย

10. เป็นหนี้

          หนี้ คืออุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางไม่ให้คุณรวย เพราะการที่คุณมีหนี้ก็แปลว่าคุณต้องเอาเงินในส่วนที่สามารถเก็บออมไว้ได้มา ชำระหนี้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหนี้ที่เกิดขึ้นก็มาจากกู้เงิน หรือการใช้บัตรเครดิต และถึงแม้ว่าการใช้บัตรเครดิตจะสะดวกสบาย แต่ก็สร้างหนี้ได้ถ้าหากคุณใช้แบบไร้สติ ดังนั้นถ้าหากคุณอยากจะรวยละก็ เลี่ยงการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นจะดีกว่า หักห้ามใจบ้าง เพื่ออนาคตที่มั่งคั่งของตัวคุณเอง

11. เอาแต่เสียดาย

          คำว่าเสียดาย นำพาหลาย ๆ คนสู่การเป็นหนี้กันมานักต่อนักแล้ว ทั้งการเสียเงินจำนวนมากกับสินค้าลดราคาที่ไม่มีวันได้ใช้ หรือการซื้อของที่ไม่จำเป็นในช่วงโปรโมชั่นพิเศษ เหตุผลทุกอย่างก็มักจะมาจากคำว่าเสียดาย ลบคำนี้ออกจากพจนานุกรมในการใช้เงินของคุณซะ แล้วเงินในส่วนที่ไม่ควรจะเสียไปก็จะกลับคืนมาแบบเป็นกอบเป็นกำ

12. ใช้เงินไปกับการเติมเต็มความต้องการในวัยเด็ก

          เชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อย ที่พอเริ่มมีรายได้ของตัวเองแล้วก็เริ่มที่จะเติมเต็มความต้องการในวัยเด็ก ที่ขาดไป ด้วยการซื้อของเล่นที่เคยอยากได้ตอนเด็ก ๆ แต่ผู้ปกครองไม่ซื้อให้ หรือไปทำในสิ่งที่ไม่เคยได้ทำในวัยเด็ก แต่ขอบอกว่าสิ่งเหล่านี้แทบจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเลย เพราะเมื่อคุณได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว คุณก็อาจจะไม่ได้สนใจมากเท่ากับตอนเด็ก ๆ การสนองความต้องการแบบนี้ สู้เก็บเงินไว้เพื่ออนาคตจะดีกว่านะ

13. ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการเงิน

          แม้คุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่เก็บเงินเก่ง และสามารถออมเงินได้ แต่การที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการเงินเลย ก็อาจจะทำให้คุณรวยช้ากว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นถ้าอยากจะรวยเร็วขึ้นละก็ ลองหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน หรือหาโอกาสไปฟังสัมมนาเกี่ยวกับการจัดการเงินบ้าง จะได้รู้วิธีเพิ่มพูนเงินออมในแบบฉบับที่คนมีเงินเขาทำกัน

14. ฟังคนอื่นมากไป

          ในขณะที่เราตั้งมั่นในเรื่องการเก็บออมเงิน ก็อาจจะมีคนบางกลุ่มที่เห็นว่าการออมเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญมาคอยเป่าหูให้ คุณไขว้เขวได้ และถ้าคุณเชื่อคำพูดเหล่านั้นละก็ ต่อให้คุณมีรายได้มากแค่ไหน คุณก็ไม่มีวันมีเงินเก็บได้ และไม่มีวันรวยแน่ หากคุณกำลังหลงเชื่อคำพูดเหล่านั้นอยู่ ก็หยุดฟังซะ แล้วเริ่มเก็บเงินได้แล้ว

15. ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง


          คนเราทุกคนสามารถรวยได้ นี่คือเรื่องจริง และคุณต้องเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถจะร่ำรวยได้ ถ้าหากคุณมีวินัยการเงินที่ดี อย่ามัวแต่คิดในแง่ร้ายไปว่าคุณอาจจะไม่มีทางรวยได้ เพราะตัวเองรายได้น้อย เพราะต่อให้คุณมีเงินเดือนไม่มาก แต่ใช้เงินเป็น หมั่นเก็บออม และรู้จักนำเงินไปลงทุน ก็บอกได้เลยว่าคุณต้องรวยอย่างแน่นอนในสักวัน

          อยากเป็นคนรวยไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด เพียงแค่ต้องละทิ้งนิสัยการใช้เงินที่ผิด ๆ ไปให้ได้ แล้วเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงซะ อาจจะไม่ต้องเริ่มเก็บเงินคราวละเยอะ ๆ ก็ได้ เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง อนาคตทางการเงินที่มั่งคั่งก็ไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝันอีกแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
about.com, moneycrush.com, allwomenstalk.com, ficoaching.net
http://money.kapook.com/view134962.html
เครดิตภาพ   http://astore.amazon.com/bestbuybabywallpaperstickers-20/detail/B016ZCXTFE