Thursday, November 30, 2017

5 วิธีสยบเครียดก่อนนอน ไม่ให้เรื่องแย่ ๆ ตามไปหลอนในฝัน




       ทิ้งไปเถอะกับความเครียดที่ถาโถมใส่เรามาทั้งวัน อย่าให้สิ่งเหล่านั้นมารบกวนการนอนหลับในคืนนี้เลย

        ความเครียดจากการทำงานที่รุมเร้าเรามาทั้งวันคงไม่สามารถสลัดทิ้งไปได้ง่าย ๆ แม้จะหมดเวลางานไปแล้ว แต่หลายคนยังแบกเอาความยุ่งยากเหล่านั้นกลับมานอนคิดต่อที่บ้าน คิดยังไงก็ไม่จบ จนนอนไม่หลับ ลองนำ 5 เทคนิคดี ๆ ข้างล่างนี้ไปใช้กำราบความเครียดของคุณดูก่อนจะเข้านอนในคืนนี้ เรื่องแย่ ๆ ที่ควรปล่อยวางบ้างแล้วจะได้ไม่ตามเข้าไปในความฝันให้ปวดหัวทั้งกลางวันและกลางคืน

 เดินเล่นชิล ๆ

        ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนัก ๆ ก่อนเข้านอนถึงจะหยุดความหงุดหงิดได้ แค่เพียงเดินทอดน่องในสวนสาธารณะ หรือเดินเล่นธรรมดา ๆ ชมนู่น ชมนี่ระหว่างทางกลับบ้าน ก็ช่วยลดความตึงเครียดที่ถาโถมใส่เรามาทั้งวันได้
 จดเรื่องแย่ ๆ ลงในกระดาษ

          ก่อนเข้านอนสัก 10 นาที ลองหยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาจดเหตุการณ์และเรื่องราวแย่ ๆ ที่คุณพบเจอมาในวันนี้ดูค่ะ แม้ว่าการเขียนบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณได้ระบาย ได้เรียบเรียงลำดับความคิด ทบทวนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นการบอกว่าเราจะวางปัญหาไว้ในกระดาษแผ่นนี้นะ ตอนนี้ถึงเวลาต้องปล่อยวางแล้ว เรื่องอื่น ๆ ค่อยมาเริ่มต้นกันใหม่เมื่อตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้

 อาบน้ำชโลมจิตใจ

         น้ำก็เป็นตัวช่วยบำบัดสุขภาพจิตได้ดี ถ้าเจอเรื่องหนัก ๆ มาทั้งวัน ลองให้เวลากับการอาบน้ำให้มากขึ้น โดยให้น้ำไหลผ่านตัวอย่างช้า ๆ สายน้ำที่ค่อย ๆ ไหลผ่านร่างกายจะช่วยลดอุณหภูมิความเครียดในตัวคุณ และยังได้ประโยชน์คูณสองหากคุณอาบน้ำอุ่น เพราะคุณจะรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ทำให้หลับสนิท ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากคิดไม่ตกกับเรื่องที่เจอมาระหว่างวัน

          หรือถ้าบ้านใครมีอ่างอาบน้ำด้วย ก็ลงไปแช่ทั้งตัวเลยค่ะ แล้วหยดน้ำมันหอมระเหยลงไปในอ่างอาบน้ำ ให้กลิ่นหอม ๆ ช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย จนลืมเรื่องเครียดไปได้เลย

สวดมนต์ดูบ้าง

          ตอนเด็ก ๆ คุณแม่อาจเคยสอนให้เราสวดมนต์ก่อนนอน ซึ่งตอนนั้นก็ทำตามแต่โดยดีอย่างไม่คิดอะไร พอโตขึ้นก็เลิกทำไป วันนี้เราขอแนะนำให้คุณกลับไปสวดมนต์ก่อนเข้านอนอีกครั้ง หรือจะนั่งสมาธิสักครู่ก็ได้ค่ะ ทั้งการสวดมนต์และนั่งสมาธิสัก 10-15 นาทีขึ้นไป จะช่วยหยุดความกังวลของสมอง ร่างกายจะหลั่งสารเซโรโทนินออกมา เราจะรู้สึกนิ่งสงบ ผ่อนคลายอารมณ์ และทำให้นอนหลับได้ดีขึ้นด้วย

 กอดคนข้างกาย

          จะบอกให้ว่าการสัมผัสด้วยการกอดเป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดที่ทำง่ายและได้ผลจริง เพราะในการกอดแต่ละครั้งนั้น ร่างกายจะเกิดกระบวนการต่าง ๆ เช่น หัวใจเต้นรัวขึ้น เลือดลมสูบฉีด รู้สึกอารมณ์ดี ทำให้หัวสมองนึกถึงแต่เรื่องดี ๆ มีพลังฮึกเหิมขึ้นมากจากการให้กำลังใจของคนที่เรารัก

          นอกจากนี้การกอดยังช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดปามีน หรือสารแห่งความสุขออกมามากขึ้น รวมถึงเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) และเซโรโทนิน (Serotonin) ทำให้เรารู้สึกมีความสุข พึงพอใจ รู้สึกยินดี จนลืมความทุกข์ไปเลยเชียวล่ะ

          บางครั้งเราไม่สามารถหนีปัญหาได้ แต่การหยุดให้ร่างกายได้พักจากปัญหาเหล่านั้นบ้าง ก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ผลดีขึ้นเหมือนกันนะคะ



Monday, November 27, 2017

น้ำแข็งแก้ปวดได้




           คุณสมบัติพื้นฐานของน้ำแข็งก็คือ ความเย็นที่ช่วยลดความปวดบวมอักเสบได้ ซึ่งหัวใจหลักของการบำบัดแบบนี้คือ การประคบบริเวณที่ปวดบวมหรือบาดเจ็บทันที เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการลดการทำลายของเนื้อเยื่อก่อนที่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงขึ้น โดยนำผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบตรงบริเวณที่มีอาการต่างๆ ดังนี้

ปวดหลัง 

          อาการนี้เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของผู้หญิงจากการทำงานบ้านหรือทำสวน ความเย็นช่วยลดความปวดได้ โดยให้ประคบน้ำแข็งทันทีหลังจากทำงานที่ต้องก้มๆ เงยๆ หรือยกของหนักๆ มา

ปวดไมเกรน 

          คุณผู้หญิงเกือบทุกคนมักจะประสบกับการปวดหัวตุบๆ โดยเฉพาะช่วงมีรอบเดือน ซึ่งผู้ที่เคยใช้วิธีนี้รับรองว่าสามารถลดอาการปวดได้จริง โดยนอนราบบนพื้นประมาณ 5-10 นาที และประคบผ้าห่อน้ำแข็งบริเวณด้านหลังลำคอ หน้าผาก หรือขมับ ความเย็นจะช่วยลดอาการบวมและอาการมึนลงได้ ทั้งยังลดผลข้างเคียงอื่นๆ จากไมเกรนโดยที่ไม่ต้องกินยาอีกด้วย

ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ด ตึง  

          นักกรีฑาจำนวนไม่น้อยเลือกใช้น้ำแข็งป้องกันอาการที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้หลังจากออกกำลัง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า น้ำแข็งทำให้รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ตึงเครียด เพราะช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือด 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  teenpath
โดย : พี่ทิพ 
https://hilight.kapook.com/view/29936

Sunday, November 26, 2017

ร่างกายผู้หญิง กับ 10 เรื่องจริงที่คุณอาจยังไม่เคยรู้




ร่างกายผู้หญิง กับ 10 เรื่องจริงของร่างกายมนุษย์ ที่คุณสาว ๆ อาจยังไม่เคยรู้มาก่อน มาดูกันว่าร่างกายผู้หญิงจะมีความแตกต่างจากร่างกายผู้ชายอย่างไรบ้าง

          ว่ากันว่าร่างกายของผู้หญิงนั้นมีความละเอียดอ่อน และมีความซับซ้อนมากกว่าร่างกายผู้ชาย ซึ่งอาจมองเห็นความแตกต่างได้จากภายนอก แต่ความจริงแล้วร่างกายผู้หญิงยังมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ่อนอยู่มากมาย ถึงแม้ว่าสาว ๆ ทุกคนจะรู้ดีว่าจุดเด่น จุดด้อยของร่างกายตัวเองอยู่ตรงส่วนไหนบ้าง แต่เชื่อเถอะว่า ยังมีความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนเอาไว้โดยที่ตัวคุณเองอาจยังไม่เคยสังเกต และไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะพาทุกคนไปค้นหาความจริงเกี่ยวกับร่างกายผู้หญิง ว่าจริง ๆ แล้วร่างกายของสาว ๆ มีความลับอะไรซ่อนอยู่บ้าง

1. หัวใจผู้หญิงเต้นเร็วกว่าผู้ชาย

          สาว ๆ รู้หรือไม่ว่าหัวใจผู้หญิงเต้นเร็วกว่าผู้ชายประมาณ 6 ครั้งต่อนาที โดยอัตราการเต้นของหัวใจของผู้หญิงนั้น จะเต้นโดยเฉลี่ย 75 – 80 ครั้งต่อนาที ส่วนในเพศชายนั้น จะมีอัตราการเต้นของหัวใจโดยเฉลี่ย 72 ครั้งต่อนาที

2. ผู้หญิงมีระบบภูมิต้านทานดีกว่าผู้ชาย

          ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันแบคทีเรียและไวรัสได้อย่างดี จึงทำให้ภูมิต้านทานโรคของผู้หญิงแข็งแรงกว่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงทนทานต่อโรคติดเชื้อมากกว่า มีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่าและหายป่วยได้เร็วกว่า

3. ผู้หญิงสามารถมองเห็นสีได้ดีกว่าผู้ชาย

          ข้อนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบของร่างกายผู้หญิงจริง ๆ ที่มีดวงตาและประสาทการมองเห็นที่ดี และมีความรู้สึกไวต่อสีสัน โดยผู้หญิงจะมองเห็นเฉดสีเหลือง ส้ม แดง ชมพู ชัดกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า นอกจากนี้ผู้หญิงยังสามารถแยกเฉดสีด้วยตาเปล่าถึง 256 เฉดสี ในขณะที่ผู้ชายเห็นแค่ประมาณ 70 เฉดสี ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงอย่างเราถึงแยกเฉดสีลิปสติกเป็นร้อย ๆ สีได้อย่างง่ายดายกว่าพวกผู้ชาย

4. ผู้หญิงได้ยินเสียงได้ดีกว่า

          รู้หรือไม่ว่า ผู้หญิงมีหูที่ดีกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า เพราะเซลล์ประสาทสมองทั้งสองข้างจะถูกกระตุ้นขณะฟัง ในขณะที่ผู้ชายนั้น เซลล์ประสาทสมองจะถูกกระตุ้นเพียงข้างเดียว จึงทำให้ผู้หญิงสามารถได้ยินเสียงและแยกประสาทการรับฟังได้ดีกว่านั่นเอง

5. ผู้หญิงมีประสาทรับกลิ่นดีกว่าผู้ชาย

          ผู้หญิงมีความสามารถในการได้กลิ่นดีกว่าผู้ชาย 1.5 เท่า แต่ในช่วงมีประจำเดือน จะสามารถได้กลิ่นดีกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ทั้งนี้เพราะผู้หญิงมีเซลล์ประสาทการรับกลิ่นที่มากกว่าผู้ชายถึง 43%

6. ลิ้นของผู้หญิงมีต่อมรับรสหวานมากกว่าผู้ชาย

          ไม่เพียงแต่ผู้หญิงจะมีเซhนส์การรับรู้ไวกว่าผู้ชายในเรื่องของการมองเห็น การได้ยิน และการได้กลิ่นแล้ว เรื่องของการรับรส ผู้หญิงก็สามารถรับรสได้ไวกว่าผู้ชายเช่นกัน โดยเฉพาะรสหวาน เพราะลิ้นของผู้หญิงมีต่อมรับรสหวานมากกว่านั่นเอง ซึ่งจากการวิจัยพบว่าผู้หญิงมีต่อมรับรสฝังอยู่ที่ลิ้น 35% ในขณะที่ผู้ชายมีต่อมนี้เพียง 15% เท่านั้น

7. ผู้หญิงมีเส้นผมที่เล็กกว่าผู้ชาย

          ผู้หญิงกับผู้ชายมีเส้นผมที่แตกต่างกัน โดยผมของผู้หญิงนั้นจะยาวเร็วกว่าผู้ชายประมาณ 0.02 มิลลิเมตรต่อวัน รวมถึงมีจำนวนเส้นผมที่มากกว่าอีกด้วย แต่ว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมผู้หญิงนั้นจะมีขนาดเล็กกว่าผู้ชาย 2 เท่า จึงทำให้เส้นผมของผู้หญิงมีความบาง และเล็กกว่าผมของผู้ชายนั่นเอง

8. ผู้หญิงเผาผลาญไขมันได้ช้ากว่าผู้ชาย

          โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายของผู้หญิงจะเผาผลาญไขมันได้ประมาณ 50 กิโลแคลอรีต่อวัน ซึ่งต่างจากผู้ชายที่สามารถเผาผลาญได้มากกว่า เพราะผู้ชายมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ช่วยเร่งการเผาผลาญแคลอรีนั่นเอง

9. ผู้หญิงกะพริบตาบ่อยกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า

          โดยเฉลี่ยแล้วคนเราจะกะพริบตาทุก ๆ 2-3 วินาที ซึ่งผู้หญิงจะกะพริบตาบ่อยกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยทำให้ดวงตาชุ่มชื้น เป็นประกายมากขึ้น

10. ผิวของผู้หญิงบอบบางกว่าผู้ชาย

          ผิวหนังของผู้หญิงมีความบางกว่าของผู้ชาย แต่ที่ใต้ผิวหนังของผู้หญิงจะมีชั้นไขมันเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง จึงทำให้ผิวมีความเนียนนุ่มมากกว่าผิวผู้ชาย อีกทั้งผิวหนังของผู้หญิงยังมีความไวต่อการสัมผัสมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า

          เป็นอย่างไรบ้างคะสาว ๆ ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองแบบนี้ ถึงกับอึ้งไปเลยใช่ไหมล่ะคะ เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าร่างกายของผู้หญิงจะมีความลับแบบนี้ซ่อนอยู่ แถมยังมีความแตกต่างกับร่างกายผู้ชายมากอีกด้วย ซึ่งพอได้รู้อย่างนี้แล้วก็หวังว่าสาว ๆ จะรู้จักและเข้าใจร่างกายของตัวเองมากขึ้นนะคะ ^_^

ข้อมูลจาก : momjunction.com, brightside.me, wikr.com
https://women.kapook.com/view182798.html

Thursday, November 23, 2017

6 เครื่องดื่มที่ต้องระวัง อย่ากินคู่กันกับยา




         ห้ามกินยากับน้ำอะไรบ้าง เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่มีความรู้มาก่อนว่าการกินยากับน้ำบางชนิด อาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากขึ้น หรืออาจขัดขวางการออกฤทธิ์ของยา แทนที่ตัวยาจะได้ไปรักษา กลับเป็นการกินยาฟรี ๆ

          เมื่อร่างกายเกิดอาการป่วยไข้ หากเป็นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เราก็มักจะหาซื้อยามารับประทานเอง หรือแม้แต่ในกรณีที่ไม่ได้แอดมิท ไปพบแพทย์แล้วรับยากลับมาที่บ้าน บ่อยครั้งที่เราก็มักจะลืมใส่ใจวิธีกินยาที่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดผลกระทบตั้งแต่ระดับเบา ๆ อย่างยาไม่ออกฤทธิ์ต่อร่างกาย หรือบางกรณีการกินยาคู่กับเครื่องดื่มบางอย่าง ก็อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มโอกาสการเสียชีวิต

          ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้เรื่องวิธีกินยาที่ได้ประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยวันนี้เราจะมาดูกันว่า ห้ามกินยากับน้ำอะไรบ้าง

1. นม

          นมมีโปรตีนชนิดที่ช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจขัดขวางการดูดซึมยา ทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์รักษาได้ นอกจากนี้แคลเซียมในนมก็ยังมีผลต่อการดูดซึมของยาอีกด้วย โดยเฉพาะการกินยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ กับนม ที่แคลเซียมจากนมจะเข้าไปจับตัวยาปฏิชีวนะ ทำให้ยาปฏิชีวนะที่เรากินเข้าไปเพื่อหวังผลในการรักษาอาการอักเสบในส่วนต่าง ๆ ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ควรได้รับการรักษาด้วยตัวยาได้ เท่ากับการกินยาปฏิชีวนะในครั้งนี้มีผลเป็นโมฆะนั่นเอง

          หรือแม้แต่การกินยาลดกรดกับนมก็ตาม ซึ่งบางคนอาจคิดว่า ในเมื่อยาลดกรดก็ช่วยเคลือบกระเพาะ และนมก็มีโปรตีนช่วยเคลือบกระเพาะ ทำไมจะกินพร้อมกันไม่ได้ คำตอบก็คือในนมนั้นมีแคลเซียมอยู่ในปริมาณไม่น้อย และแคลเซียมในนมนี่แหละที่อาจไปขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาลดกรด หรืออาจไปเพิ่มสารบางในร่างกายที่ทำให้ยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าไปในระบบลำไส้

          คราวนี้คำถามคือ เมื่อยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย อันตรายยังไง เราก็ขอเคลียร์ให้เข้าใจตรงกันก่อนค่ะว่า ยาลดกรดเป็นยาที่จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพราะยาลดกรดมีหน้าที่เคลือบกระเพาะอาหาร เพื่อไม่ให้กรดหรือน้ำย่อยมากัดกระเพาะได้ ดังนั้นหากแคลเซียมในนมเปิดทางให้ตัวยาในยาลดกรดถูกดูดซึมเข้าไป ก็อาจเป็นการสะสมพิษหรือยาในร่างกายโดยไม่จำเป็น ซึ่งการที่ตัวยาไม่ถูกขับออกจากร่างกายแบบนี้ ยังไงก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ค่ะ

2. กาแฟ

          เชื่อว่าหลายคนเคยกินยาคู่กับกาแฟอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะไม่ส่งผลกระทบอะไร หากคุณไม่ได้กินกาแฟคู่กับแคลเซียมในรูปแบบวิตามินหรืออาหารเสริม เพราะหากคุณดื่มกาแฟคู่กับแคลเซียม ก็จะเหมือนกินแคลเซียมเล่น ๆ เสียเงินไปฟรี ๆ เพราะกาแฟมีฤทธิ์ขับแคลเซียมออกจากร่างกายนั่นเองค่ะ
       
          นอกจากนี้ในกรณีที่อันตราย ก็คือ การดื่มกาแฟกับยากลุ่มแก้หวัด หรือขยายหลอดลม (ซึ่งอาจได้ยาชนิดนี้มาตอนเป็นหวัด คัดจมูก หรือในคนที่เป็นโรคหอบหืดที่ต้องกินยาขยายหลอดลมเป็นประจำ) ต้องขอเตือนว่าอย่ากินยาขยายหลอดลมพร้อมกาแฟเด็ดขาดค่ะ เนื่องจากกาแฟมีฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เช่นเดียวกับยาขยายหลอดลมที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อกินพร้อมกันอาจเกิดอาการใจสั่น รวมทั้งภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เคสนี้อันตรายมากเลยทีเดียวค่ะ

3. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

          นอกจากกาแฟแล้ว เครื่องดื่มอย่างโกโก้ ช็อกโกแลต เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มเหล่านี้ก็มีคาเฟอีนอยู่เช่นกัน ดังนั้นอย่ากินยาขยายหลอดลมคู่กับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกชนิดจะดีกว่า เพราะอาจส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะได้

4. น้ำอัดลม

          น้ำอัดลมมีทั้งกรดและคาเฟอีน ดังนั้นเราจึงไม่ควรกินยากับน้ำอัดลม โดยเฉพาะยาขยายหลอดลม ที่คาเฟอีนในน้ำอัดลมจะเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ รวมไปถึงคนที่เป็นโรคกระเพาะ การกินยาลดกรดกับน้ำอัดลมอาจทำให้ตัวยาไม่สามารถลดกรดในกระเพาะอาหารได้ เนื่องจากในกระเพาะอาหารมีกรดจากน้ำอัดลมมาให้ยาจัดการจนหมดฤทธิ์ยาไปซะก่อน ส่งผลให้กระเพาะอาหารไม่ได้รับยาลดกรดไปช่วยเคลือบกระเพาะนั่นเอง

          หรือหากใครทานยาที่มีผลในการกระตุ้นประสาทอยู่แล้ว การทานยาพร้อมน้ำอัดลมผสมคาเฟอีน จะยิ่งทำให้การดูดซึมและระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ช้าลง มีผลให้ฤทธิ์ของยาลดลง และอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์และผลข้างเคียงของยามากขึ้น

5. น้ำผลไม้

        น้ำผลไม้ที่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ก็ไม่ควรกินคู่กับยานะคะ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อย่างน้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศ หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวชนิดอื่น ๆ ไม่ควรกินคู่กับยาลดกรดเด็ดขาด เนื่องจากคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารที่ต้องกินยาลดกรด จะมีภาวะร่างกายหลั่งกรดเกินปกติอยู่แล้ว ดังนั้นหากดื่มน้ำผลไม้ที่มีกรดเพิ่มไปอีก ตัวยาเคลือบกระเพาะอาหารหรือยาลดกรดอาจต้านทานไม่ไหว หรือออกฤทธิ์ลดกรดได้แต่ในส่วนของน้ำผลไม้มีกรดที่เราดื่มเข้าไป กลายเป็นว่ากระเพาะอาหารต้องเผชิญกับกรดโดยลำพังอย่างไร้ซึ่งผู้ช่วยใด ๆ

6. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

        เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาเป็นสิ่งที่ไม่ควรกินคู่กัน แต่อย่างน้อยเราก็เชื่อว่าหลายคนคงไม่กินยากับเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือค็อกเทลแน่ ๆ ทว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับยาที่อาจส่งผลให้เกิดอันตรายกับร่างกายก็คือในกรณีของคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ มีภาวะพิษสุราเรื้อรัง หากดื่มมาอย่างหนักแล้วเช้าขึ้นมาปวดหัว จัดยาพาราเซตามอลเข้าไป บอกเลยว่ายิ่งเป็นการทำร้ายตับซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงถึงภาวะตับวายได้เลยล่ะค่ะ

          ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่ดื่มเป็นประจำ ตับอาจมีการสูญเสียไปบางส่วน นั่นก็หมายความว่า ประสิทธิภาพในการกำจัดของเสียจากตับจะลดลงไปด้วย ดังนั้นการกินยาพาราเซตามอลเพื่อแก้เมาค้าง ก็จะยิ่งทำให้ยาพาราเซตามอลเข้าไปสะสมอยู่ในตับเรื่อย ๆ กระทั่งก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

          นอกจากนี้ ด้วยความที่แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาท ดังนั้นคนที่กินยาที่มีกดฤทธิ์ประสาท อย่างยาแก้แพ้ ยานอนหลับ ยาแก้โรคซึมเศร้า ก็ต้องระวังให้มาก เพราะหากไปดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับทานยาด้วย จะยิ่งเสริมฤทธิ์กดประสาทให้รู้สึกง่วงซึม และขาดสมาธิมากขึ้น ถ้ารุนแรงก็อาจถึงขั้นหมดสติและหยุดหายใจได้เลย

          สรุปแล้วการกินยาอย่างปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพในการรักษาโรคและอาการป่วยที่ดีที่สุด ก็คือการกินยาคู่กับน้ำเปล่านั่นเองค่ะ เพราะน้ำเปล่าคือตัวละลายยาที่ดีที่สุด และทางที่ดีควรกินยากับน้ำในอุณหภูมิห้อง โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัด มีอาการเจ็บคอ ซึ่งน้ำเย็นอาจส่งผลให้ระคายคอมากยิ่งขึ้นได้

          นอกจากนี้ก่อนกินยาอะไรก็ตาม ควรสอบถามวิธีกินยากับเภสัชกรทุกครั้ง และควรอ่านฉลากกำกับยาให้ชัดเจนทุกครั้งด้วยนะคะ

          - รู้ให้ชัด กินยาอย่างไรให้ถูกวิธี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
มหิดล แชนแนล
https://health.kapook.com/view183478.html