Tuesday, November 29, 2016

11 สิ่งที่ควรทำก่อนเข้านอน แล้วช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย



          การลดน้ำหนักไม่ใช่ทำได้แค่เฉพาะในฟิตเนส แต่ในช่วงก่อนเข้านอน หากทำตามนี้ได้ก็ลดความอ้วนได้เหมือนกัน
    

          อยากลดน้ำหนักไม่เพียงแต่ต้องออกกำลังกายค่ะ แต่การปรับพฤติกรรมของเราหลาย ๆ อย่างก็มีส่วนสำคัญมาก ๆ กับการลดความอ้วนด้วย และใครที่เคยใช้ข้ออ้างว่าไม่มีเวลาไปออกกำลังกาย ไม่มีเวลาเตรียมทำอาหารคลีน พูดง่าย ๆ คือไม่มีเวลาสำหรับการลดน้ำหนักเลย วันนี้เรามีวิธีลดน้ำหนัก ที่ใช้เวลาในช่วงก่อนเข้านอนมาให้คุณได้หยิบไปใช้ลดความอ้วนกัน


1. กินสแน็กก่อนนอน

          อ่านไม่ผิดหรอกค่ะว่าเราแนะนำให้กินอาหารก่อนนอน เพราะจริง ๆ แล้วกลไกการเบิร์นไขมันและนำโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อจะทำงานอย่างขยันขันแข็งในช่วงที่เรากำลังนอนหลับนี่แหละ ดังนั้นสแน็กที่ควรต้องกินก่อนเข้านอนสัก 1-2 ชั่วโมงก็น่าจะเป็นของว่างที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ร่างกายคู่ควร เช่น อาหารโปรตีนสูงอย่างถั่ว อัลมอนด์ เนยถั่ว รวมทั้งอาหารชนิดคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอย่างโฮลวีท โฮลเกรน และวิตามินจากผลไม้สักหน่อย ซึ่งจุดนี้อาจเลือกกินขนมปังโฮลวีททาเนยถั่ว กับฝรั่งหรือแอปเปิลสัก 2-3 กลีบก่อนเข้านอนก็ได้นะ

2. ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้ว
    
          สำหรับคนที่คิดว่ากินอาหารก่อนนอนไม่น่าจะไหว งั้นเราขอแนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้วก่อนนอนก็ยังดีค่ะ เพราะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีโปรตีนสูง มีวิตามิน และสารอาหารดี ๆ ต่อการลดน้ำหนักก็มีให้เลือกดื่มอยู่หลายรายการเหมือนกัน

          - 5 เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จิบก่อนนอน อิ่มสบายท้อง แถมช่วยลดน้ำหนัก 

3. คาร์ดิโอสักนิด
    
          อย่างที่รู้กันดีว่าการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยเบิร์นไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าสามารถคาร์ดิโอเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยลดไขมันหน้าท้องได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ทั้งนี้การออกกำลังกายคาร์ดิโอก็ทำได้หลายสไตล์นะคะ สะดวกแบบไหนก็เลือกแล้วจัดให้ไวเลย

          - 9 สไตล์คาร์ดิโอที่บ้าน ได้ความฟิตที่ไม่เปลืองค่าเดินทางสักบาท !

          - Cardio dance วิธีลดน้ำหนักสุดมันส์ เบิร์นกันแบบสายตึ้ด !
          - วิ่งจ๊อกกิ้งถูกวิธี คาร์ดิโอดี ๆ ช่วยลดน้ำหนักได้เยี่ยม

4. ต่อด้วยเวทเทรนนิ่ง

          ผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Sport Nutrition เผยว่า การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งในช่วงก่อนเข้านอนจะช่วยให้ร่างกายเบิร์นไขมันได้ดีขึ้น โดยมีแนวโน้มจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้ร่างกายเบิร์นได้ยาว ๆ ไปถึง 16 ช่วงโมงหลังการเล่นเวทเลยทีเดียว และถ้าจะให้ดีมากขึ้นไปอีกควรเล่นเวทต่อจากการคาร์ดิโอโดยทันทีค่ะ เพราะนักวิจัยบอกว่าวิธีออกกำลังกายต่อเนื่องกันแบบนี้จะช่วยเร่งการเผาผลาญเหมือนติดเทอร์โบเลยล่ะ 

          - ท่าเล่นเวท 5 วัน สาว ๆ ทำประจำกระชับได้ทั้งตัว !

          - 9 ท่าออกกำลังกายด้วยดัมเบล โปรแกรมเดียวเฟิร์มทั้งตัว !


5. อาบน้ำเย็นกันเถอะ !

          ถ้าอยากให้ร่างกายเพื่มการเผาผลาญได้มากขึ้นสาว ๆ ที่ติดอาบน้ำอุ่นก็ต้องยอมเปลี่ยนมาอาบน้ำเย็นนะคะ เพราะตามธรรมชาติแล้วเมื่อร่างกายของเราสัมผัสกับความหนาวเย็น ร่างกายจะผลิตไขมันสีน้ำตาล (brown fat) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีที่มีคุณสมบัติช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันออกมา สรุปแล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดน้ำหนักง่าย ๆ น่าสนใจไม่น้อย


6. อยู่ห่างจากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
    
          คนที่ใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนเล่นอินเทอร์เน็ตก่อนจะปิดไฟนอน อาจได้รับผลกระทบจากแสงสีน้ำเงินบนหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ ทำให้คุณเกิดอาการนอนหลับไม่สนิทได้ นั่นเพราะแสงสีน้ำเงินบนหน้าจอจะไปยับยั้งการทำงานของสารเคมีในสมองที่เรียกว่าเมลาโทนิน ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เรานอนหลับได้ดี เพราะสมองสับสนคิดว่า นี่ยังเป็นเวลากลางวันอยู่ จึงอาจจะนอนหลับได้ยากขึ้น ส่งผลต่อกระบวนการเบิร์นไขมันของร่างกายในช่วงที่เรานอนหลับโดยตรงเลย

7. เล่นจ้ำจี้ก่อนนอน
    
          ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยควิเบค ประเทศแคนาดา เผยผลการสำรวจที่น่าสนใจว่า ผู้หญิงจะเบิร์นไขมันในร่างกายออกไปได้ราว 90 กิโลแคลอรี หลังจากมีเซ็กส์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ขณะที่ผู้ชายสามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินทิ้งได้ถึง 120 กิโลแคลอรีต่อการเล่นจ้ำจี้ 1 ยก ! โอ้โห...นับเป็นวิธีลดน้ำหนักก่อนเข้านอนที่น่าจะสร้างความฟินให้กับคนมีคู่ไม่เบาเลยล่ะเนอะ

8. ปรับอุณหภูมิในห้องนอนให้เย็นสบาย
    
          National Institute of Health Clinical Center ทำการศึกษาและพบว่า การนอนหลับในห้องที่มีอุณหภูมิพอเหมาะจะช่วยให้ร่างกายเบิร์นแคลอรีได้มากขึ้นประมาณ 7% เพราะอากาศที่เอื้อให้นอนหลับสบายจะป้องกันภาวะนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือภาวะสะดุ้งตื่นมาตอนดึก ซึ่งจะรบกวนการหลั่งฮอร์โมนตัวที่ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายได้ หรือบางคนสะดุ้งตื่นกลางดึกแล้วก็นอนไม่หลับตลอดคืนอีกเลยก็มี ซึ่งก็จะทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอล​ (ฮอร์โมนแห่งความอ้วน) ตื่นตัวและหลั่งออกมา ส่งผลให้ในตอนเช้าเรารู้สึกเพลีย ๆ และอยากกินของหวาน อาหารขยะมากขึ้นได้ ดังนั้นแนะนำให้ปรับอุณหภูมิในห้องนอนในระดับที่ร่างกายรู้สึกสบาย สนับสนุนให้การนอนหลับเป็นไปอย่างราบรื่นเพื่อเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่า

. เติมกลิ่นเปปเปอร์มินต์ในห้องนอน
    
          การศึกษาจากวารสาร Neurological and Orthopaedic Medicine พบว่า อาสาสมัครที่ดมกลิ่นเปปเปอร์มินต์ทุก ๆ 2 ชั่วโมงมีแนวโน้มลดน้ำหนักได้ประมาณ 2.2 กิโลกรัมต่อเดือน ! นอกจากนี้การดมกลิ่นแอปเปิลเขียว กล้วย และวานิลลา ก็ทดแทนกลิ่นเปเปอร์มินต์ได้เช่นกัน โดยนักวิจัยได้อธิบายไว้ว่า อาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมในระดับพอดี ๆ ของเปเปอร์มินต์และผลไม้เหล่านี้ ที่ทำให้ร่างกายควบคุมความอยากอาหารได้ดีกว่าปกติ ดังนั้นคนที่มักจะหิวตอนดึกหรือมักจะตื่นเช้ามาพร้อมกับอาการอยากน้ำหวานขั้นสุดลองใช้วิธีนี้ช่วยนะคะ
 
10. ปิดไฟให้มืดที่สุด
    
          ฮอร์โมนเมลาโทนินจะเป็นตัวการสำคัญในการช่วยเบิร์นไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย แต่เจ้าเมลาโทนินจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในห้องที่มืดสนิทที่สุด เพราะหากมีแสงเล็ดลอดเข้ามาแม้เพียงเล็กน้อย ฮอร์โมนเมลาโทนินจะตอบสนองต่อแสงด้วยการป่วนให้เราหลับ ๆ ตื่น ๆ จนในที่สุดร่างกายก็ได้รับการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ

11. อย่านอนดึก !
    
          ถ้านอนไม่พอ หรือน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้คุณรู้สึกหิว ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะตกเป็นเบี้ยล่างของความอยากอาหารไปโดยปริยาย และที่สำคัญอาหารที่ร่างกายรู้สึกอยาก ก็จะเป็นอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และอาหารรสหวานทุกชนิด เพราะร่างกายจะได้ดึงเอาน้ำตาลเหล่านี้ไปเพิ่มในกระแสเลือด เพื่อให้รู้สึกสดชื่น บรรเทาอาการง่วงซึมไปบ้าง ฉะนั้นถ้าไม่อยากอ้วนอีกต่อไปก็พยายามอย่านอนดึกหรือนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน

          นอกจากวิธีช่วยลดน้ำหนักก่อนเข้านอนเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยนะคะ
    


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
eatthis
leaf
allwomenstalk
http://health.kapook.com/view161473.html
เครดิตภาพ  http://health.kapook.com/view161473.html


Friday, November 25, 2016

9 ทริคกินข้าวจานเดียวให้อิ่มอยู่ท้อง ไม่ต้องมีออปชั่นเสริม



          อยากลดน้ำหนักใจจะขาดแต่ห้ามตัวเองให้กินน้อย ๆ ไม่เคยได้ แล้วอย่างนี้จะมีเทคนิคกินยังไงให้อิ่มเร็วบ้างไหม ใครอยากรู้วิธีกินให้อิ่มเร็ว บอกเลยว่าห้ามปล่อยผ่าน
          มีคนจำนวนไม่น้อยค่ะที่ติดนิสัยกินข้าวจานเดียวแล้วไม่อิ่ม ต้องต่ออีกจาน หรือบางคนก็ขอมีออปชั่นเสริมเป็นขนม ของหวานอะไรก็ว่ากันไป รู้แต่ว่าค่าอาหารต่อมื้อไม่เคยหยุดอยู่ที่หลักสิบ แต่ไปไกลถึงขั้นหลักร้อยกันเลยจ้า เฮ้อ...เสียค่ากินไปก็มากเกินความจำเป็น ไหนยังจะต้องทนแบกรับน้ำหนักตัวที่ร่ำ ๆ จะเกินมาตรฐานซะอีก อย่างนี้เห็นทีจะปล่อยให้ตัวเองกินแหลกไม่ได้อีกต่อไป มารู้เคล็ดลับกินยังไงให้อิ่มเร็ว เพื่อช่วยเราประหยัดค่าใช้จ่าย แถมยังเป็นการลดนํ้าหนัก ลดความเสี่ยงที่จะอ้วนไปในตัวกันดีกว่า

1. ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น

 ในหนึ่งวันเราควรต้องดื่มน้ำเปล่าให้ได้ประมาณ 8 แก้ว หรือราว ๆ 1.5 ลิตรเป็นอย่างต่ำ โดยแนะนำให้จิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน และหากใครอยากจำกัดปริมาณการกินอาหารให้น้อยลง แนะนำว่าให้ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วก่อนรับประทานอาหารหลักในแต่ละมื้อ เพื่อให้น้ำไปแย่งพื้นที่ว่างในท้อง ทำให้เรารู้สึกอิ่ม และกินได้น้อยลง 

          อ้อ ! และหลังมื้ออาหารก็ควรดื่มน้ำอีก 1 แก้วด้วยนะคะ เพื่อเติมความรู้สึกอิ่มมากขึ้น จะได้ไม่ต้องไปหาขนมอื่น ๆ กินอีก

2. หาของกินเล่นมากินระหว่างมื้อ

          ถ้าใครใช้วิธีดื่มน้ำแล้วเอาไม่อยู่ ลองหาของกินเล่นมาดักความหิวของเราก่อนก็ได้ โดยแบ่งเป็นมื้ออาหารว่างในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนมื้อหลักของเรา อ๊ะ ! แต่เพื่อให้เราไม่อ้วนขึ้น ควบคุมน้ำหนักตัวได้ แนะนำเป็นของกินเล่นไม่อ้วนตามนี้

          - 20 ของว่างแคลอรีต่ำ อร่อยเต็มคำแต่ให้พลังงานไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี

          - 12 ของว่างอาหารคลีน ลดน้ำหนักเพื่อหุ่นลีนต้องไม่พลาด 

          - 10 ของกินเล่นไม่อ้วน แถมช่วยเบิร์นไขมัน !

          - 17 สไตล์สแน็กสุดฟิน กินเพื่อผอม

3. ห้ามพลาดอาหารเช้า


อย่าลืมว่าจากมื้อดึกจนถึงเช้าวันใหม่ เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอีก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง จนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้ออื่น ๆ มากขึ้น และนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินได้อย่างไม่รู้ตัว ฉะนั้นหากไม่อยากตกอยู่ในสภาพกินได้ทุกอย่าง กินไม่ยั้ง ก็พยายามกินมื้อเช้าให้ได้ทุกวันด้วยนะคะ

4. ลองเคี้ยวช้า ๆ
          งานวิจัยหลายแห่งยืนยันตรงกันว่า การเคี้ยวช้า ๆ และเคี้ยวอย่างละเอียดจะช่วยทำให้คุณกินอาหารได้น้อยลง เพราะโดยปกติแล้วกว่าจะสมองจะสั่งการให้เราหยุดกินก็ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง คือประมาณ 15-20 นาทีขึ้นไป ถ้าเราเคี้ยวช้า ๆ กินไปได้แค่นิดเดียวก็จะทันเวลาที่สมองสั่งให้หยุดพอดี แต่ถ้าเคี้ยวเร็ว กินเร็ว คุณก็คงกินหมดจาน เผลอ ๆ กินขนมต่อได้อีกหลายชิ้น ก่อนที่สมองจะบอกให้ "พอ" รู้ตัวอีกทีก็กินเข้าไปไม่รู้อะไรต่อมิอะไรบ้าง

5. เน้นกินอาหารไฟเบอร์สูง


สังเกตไหมคะว่าทุกวันนี้เรากินผัก-ผลไม้กันน้อยมาก ๆ และส่วนใหญ่ที่กินเข้าไปก็จะเป็นอาหารประเภทแป้ง อาหารทอด ๆ ของมัน ๆ ทั้งนั้น ซึ่งจะว่าไปใคร ๆ ก็รู้ว่าอาหารเหล่านี้แหละที่ทำให้อ้วน แถมบางครั้งยังรู้อีกด้วยว่ามันเป็นต้นเหตุของการกินไม่ยั้ง ดังนั้นลองเปลี่ยนนิสัยการกินมาเติมไฟเบอร์เข้าท้องกันบ้าง อย่างน้อย ๆ ต้องกินผัก-ผลไม้ให้ได้ครึ่งต่อครึ่งกันไปเลย เพราะไฟเบอร์ก็คือกากใยอาหาร ซึ่งจะช่วยให้เราอิ่มอยู่ท้องและอิ่มได้เร็วขึ้น 

          - 14 ของกินเล่นไฟเบอร์สูง แก้ท้องผูกก็เวิร์ก

6. เลือกกินอาหารโปรตีนสูง

          โปรตีนเป็นสารอาหารหมู่ที่จำเป็นต่อร่างกาย และโปรตีนยังจัดเป็นอาหารที่ทำให้เราอิ่มอยู่ท้องได้นาน อิ่มได้เร็วอีกต่างหาก เนื่องจากการย่อยโปรตีนนั้นต้องใช้เวลาพอสมควร อ้อ ! แต่เตือนไว้นิดนึงว่าพยายามอย่ากินโปรตีนหนัก ๆ ในมื้อเย็นนะคะ เพราะไม่อย่างนั้นระบบย่อยที่ต้องทำโอทีในการย่อยโปรตีนอาจรบกวนการนอนหลับของเราได้

          - 10 อาหารโปรตีนสูงที่ควรทานช่วงลดน้ำหนัก คุณค่าระดับท็อปของคนอยากผอม

          - อยากจัดโปรตีนแบบเน้น ๆ ต้องเติม 14 อาหารเพื่อสุขภาพเหล่านี้ลงไปด้วย

7. อย่างดแป้ง แต่ให้เลือกกินแป้งชนิดดีแทน

บางคนคิดว่ากินให้น้อย ๆ คือลดการกินแป้งลง ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะทำให้เรารู้สึกหิวโหยจนตบะแตกกินแหลกลาญได้ค่ะ ดังนั้นแป้งก็ห้ามขาดในแต่ละมื้อ แต่แนะนำให้เลือกกินแป้งชนิดดีแทน แบบเมินแป้งขัดขาวไปเลยค่ะคุณ ๆ เพราะแป้งที่ผ่านการขัดสีจะมีสารอาหารน้อย และจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ที่ร่างกายเราสามารถนำแป้งเหล่านี้ไปเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กินเข้าไปไม่เท่าไรก็รู้สึกหิวขึ้นมาอีกแล้ว แถมหากร่างกายใช้พลังงานจากแป้งเหล่านี้ไม่หมด ก็จะกลายเป็นน้ำตาลสะสม ทำให้เราอ้วนขึ้นได้     

          ฉะนั้นทางที่ดีเลือกกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนกันค่ะ เพราะเป็นแป้งที่ให้สารอาหารเยอะ ไฟเบอร์ก็เยอะ ที่สำคัญร่างกายยังต้องใช้เวลาในการย่อยคาร์โบไฮเดรตชนิดนี้ค่อนข้างนานด้วย ดังนั้นเมื่อเรากินแป้งชนิดดีเข้าไป เราก็จะรู้สึกอิ่มได้เร็ว อิ่มได้นาน ซึ่งก็เท่ากับว่ากินได้น้อยลง ลดน้ำหนักได้มากขึ้นนั่นเองนะคะ

          - คาร์โบไฮเดรตชนิดดี VS ไม่ดี เลือกกินอย่างไรให้หุ่นเฟิร์ม

8. พยายามตั้งใจกินให้มากขึ้น

          ถ้าคุณเคยกินข้าวเคล้าการดูทีวี เล่นมือถือ หรือกินข้าวพร้อมกับทำกิจกรรมเพลิน ๆ บางอย่างมาโดยตลอด ลองเปลี่ยนมาตั้งใจกินอาหารอย่างเดียวดูบ้างสิคะ เพราะมีการศึกษาที่ค้นพบว่า คนที่กินข้าวไปดูทีวีไป จะกินอาหารได้มากกว่าคนที่ตั้งอกตั้งใจกินข้าวอย่างเดียวถึง 70% ราว ๆ นั้นเลยนะ ดังนั้นหากไม่อยากให้ตัวเองกินอาหารเพลิน ๆ ไปหลายจาน ลองใช้วิธีนี้ดูบ้างก็ไม่น่าจะเสียหาย

9. ค่อย ๆ ลดปริมาณการกินให้น้อยลง


ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้นค่ะ ถ้าเมื่อก่อนเราเคยกินข้าวจานเดียวแล้วอิ่ม แต่ตอนนี้ต้องต่อจานที่ 2 ที่ 3 ลองฝึกตัวเองให้กลับมาสู่จุดเริ่มต้นดูใหม่ ออกสตาร์ทจากลดปริมาณอาหารให้กินน้อยลง จากเคยกินข้าว 2 จาน ก็ให้เหลือจานเดียว เคยกินข้าวแล้วต่อด้วยขนมหลากชนิดก็กินแต่ข้าวเพียว ๆ ไม่ต้องไปซื้อขนมที่ไหนมากิน ซึ่งแรก ๆ อาจรู้สึกท้องร้องครวญครางกันหน่อย แต่ขอให้อดทนกับความหิวตงิด ๆ เอาไว้นะคะ หรือใครไม่ไหวจริง ๆ กินแอปเปิล ฝรั่ง หรือกล้วยน้ำว้าล้างปากสักหน่อยก็ได้ ลองฝึกให้ตัวเองกินให้น้อยลง เพื่อให้เราชินกับการกินน้อย ๆ ตลอดไปเนอะ

          ไม่ว่าจะ 9 เคล็ดลับนี้หรือคัมภีร์กินให้น้อยลง กินให้อิ่มเร็วตำราไหน หากใจของเราไม่พร้อมจะลดปริมาณการกิน ไม่พร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเคยชินให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เคล็ดลับไหนก็ย่อมช่วยไม่ได้ แต่ยังไงทางกระปุกดอทคอมก็ขอเป็นกำลังใจให้คนที่อยากกินให้น้อยลง อยากลดน้ำหนัก และอยากควบคุมอาหาร ให้ปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
dailymail
besthealthmag
http://health.kapook.com/view161403.html
เครดิตภาพ  http://health.kapook.com/view161403.html

Thursday, November 24, 2016

11 ดอกไม้มงคล ความหมายดี นิยมใช้บูชา ที่ควรปลูกไว้ในบ้าน



        ดอกไม้มงคล ดอกไม้จัดสวนนิยมใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากรู้ว่ามีดอกไม้ชนิดไหน ที่เหมาะกับการจัดสวนแบบเมืองร้อนและสามารถตัดไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้บ้าง ตามไปชมดอกไม้จัดสวนเหล่านี้กันเลยค่ะ 
 
          สำหรับคนที่อยากมีสวนสวย ๆ เต็มไปด้วยสีสันสดใสของดอกไม้และสามารถเก็บไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยเช่นกัน วันนี้กระปุกดอทคอมก็รวม 11 ดอกไม้มงคล ดอกไม้จัดสวนสวย ๆ ความหมายดี ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้บูาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาฝาก เหมาะกับสวนแบบเมืองร้อน ดูแลง่าย และสามารถปลูกเองได้ที่บ้าน ถ้าอยากรู้ว่ามีพรรณไม้ไหนที่น่าปลูกติดบ้านไว้บ้าง ก็ตามไปชมกันเลยค่ะ 

1. ดอกบัว

          ดอกไม้ที่สื่อถึงคุณธรรม ความบริสุทธิ์ ความสงบ และความประเสริฐ การปลูกเริ่มจากขุดแปลงดินโคลนหรือทำบ่อที่ใช้ดินร่วนหรือดินเหนียวตามขนาดที่ต้องการ จากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลงให้สูงประมาณ 5 เซนติเมตร นำเหง้าบัวมาเสียบลงในดิน โดยเว้นระยะให้มีเหง้าโผล่ขึ้นมาผิวดินสัก 2 ข้อ จากนั้นก็ปล่อยน้ำเข้าอีกเล็กน้อยให้ท่วมเหง้า และเมื่อต้นเริ่มแข็งแรงก็ให้ปล่อยน้ำเข้าไปอีกโดยไม่ให้เกิน 1 เมตร หมั่นดูแลอย่าให้น้ำเน่าเสีย

2. กุหลาบ
 
          ดอกไม้แห่งความรัก ซึ่งจะนำพาความรักที่สุขสมหวังมาให้ การปลูกดอกกุหลาบนั้นมีหลายวิธี แต่ที่นิยมมากสุดคือ การปักชำ โดยตัดก้านกุหลาบส่วนที่มีกิ่งแยกออกมา ไปปักลงในกระถางใส่ดินร่วนผสมแกลบและเศษใบไม้ ดูแลรดน้ำสม่ำเสมอ อย่าให้แฉะจนเกินไป และไม่ควรตั้งกระถางให้โดนแดดโดยตรง 

3. กล้วยไม้
 
          ดอกไม้จัดสวนที่ความหมายถึงการประสบความสำเร็จ การงานราบรื่น และการมีมิตรภาพที่ดี แถมยังมีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกปลูก โดยเริ่มจากนำกระถางมารองก้นด้วยถ่านไม้ และใส่ออสมันด้า กดวัสดุปลูกให้เป็นหลุมแล้วนำต้นกล้ากล้วยไม้วางลงไป หมั่นดูแลรดน้ำด้วยน้ำสะอาดที่มีค่า pH เป็นกลาง ในช่วง 2-3 วันแรก และใส่บำรุงปุ๋ยในช่วงก่อนเที่ยงวัน 

4. ดาวเรือง
 
          ดอกไม้มงคลที่จะช่วยส่งเสริมให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา สามารถปลูกง่าย ๆ ด้วยเมล็ด โดยนำเมล็ดมาเพาะในกระถางใส่ปุ๋ยคอก ทราย แกลบ และขุยมะพร้าว ดูแลรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ใช้ฟางคลุมหน้าดินเอาไว้ เมื่อต้นกล้ามีอายุได้ 10 วัน ให้ย้ายไปปลูกในกระถางดินร่วนผสมวัตถุอินทรีย์ ดูแลรดน้ำวันละ 1 ครั้ง ตั้งให้โดนแดดรำไร และบำรุงให้ดอกออกสวยงามบ้าง  

5. มะลิ
 
          ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งความรักอันบริสุทธิ์ ความสุขสมบูรณ์ ปลูกง่าย ๆ ด้วยการปักชำ โดยนำกิ่งพันธุ์มะลิยาว 4 นิ้ว มาชุบน้ำยาเร่งราก ลิดใบล่างออก แล้วปักลงในกระถางที่มีทรายผสมขี้เถา รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ และนำถุงพลาสติกใสมาคลุมกระถางเพื่อรักษาความชื้นให้เหมาะสม รากจะงอกออกมาภายใน 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้ย้ายลงไปปลูกในกระถางที่มีดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและขุยมะพร้าว ดูแลรดน้ำวันละ 2 ครั้ง ตั้งให้โดนแดดรำไร และหมั่นบำรุงปุ๋ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

6. ดอกพุด

          ดอกพุดที่นำมาบูชา ควรเป็นดอกพุดสีขาวซึ่งสื่อถึงความบริสุทธิ์ ความเจริญมั่นคง หากจะปลูกไว้จัดสวน แนะนำให้หาต้นกล้าพันธุ์ดีมาปลูกลงในดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก หากจะปลูกด้วยกระถางก็ควรจะใช้กระถางขนาดใหญ่ แต่สำหรับแปลงปลูกควรจะขุดหลุมให้มีขนาด 50x50x50 เซนติเมตร ดูแลรดน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ตั้งกระถางให้โดนแดดโดยตรง และบำรุงปุ๋ยปีละ 2-3 ครั้ง

7. บานไม่รู้โรย

          ดอกบานไม่รู้โรยเป็นอีกหนึ่งไม้ดอกที่คนนิยมนำมาบูชา วิธีปลูกเริ่มจากการนำเมล็ดมาแช่น้ำให้เปลือกหุ้มหลุดออก แล้วนำไปเพาะลงในทรายผสมแกลบ รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ต้นจะเจริญเติบโตขึ้นมาภายใน 10 วัน หลังจากนั้นก็ย้ายมาปลูกในกระถางดินร่วนปนทราย รดน้ำในตอนเช้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดีและช่วยลดภาวะการเกิดเชื้อรา

8. ดอกจำปี

          ดอกไม้ที่ช่วยเสริมสิริมงคลให้ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้า เติบโตในการหน้าที่การงาน วิธีปลูกและขยายพันธุ์จำปีที่ดีที่สุดนั่นก็คือ การตอนกิ่ง โดยเลือกกิ่งพันธุ์ที่มีสีเขียวอมสีน้ำตาลมาควั่น แล้วลอกเปลือกทิ้งไว้ 3 วัน จากนั้นนำดินและขุยมะพร้าวมาหุ้มรอยควั่นเอาไว้ ห่อด้วยถุงพลาสติกและมัดเชือกให้แน่น ดูแลรดน้ำเมื่อสังเกตเห็นดินแห้ง รากจะงอกออกมาภายใน 10-15 วัน จากนั้นก็ตัดเพื่อนำไปปลูกต่อได้เลย ดูแลรดน้ำทุกวันทั้งเช้าและเย็น ให้ดินชุ่มแต่ห้ามแฉะหรือมีน้ำขังโดยเด็ดขาด

9. ดอกแก้ว

          ดอกไม้ที่สื่อถึงความดี การมีจิตใจผ่องใส และไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมัวหมอง ปลูกโดยการนำต้นกล้าพันธุ์ดีมาเพาะในกระถางดินร่วนผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก รดน้ำ 5 วัน ต่อ 1 ครั้ง ตั้งกระถางให้โดนแดดโดยตรง เพราะแก้วเป็นพืชที่ชอบแดดจัด และใส่ปุ๋ยบำรุงปีละ 4 ครั้ง เพื่อให้ลำต้นแข็งแรงและออกดอกสวยงาม

10. ดอกเบญจมาศ

          ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความยั่งยืน เหมาะกับการนำมาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหากนำมาจัดสวนก็ดีไม่แพ้กัน แนะนำให้ปลูกด้วยวิธีการปักชำ โดยนำยอดอ่อนของต้นเบญจมาศที่มีอายุ 7 วัน ปักลงในกระถางที่มีดินร่วนปนทราย ดูแลรดน้ำในตอนเช้าให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ ตั้งให้โดนแดดรำไร

11. ดอกเข็ม

          ดอกไม้ที่สื่อถึงความฉลาดหลักแหลม การเกิดปัญญา และการคิดดี วิธีปลูกทำได้โดยการนำต้นกล้ามาปลูกลงในกระถางสูงใส่ดินร่วนผสมแกลบ ดูแลรดน้ำสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ตั้งให้โดนแดดจัด และอย่าลืมบำรุงด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกปีละ 5 ครั้ง ต้นก็จะออกดอกสวยงามมากขึ้นค่ะ 
 
          นอกจากดอกไม้เหล่านี้จะช่วยทำให้สวนสวยงามได้อย่างที่ตั้งใจแล้ว เรายังสามารถเก็บดอกไม้จัดสวนสวย ๆ ที่มีความหมายดี ๆ มาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต แถมยังไม่ต้องซื้อหามาใช้ให้สิ้นเปลืองอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก PalungjitPuechkasetdxkphuththBloggingKu และ Rakbankerd
http://home.kapook.com/view160816.html
เครดิตภาพ  http://home.kapook.com/view160816.html

Monday, November 21, 2016

9 อาหารช่วยลดน้ำมูก กำจัดเสมหะ แก้หวัดได้ในตัว



          ถ้ามีอาการคล้าย ๆ จะเป็นหวัด เริ่มคัดจมูก น้ำมูกไหล และมีเสมหะในลำคอ รู้ไหมว่าปัญหาสุขภาพเหล่านี้จัดการได้ด้วยอาหาร

          ในช่วงเปลี่ยนฤดู อากาศเริ่มจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ในแต่ละวัน เราก็มักจะป่วยด้วยอาการเป็นหวัดกันบ่อย ๆ เริ่มต้นจากเริ่มมีน้ำมูกไหล ไอพร้อมกับมีเสมหะ ซึ่งหากอาการหวัดยังอยู่ในระยะเริ่มต้นแบบนี้ ลองรักษาด้วยวิธีธรรมชาติอย่างการกินอาหารช่วยลดน้ำมูก ลดเสมหะ บรรเทาอาการหวัดไปด้วยในตัวดังต่อไปนี้กันดูไหม

1. ฟักทอง

          ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามิน A, C และ E รวมทั้งแคลเซียม สังกะสี โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส จึงเป็นอาหารที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงมากพอจะต่อสู้กับเชื้อหวัดที่ก่อให้เกิดน้ำมูก และเสมหะได้อีกทาง
    
          นอกจากนี้ยังแนะนำให้กินเมล็ดฟักทองเพื่อกำจัดน้ำมูกด้วย เนื่องจากในเมล็ดฟักทองมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีสรรพคุณในการต้านการอักเสบในร่างกาย อีกทั้งเมล็ดฟักทองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ อีกมากมายที่พร้อมจะไฟท์กับอาการอักเสบต่าง ๆ ด้วยนะคะ

2. ขิง

          สมุนไพรที่มีรสร้อนอย่างขิงจะช่วยเคลียร์ช่องทางเดินหายใจของเราให้โล่งขึ้น อีกทั้งขิงยังมีสารจิงเกอร์รอล ที่จะช่วยต่อสู้กับเชื้อไวรัสโรคหวัดและอาการไข้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะสารชนิดนี้ในขิงมีฤทธิ์รุนแรงกว่าแอสไพรินซะอีก นอกจากนี้ขิงยังพ่วงสรรพคุณต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายเราได้ด้วยนะคะ

3. น้ำผึ้ง

          ทราบไหมคะว่าน้ำผึ้งแท้ 100% จะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ ทั้งสรรพคุณในการต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารฟลาโวนอยด์ที่จะช่วยลดทั้งอาการไข้ อาการภูมิแพ้ น้ำมูกไหล หรือแม้กระทั่งจะใช้น้ำผึ้งในการรักษาบาดแผลติดเชื้อไม่รุนแรงก็ยังได้

4. หัวหอม

          แค่เราดมหัวหอมยังช่วยแก้อาการคัดจมูกได้ง่าย ๆ นับประสาอะไรกับการกินหัวหอมสด ๆ ที่จะได้รับสารอาหารจากหัวหอมอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน C, B6, B1, K, ไบโอติน, โครเมียม, แคลเซียม, และกรดฟอสฟอริกตัวจี๊ด (กรดที่ทำให้เราน้ำตาไหลตอนหั่นหัวหอม) ที่มีสรรพคุณช่วยชะล้างแบคทีเรียและฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ในเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดสะอาดขึ้น อาการป่วยก็จะบรรเทาลงตามลำดับ

5. กระเทียม

          นอกจากหอมแล้วกระเทียมก็เป็นสมุนไพรที่มีดีในการต้านหวัด ขับเสมหะ ด้วยสรรพคุณที่ช่วยต้านการอักเสบ ทั้งในกระเทียมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ค่อนข้างสูง โดยเราสามารถบรรเทาอาการหวัด น้ำมูกไหล และขับเสมหะด้วยกระเทียมอย่างง่าย ๆ ด้วยการหั่นกระเทียมเป็นแว่น แช่ในน้ำร้อนประมาณ 2-3 นาที แล้วกรองเอากากออก จิบเป็นชากระเทียมอุ่น ๆ ก็ดี หรือถ้าทนกลิ่นไม่ไหว จะเติมน้ำผึ้งหรือน้ำขิงเข้าไปสักหน่อยก็ได้จ้า

6. พริก
    
          เห็นมีแต่รสเผ็ดอย่างนั้นแต่จริง ๆ แล้วสารอาหารในพริกก็เด็ดไม่แพ้ความเผ็ดเลยค่ะ เพราะนอกจากพริกจะมีวิตามิน C แล้ว ความเผ็ดร้อนที่เกิดจากสารแคปไซซินของพริกยังช่วยบรรเทาอาการหวัด ขับเสมหะ และลดน้ำมูกได้สบาย ๆ ใครที่กินเผ็ดได้ก็จัดไปอย่าให้เสีย

7. ชาคาโมมายล์
    
          สารเด่น ๆ ในชาคาโมมายล์ที่ช่วยลดการอักเสบ ขับเสมหะ และลดน้ำมูกได้ ก็คือสารเอพิจีนีน ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ชนิดที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบในร่างกายได้ นอกจากนี้ในชาคาโมมายล์ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระด้วยนะคะ ยิ่งหากได้ดื่มชาคาโมมายล์อุ่น ๆ ในตอนที่เป็นหวัด ก็คงจะโล่งลำคอโล่งจมูกน่าดูเลยทีเดียว

8. ชาพริกไทยดำผสมน้ำผึ้ง
    
          พริกไทยดำมีรสเผ็ดร้อนจึงสามารถละลายเสมหะที่ติดอยู่ใ­­นลำคอ เคลียร์ให้ทางเดินหายใจสะดวกขึ้นได้ ส่วนน้ำผึ้งก็มีสรรพคุณคล้ายยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ กำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้อย่างหมดจด ดังนั้นเพียงแค่ดื่มชาพริกไทยดำผสมน้ำผึ้งอุ่น ๆ สักแก้ว อาการไอแถมเสมหะของเราก็จะเบาบางลงได้แล้วล่ะ

9. สับปะรด
    
          นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามิน C ที่จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ภูมิคุ้มกันได้แล้ว ความจี๊ดของสับปะรดก็อยู่ที่เอนไซม์บรอมีเลนซึ่งจะช่วยยับยั้งอาการอักเสบ ช่วยกำจัดเสมหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อภูมิคุ้มกันมีตัวช่วยเพิ่มขึ้น อาการอักเสบลดลง ปริมาณน้ำมูกก็จะค่อย ๆ ลดลงไปด้วยนั่นเอง

          สำหรับคนที่มีอาการหวัด น้ำมูกไหล มีเสมหะในลำคอ ก็ลองกินอาหารทั้ง 9 ชนิดนี้เพื่อบรรเทาอาการกันนะคะ และถ้าไม่อยากป่วยหนัก ซ้ำเติมอาการให้แย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ แนะนำให้เลี่ยงอาหารเหล่านี้ให้ไกลด้วย

          - 4 อาหารที่ถ้าเผลอกินตอนเป็นหวัด อาจป่วยหนักกว่าเก่า ! 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
whyamiunhealthy
organicauthority
livelovefruit
http://health.kapook.com/view160974.html
เครดิตภาพ  http://health.kapook.com/view160974.html

Tuesday, November 15, 2016

กินข้าวโพดฝักให้ได้สุขภาพ ต้องไม่กินมื้อเดียวกับข้าว




          กระทรวงสาธารณสุขแนะวิธีกินข้าวโพดฝักให้ได้สุขภาพ ควรกินสลับมื้อกับข้าว เพื่อให้ได้สารอาหารที่หลากหลาย พร้อมบอกวิธีเลือกซื้อข้าวโพดเพื่อให้ได้คุณค่าเต็มเมล็ด 

          วันที่ 28 มกราคม 2558 ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ข้าวโพดเป็นอาหารกลุ่มข้าว-แป้ง มีสารอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก และก็ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่สำคัญต่อร่างกายด้วย เช่น ใยอาหาร วิตามินเอ รวมถึงแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ ด้วย โดยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามสีของฝักข้าวโพด เช่น ข้าวโพดสีเหลืองจะมีวิตามินเอสูง เบต้าแคโรทีน และคาร์โบไฮเดรต ข้าวโพดสีม่วงจะมีแอนโทไซยานินสูง และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เป็นต้น ซึ่งข้าวโพดฝักทุกสีมักจะมีสารอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นหลักอยู่แล้ว เราจึงไม่ควรกินชนกับเมนูคาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ ในมื้อเดียวกันอีก เช่น ข้าวสวย ข้าวเหนียว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว กลอยและแป้งชนิดต่าง ๆ ควรกินในรูปแบบอาหารระหว่างมื้อ มิเช่นนั้นร่างกายจะได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตมากเกินความจำเป็น 

           ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า การเลือกซื้อข้าวโพดและการเก็บรักษาคุณค่าของเมล็ดข้าวโพดก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าหากบริโภคฝักข้าวโพดที่ดี ร่างกายก็จะได้รับคุณค่าอาหารอย่างเต็มเปี่ยม หลักการเลือกข้าวโพดสุกที่ต้ม นึ่ง ปิ้ง นั้นต้องเลือกข้าวโพดที่มีเมล็ดแต่งตึงไม่ลีบแบน เมล็ดไม่แก่เกินไป โดยสังเกตจากสีของเมล็ดข้าวโพด หากเมล็ดข้าวโพดที่แก่มีสีเหลืองเข้ม เมล็ดจะแข็ง และจะมีเปลือกหุ้มเมล็ดข้าวโพดที่แข็ง ที่สำคัญคือ ควรซื้อข้าวโพดในปริมาณที่เพียงพอจะประกอบอาหารในแต่ละครั้งเท่านั้น หากใช้ไม่หมดก็ควรนำไปนึ่งหรือต้มให้สุกนาน 10 นาที แล้วทิ้งให้เย็น ฝานเอาแต่เมล็ด เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท นำเข้าช่องแช่แข็ง ไม่ควรเก็บข้าวโพดดิบที่ซื้อมาไว้ในตู้เย็นนานเกินไป เพราะเมล็ดข้าวโพดจะลีบแบนเพราะสูญเสียน้ำ 

          ทั้งนี้ หลักการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยคือ ควรกินข้าวเป็นอาหารหลัก และสลับกินกับแป้งเป็นบางมื้อ และถ้าหากมื้อไหนกินข้าวโพดแล้ว ก็ควรลดข้าว-แป้งลงประมาณครึ่งทัพพี เพราะข้าวโพดครึ่งฝักนั้นก็เทียบได้กับการกินข้าวสวยประมาณ 1 ทัพพีแล้ว หากเน้นหลักการกินแบบนี้จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัน อีกทั้งยังทำให้น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้แล้วยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย ก็จะทำให้มีสุขภาพดี 


Sunday, November 13, 2016

รู้หรือไม่ ! กิน ข้าวโพด วันละ 1 ฝัก มีประโยชน์ต่อร่างกายแบบที่คุณไม่คาดคิดมาก่อนแน่นอน




ข้าวโพด พูดไปถ้าใครบอกว่าไม่รู้จัก นี่โกหกชัดๆเลยนะ ใครก็รู้จักข้าวโพด เพราะในปัจจุบันมีคนนำมาแปรรูปเป็นอาหารที่หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พายข้าวโพด ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดต้ม ข้าวโพดคลุกเนย น้ำข้าวโพด สารพัดที่จะทำได้ แต่คุณรู้หรือไม่ข้าวโพดมีดีกว่าที่คุณคิด ในวันนี้เราจึงอยากมานำเสนอข้าวโพดอาหารดีมีประโยชน์ ไม่กินไม่ได้แล้ว

สารอาหารในข้าวโพด

คาร์โบไฮเดรต
1. ข้าวโพดเป็นพืชที่ให้พลังงาน ในเนื้อในของเมล็ดข้าวโพดที่แก่จัด
2. อุดมไปด้วยสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ประมาณร้อยละ 72
3. จัดเป็นอาหารจำพวกแป้งที่ให้พลังงาน คือ 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่

ไขมัน
1. เมล็ดข้าวโพดที่แก่จัดมีไขมันอยู่ประมาณร้อยละ 4
2. หากนำข้าวโพดไปผลิตเป็นน้ำมันข้าวโพด แล้วใช้ในการประกอบอาหารจะได้น้ำมันที่ประกอบไปด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่
3. ซึ่งมีกรดไลโนเลอิก 50% และกรดโอเลอิก 37% ซึ่งถือเป็นกรดไขมันชนิดนี้
4. มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย คือ มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลให้เป็นปกติ

โปรตีน
1. ข้าวโพดอุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบประมาณร้อยละ 4 โปรตีน ถือว่าเป็นโปรตีนที่ยังไม่สมบูรณ์
2. เนื่องจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายคือ ไลซีนและทริบโตฟาน
3. คุณควรรับประทานข้าวโพดร่วมกับถั่วเมล็ดต่างๆ

วิตามิน
1. ในทุกสายพันธุ์ของข้าวโพดจะอุดมไปด้วยวิตามินซี
2.แต่ถ้าคุณต้องการวิตามินเอจะมีเฉพาะในสายพันธุ์ที่มีเมล็ดสีเหลืองเท่านั้น
3. วิตามินเอจะอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน ซึ่งถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
4. มีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
5. สารเบต้าแคโรทีน มีส่วนช่วยป้องกันตาเสื่อมสภาพ
6. อีกทั้งยังมีวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2

เกลือแร่
1.ข้าวโพดมีส่วนประกอบเกลือแร่ที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
2. อาทิเช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็กแต่ก็มีในปริมาณน้อยมาก

เส้นใยอาหาร
1. ข้าวโพดมีส่วนช่วยในการขับถ่าย
2. มีเส้นใยอาหารทั้งชนิดที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ
3. มีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอลได้ดี


ประโยชน์ของข้าวโพด

มีส่วนช่วยบำรุงสายตา
1. เนื่องจากในตัวข้าวโพดอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน (β-carotene) หรือที่เรารู้กันว่าเป็น โปรวิตามินเอ
2. ร่างกายคนเราจะนำไปใช้สร้างสารโรดอปซิน
3.มีส่วนช่วยลดอัตราเสื่อมของลูกตาและป้องกันการเป็นโรคต้อกระจกตา

โฟเลต
1. มีส่วนช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ
2. ช่วยชะลอในการเสื่อมสภาพของร่างกาย
1.เนื่องจากข้าวโพดมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ผูกกับใยที่ละลายกับน้ำดีจากคอเลสเตอรอลในตับของเรา
2. มีส่วนช่วยให้คอเลสเตอรอลในร่างกายสลายไปได้ดี
3. อุดมไปด้วยโฟเลต, วิตามินบีที่มีส่วนช่วยในการลดระดับของ homocysteine
4. มีกรดอะมิโนสำคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม ระดับสูงของ homocysteine สามารถทำลายเส้นเลือดที่นำไปสู่หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหลอดเลือด
5. มีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดันในร่างกาย

ช่วยในการขับถ่าย
1. ในระบบของการย่อยอาหาร
2. มีส่วนช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร จากโรคทางเดินอาหาร หรืออาหารท้องผูกจะทุเลาลง
3. มีส่วนช่วยระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น

บำรุงผิวพรรณ
1. อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
2. มีส่วนช่วยให้แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อยๆ
3. มีส่วนช่วยเรื่องผิวพรรณของเราไม่ให้เหี่ยวย่น
4. ทำให้ดูเปล่งปลั่งดูสดชื่นมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ


การรับประทานข้าวโพดอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สารต้านอนุมูลอิสระในข้าวโพด คือ
1. กรดเฟอรูริก เป็นของดี นอกจากข้าวโพดแล้ว ยังมีในธัญพืชอื่นเช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต เมล็ดกาแฟ ถั่วลิสง แอปเปิล ส้ม อาติโช้คและสับปะรดด้วย
2. กรดชนิดนี้จะอาศัยอยู่ตามผนังเซลล์ของข้าวโพด
3. ในข้าวโพดดิบ กรดเฟอรูริกจะเป็นตัวต้านมะเร็ง จะไม่ค่อยออกมา แนะนำว่าควรนำไปทำให้สุกก่อน.โดยการต้มหรือย่าง
4. กรดเฟอรูริกจะออกมามากขึ้น เนื่องจากผนังเซลล์ถูกความร้อนสลายไป ซึ่งเป็นการช่วยปลดปล่อยกรดเฟอรูริกต้านมะเร็งออกมาได้เยอะมากขึ้น
5. การต้มนานๆ มีข้อดี คือ ได้ปลดปล่อยสารต้านมะเร็งออกมามาก ทำให้แป้งที่ไม่ย่อย กลายเป็นแป้งที่ย่อยได้ดีขึ้น
6. ข้อควรระวังไม่ควรต้มนานจนเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ข้าวโพดเหลือแต่ไฟเบอร์ได้


คุณควรรับประทานข้าวโพด
1. ต่อวันเกินครึ่งฝักหรือ 1 ฝักเท่านั้น
2. เนื่องจากข้าวโพดให้พลังงานถึง 150 กิโลแคลอรี่ ซึ่งอาจจะทำให้กินเกินน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

ข้าวโพดที่กำลังงอก
1. ลักษณะเหมือนมีต้นอ่อนอยู่ในเมล็ดข้าวโพด
2. จะอุดมไปด้วยสารกาบ้าเหมือนข้าวกล้องงอก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง

สีของข้าวโพดที่แตกต่างกันตามสายพันธุ์ก็มีส่วนสำคัญ

1. ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีเหลืองอ่อน สีม่วงดำ
2.เราขอแนะนำว่าให้เลือกรับประทานข้าวโพดสีค่อนข้างเข้ม
3. อาทิเช่น เหลืองเข้ม เนื่องจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่ม ลูทีนและ ซีแซนทีนเยอะ
4. ในส่วนของสีดำหรือสีม่วงเข้ม เนื่องจากจะมีสารโอพีซี เหมือนสารสกัดในเมล็ดอุง่น


ข้าวโพดเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับใครบ้างตามมาดู

เหมาะสำหรับวัยเด็ก เนื่องจากช่วยสร้างเซลล์ประสาทที่จอ ตา
เหมาะสำหรับคนที่ใช้สายตาเยอะ นั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ หรือโดนแดด ควัน และฝุ่นเยอะ จอประสาทตาอาจจะเสื่อมง่าย
เหมาะสำหรับคนเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอัลไซเมอร์ ควรรับประทาน เนื่องจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะ

ข้าวโพดเป็นอาหารที่ไม่เหมาะสำหรับใครบ้างตามมาดู

ผู้สูงอายุที่มีปัญหาท้องอืดบ่อย หรือว่าลำไส้ย่อยยาก
คนที่เพิ่งผ่าตัดช่องท้องมาใหม่ๆ เนื่องจากจะทำให้ท้องอืดได้ง่าย


หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ก็ได้ทราบถึงข้าวโพดอาหารดีมีประโยชน์ ไม่กินไม่ได้แล้วกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เห็นไหมว่าข้าวโพดที่คุณอาจไม่ชอบทานหรือมองข้ามไป มันมีประโยชน์มากมายขนาดไหน แล้วจะรอช้าอยู่ใยไปหามาทานกันดีกว่า

ขอบคุณที่มา: http://www.naarn.com/10519/
โพสท์โดย: SpiderMeaw
http://board.postjung.com/998317.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/477522366718394157/