Wednesday, March 29, 2017

10 ประโยชน์มะเขือเทศราชินี ผลไม้ดี ๆ เพื่อนซี้ของคนรักสุขภาพ




          มะเขือเทศราชินี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มะเขือเทศเชอร์รี  (Cherry tomato) ผลไม้หน้าตาน่ารัก ที่ใครได้รู้จักประโยชน์เป็นต้องร้องว้าวอย่างแน่นอน

          ถ้าเอ่ยถึงมะเขือเทศ เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักมะเขือเทศลูกโต ๆ อย่างมะเขือเทศสีดากันเป็นอย่างดี เพราะเป็นผลไม้ที่นิยมนำมาประกอบอาหาร และยังเปี่ยมล้นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวได้ดีเยี่ยม แต่ถ้าเอ่ยถึงญาติของมันอย่างมะเขือเทศราชินีล่ะ บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามะเขือเทศลูกเล็กอย่างมะเขือเทศราชินีนั้นมีประโยชน์ขนาดไหน 

          วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับมะเขือเทศราชินีให้มากขึ้น รับรองว่าถ้าคุณได้รู้จักมะเขือเทศราชินีแล้ว คุณจะต้องตกหลุมรักผลไม้ชื่องามสง่านี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว

รู้จักมะเขือเทศราชินี

          มะเขือเทศราชินี กับ มะเขือเทศเชอร์รี (Cherry tomato) ก็คือผลไม้ชนิดเดียวกัน มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Solanum lycopersicum L. var. cerasiforme อยู่ในวงศ์ Solanaceae เป็นพืชล้มลุก ลำต้นตั้งตรง มีขนอ่อน ๆ ปกคลุมลำต้น ใบประกอบเป็นแบบสลับ ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กเรียว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก คล้ายฟันเลื่อย มีขนอ่อนปกคลุม ดอกมีสีเหลือง ผลมีลักษณะกลมรี หรือทรงรี เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ มีรสเปรี้ยวอมหวาน

มีอะไรอยู่ในมะเขือเทศราชินี ?

          ใครจะไปคาดคิดว่าในมะเขือเทศราชินีลูกเล็ก ๆ จะมีคุณค่าทางอาหารซ่อนอยู่เพียบ เราไปดูกันดีกว่าว่า ในมะเขือเทศราชินี 100 กรัม (ประมาณ 5-7 ลูก) มีคุณค่าทางโภชนาการอะไรบ้าง

          - พลังงานประมาณ 18 กิโลแคลอรี
          - คาร์โบไฮเดรต  4.2  กรัม
          - ไฟเบอร์ 0.8 กรัม
          - กลูโคส 2.5  กรัม
          - โปรตีน 0.8 กรัม
          - โซเดียม 10.8 มิลลิกรัม
          - วิตามินเอ 86.3 ไมโครกรัม
          - วิตามินซี 34.1 มิลลิกรัม
          - แคลเซียม 12.5 มิลลิกรัม
          - ธาตุเหล็ก 0.3 มิลลิกรัม

มะเขือเทศราชินี ประโยชน์ดี๊ ดี สรรพคุณเด็ด

+ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

          ผลไม้ฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้มีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยเลยค่ะ ซึ่งวิตามินซีจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อป้องกันหรือกำจัดเชื้อโรคแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย จึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยไม่เจ็บง่าย ๆ และโดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงต้องการวิตามินซีวันละ 75 มิลลิกรัม ส่วนผู้ชายต้องการวิตามินซีวันละ 90 มิลลิกรัม ซึ่งมะเขือเทศราชินี 1 ถ้วย (ประมาณ 240 กรัม หรือ 14-15 ลูก) จะให้วิตามินซีราว ๆ 80 มิลลิกรัม ก็ถือว่าเพียงพอกับความต้องการของร่างกายใน 1 วัน

+ ลดความเสี่ยงโรคร้าย

          มีมะเขือเทศราชินีที่ไหน มีไลโคปีน (Lycopene) ที่นั่นค่ะ  เชื่อว่าทุกคนคงจะเคยผ่านหูผ่านตากับชื่อของไลโคปีนกันมาบ้างแล้ว ซึ่งไลโคปีนก็คือ สารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่าง ๆ อันมีสาเหตุมาจากเซลล์ถูกทำลายได้ อย่างเช่น โรคมะเร็ง ยืนยันโดยงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร "Canadian Medical Association Journal"

          นอกจากในมะเขือเทศราชินีจะเป็นแหล่งไลโคปีนแล้ว ในมะเขือเทศราชินียังมีสารประกอบฟีนอลิก (Phenolic compounds) ที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี โดยจากการศึกษาของคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เขตพระนคร ร่วมกับ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เรื่อง "ผลของสายพันธุ์ต่อความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์การต้านออกซิเดชั่นของมะเขือเทศราชินี" ในมะเขือเทศราชินีสุก 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ 12005 12034 C40 และ G50 พบว่ามะเขือเทศราชินีสายพันธุ์ C40 มีสารประกอบฟีนอลิก(Phenolic compounds) และมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง  โรคหัวใจและหลอดเลือดได้  ฉะนั้นถ้าเรากินมะเขือเทศราชินีเป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้

+ แก้ปวดและต้านการอักเสบ

          ใครที่เป็นโรคข้ออักเสบ แนะนำให้กินมะเขือเทศราชินีค่ะ เพราะในมะเขือเทศราชินีมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoid) และแคโรทีนอยด์ช่วยบรรเทาอาการปวด อาการอักเสบ และชะลอโรคให้ช้าลง ส่วนใครที่ยังไม่ได้เป็นโรคข้ออักเสบมะเขือเทศราชินีก็ช่วยป้องกันโรคไขข้ออักเสบได้ด้วยนะ

+ ควบคุมความดัน ป้องกันโรคหัวใจ

          โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเป็นเกราะกำบังโรคหลอดเลือดและหัวใจค่ะ ซึ่งมะเขือเทศราชินี เป็นแหล่งโพแทสเซียมชั้นดีเลย เพราะมะเขือเทศราชินี 1 ถ้วย ให้โพแทสเซียมมากกว่า 350 มิลลิกรัม ทานเป็นประจำจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ และป้องกันโรคหัวใจได้

+ แก้ท้องผูก บูทระบบขับถ่าย

          ในมะเขือเทศราชินีอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จึงช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหาร และช่วยเพิ่มกากอาหาร ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น จึงเป็นอาหารที่เหมาะกับคนที่ปัญหาระบบขับถ่ายโดยเฉพาะท้องผูกประจำ ต้องหม่ำมะเขือเทศราชินีให้ไวเลย

+ ลดน้ำหนักก็ได้

          มะเขือเทศราชินีเป็นผลไม้ที่คู่ควรกับคนที่กำลังลดน้ำหนักจริง ๆ ค่ะ เนื่องจากมีปริมาณน้ำและเส้นใยอาหารมาก กินแล้วอิ่มท้อง คนที่กำลังไดเอตอย่าลืมหามะเขือเทศราชินีมาวางไว้ใกล้ตัวนะคะ หิวเมื่อไรจะได้หยิบกินได้สะดวก

+ บำรุงสายตา

          ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจค่ะ ถ้าใครอยากมีสายตาดี ต้องกินมะเขือเทศราชินีที่มีสารเบต้า-แคโรทีน (Beta-carotene) สูงมาก การันตีจากการศึกษาเรื่อง "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และเบต้า-แคโรทีน) ในผลไม้" โดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่ามะเขือเทศราชินีสีเหลืองมีเบต้า-แคโรทีน สูงเป็นอันดับ 2 ในบรรดาผลไม้ทั้งหมด 10 ชนิดที่นำมาทดสอบ (ผลไม้อื่น ๆ ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะละกอสุก กล้วยไข่ มะม่วงยายกล่ำ มะปรางหวาน แคนตาลูปเนื้อเหลือง มะยงชิด มะม่วงเขียวเสวยสุก และสับปะรดภูเก็ต) ซึ่งเจ้าเบต้า-แคโรทีนนี่ล่ะค่ะที่ช่วยบำรุงสายตา ทำให้เรามองเห็นได้ดีในที่มืด แถมยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกอีกด้วย

+ บำรุงผิวพรรณ

          สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวใส อมชมพู  แก้มแดง โดยไม่ต้องพึ่งแอพฯ ขอแนะนำให้กินมะเขือเทศราชินีค่ะ เพราะในมะเขือเทศราชินีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย บำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื้น ส่วนคนที่มีปัญหาหน้ามัน ผิวมันบ่อย ๆ หยิบมะเขือเทศราชินีในครัวขึ้นมาหั่นบาง ๆ แล้วโปะลงบนหน้าสักพัก จากนั้นค่อยล้างออก ทำเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอน ก็จะช่วยให้หน้าใส ไร้ความมันมากวนใจ

+ รักษาสิว

          ช่วงวัยรุ่นเป็นวัยที่ฮอร์โมนกำลังเปลี่ยนแปลง จึงมีปัญหาสิวกวนใจได้ง่าย  แต่ถ้าใครมีมะเขือเทศราชินีอยู่ใกล้ ๆ ตัว ก็ลองหยิบมะเขือเทศราชินีมารักษาสิวดูสิคะ  ในมะเขือเทศราชินีมีวิตามินอี จึงมีสรรพคุณช่วยรักษาสิวได้  วิธีการก็คือ เฉือนมะเขือเทศราชินิให้เป็นชิ้นบาง ๆ และวางไว้บริเวณที่มีสิวขึ้นสัก 30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด เพียงเท่านี้สิวก็จะลดลง ผิวหน้าก็จะชุ่มชื้น มีน้ำมีนวลขึ้น อย่างเห็นได้ชัด

+ ป้องกันผมร่วง

          ปัญหาผมร่วงคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครหลาย ๆ คนใช่ไหมคะ เพราะส่งผลต่อบุคลิกของเรา นี่ถ้าใครผมร่วงมาก ๆ อาจถึงขั้นสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเลยแต่อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ เพราะในมะเขือเทศราชินีมีวิตามินเอ ที่จะช่วยให้สุขภาพผมแข็งแรงขึ้น เพียงแค่เราคั้นน้ำมะเขือเทศราชินี แล้วนำมาสระผมแทนชมพู ผมของเราก็จะมีสุขภาพดีขึ้นได้ แต่อย่าลืมล้างผมให้สะอาดด้วยนะ ไม่อย่างนั้นละก็ผมจะเหนียวและดูรุงรังมากขึ้นไปอีก

ข้อควรระวังในการทานมะเขือเทศราชินี

          ถึงแม้ว่ามะเขือเทศราชินีจะมีประโยชน์มากขนาดไหน  แต่ใช่ว่าทุกคนจะกินมะเขือเทศราชินีได้นะคะ  เพราะยังมีคนบางกลุ่มที่ควรระวังในการกินมะเขือเทศราชินี อย่างเช่น

+ คนที่มีภาวะกรดไหลย้อน

          คนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ากินมะเขือเทศราชินีมากเกินไป จะทำให้โรคกำเริบได้ เนื่องจากมะเขือเทศราชินีมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ๆ 

+ คนที่เป็นโรคไตและผู้ที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง

          คนที่เป็นโรคไตและคนที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงไม่ควรกินมะเขือเทศราชินีค่ะ เนื่องจากมะเขือเทศราชินีมีโพแทสเซียมสูงอยู่แล้ว ถ้าร่างกายขับโพแทสเซียมออกมาไม่หมด จะทำให้ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือดเกิดความผิดปกติ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจที่อาจหยุดเต้นจนเสียชีวิตได้เลย

          เมื่อได้รู้ประโยชน์ของมะเขือเทศราชินีแบบนี้แล้ว ก็อย่ารอช้า รีบไปจัดมะเขือเทศราชินีโดยด่วนเลยนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วารสารข่าวการเกษตรชลประทาน 
สำนักโภชนาการ กรมอนามัย
inetarticle
healthyliving 
healthyandnaturallife
eatthismuch
เครดิตภาพ  https://health.kapook.com/view168485.html

Tuesday, March 28, 2017

วิธีไล่ตุ๊กแกออกจากบ้าน แบบจากกันด้วยดี



 
 
          ตุ๊กแกเข้าบ้านทำไงดี มาดูวิธีไล่ตุ๊กแกเด็ด ๆ ออกจากบ้าน แบบจากกันด้วยดี วิธีไล่ตุ๊กแกง่าย ๆ ไม่ต้องจับด้วยมือ ตุ๊กแกก็ยอมออกจากบ้านแต่โดยดี

          ตั๊กแก..ตั๊กแก.. เสียงหลอนกวนใจ ที่ทำให้หลายคนต้องขนลุกขนพอง ยิ่งถ้าเสียงนั้นดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลภายในบ้านด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หลอนหนักไปกันใหญ่ หลายคนจึงกลุ้มอกกลุ้มใจว่าจะใช่เสียงตุ๊กแกหรือเปล่า? และ
ถ้าใช่ จะมีวิธีไล่ตุ๊กแกอย่างไร แบบต่างคนต่างไปดีนะ? วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอนำเอา วิธีไล่ตุ๊กแก ให้ออกไปจากบ้านของคุณมาฝากจ้า

รู้จักกับตุ๊กแก

          ตุ๊กแก เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายจิ้งจก ซึ่งสามารถปรับสีตามสภาพแวดล้อมได้เหมือนกัน แต่ตุ๊กแกจะมีขนาดใหญ่กว่า และมีสีสันที่หลากหลาย เช่น สีน้ำตาล สีเทา สีดำ หรือสีฟ้าอ่อน โดยมีลายจุดสีส้มทั่วตัว หากโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร มักพบได้ตามบ้านเรือนทั่วไป โดยออกหากินในเวลากลางคืน ซึ่งอาหารของตุ๊กแกก็คือแมลง และสัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู เป็นต้น

ด้วยความที่เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่หน้าตาน่าขยะแขยง ดังนั้นหากเจ้าตุ๊กแกไปโผล่อยู่ในบ้านใคร เจ้าของบ้านก็มักจะกลุ้มใจกับการหาวิธีไล่ตุ๊กแกออกไปจากบ้าน อีกทั้งเสียงร้องที่ดังคำรามยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปอีก ซึ่งวิธีไล่ตุ๊กแกแบบไม่ต้องทำอันตรายกับมัน สามารถทำได้ดังนี้

วิธีไล่ตุ๊กแก

1. ยาฉุน


          ยาฉุน หรือ ยาเส้น สำหรับมวนสูบ สามารถนำมาใช้ไล่ตุ๊กแกให้ออกจากบ้านไปได้ โดยนำมาผสมกับน้ำในปริมาณเข้มข้น จากนั้นนำไปเท หรือฉีดให้ทั่วบริเวณที่ตุ๊กแกอาศัยอยู่ เจ้าตุ๊กแกก็จะค่อย ๆ อพยพออกไปเอง เพราะตุ๊กแกส่วนใหญ่ไม่ชอบกลิ่นแรง ๆ ของยาฉุน

2. กิ่งยี่โถ

          หากใครมี ต้นยี่โถ ปลูกไว้ในสวน ลองนำมาใช้เป็นตัวช่วยไล่ตุ๊กแก ด้วยการตัดกิ่งยี่โถ แล้วนำมาปักหรือวางไว้บริเวณที่ตุ๊กแกเกาะอยู่เป็นประจำ หรือใช้ใบยี่โถมาขยำ ๆ เพื่อเอากลิ่นก็ได้ เพราะกลิ่นของกิ่งยี่โถก็เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เจ้าตุ๊กแกไม่ชอบนัก

3. ผ้าห่อลูกเหม็น

          ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ลูกเหม็น ดังนั้นเรื่องกลิ่นคงไม่ต้องสงสัย นอกจากจะใช้ไล่แมลงสาบได้แล้ว ยังสามารถนำมาห่อด้วยผ้าและนำไปแขวนหรือวางไว้บริเวณที่ตุ๊กแกชอบเกาะอยู่ได้ด้วย กลิ่นของลูกเหม็นจะช่วยขับไล่ตุ๊กแกให้ทนไม่ไหวและบอกลาจากบ้านไปเอง

4. ปูนแดงผสมยาเส้น

          นำปูนแดงกับยาเส้น มาพันไว้ที่ปลายไม้ขนาดยาวพอสมควร จากนั้นแหย่ปลายไม้ไปที่ตุ๊กแก ตามสัญชาตญาณตุ๊กแกจะหันมางับปลายไม้ และจะเกิดอาการเมายาจนเกาะผนังไม่อยู่ หากตุ๊กแกร่วงลงพื้นก็สามารถกวาดออกไปนอกบ้านได้ หรือถ้างับติดอยู่ที่ปลายไม้ ก็ให้รีบนำไปทิ้งนอกบ้านก่อนตุ๊กแกจะหายเมายา

5. ยากันยุง


          กลิ่นของยากันยุงนอกจากจะไล่ยุงได้แล้ว ยังช่วยไล่ตุ๊กแกให้ออกจากบ้านไปได้เหมือนกัน เพียงแค่จุดยากันยุงไว้บริเวณที่ตุ๊กแกอาศัยอยู่ จนมันทนไม่ได้และอพยพหนีไปเอง หรือถ้ามันเมายาจนหล่นลงมา ก็สามารถพามันออกไปนอกบ้านได้ง่าย ๆ แต่ทางที่ดีควรเก็บไว้เป็นทางเลือกหลัง ๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นยากันยุงก็อาจทำอันตรายกับคนในบ้านได้เช่นกัน โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กจ้า

          หรือถ้าหากใครสามารถทนอยู่ร่วมบ้านกับตุ๊กแกได้ ข้อดีของการมีตุ๊กแกอยู่ในบ้านก็คือ สามารถกำจัดแมลงสาบ หนู และแมลงอื่น ๆ ให้หมดไปไม่ต้องมากวนใจอยู่บ่อย ๆ ยกเว้นว่าอย่าโดนตุ๊กแกกัดเชียวนะ เพราะเจ้าตุ๊กแกจะกัดไม่ยอมปล่อย จนกว่าจะได้ยินเสียงฟ้าร้อง หรือเสียงดังมาก ๆ เลยทีเดียว

          ได้รู้จักกับวิธีไล่ตุ๊กแกให้ออกจากบ้านแล้ว หากใครไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับตุ๊กแก ก็สามารถนำวิธีกำจัดตุ๊กแกเหล่านี้ไปลองใช้กันดูได้นะคะ จะได้จากกันด้วยดีไม่ต้องมีใครเจ็บตัว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก wikihow และ kroobannok.com

Wednesday, March 22, 2017

ขอเถอะอย่าทิ้งไว้ 9 สิ่งนี้ควรทำความสะอาดทุกวัน ไม่งั้นโรคถามหาแน่ !




         รู้หรือไม่...สิ่งของใกล้ตัวนี่แหละคือ ตัวการสำคัญที่นำสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียมาสู่ร่างกายของเรา ไปดูกันดีกว่าว่าจะมีสิ่งของใกล้ตัวชนิดไหนที่เราควรทำความสะอาดทุกวันบ้าง
 
          เพราะหลายคนชอบคิดว่าก็ไม่เห็นจะสกปรกตรงไหน ไม่ต้องทำความสะอาดก็ได้นี่ก็เป็นความคิดที่ผิดนะคะ เพราะสิ่งปรกและเชื้อแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ นั้นมีขนาดเล็กเกินกว่าที่เราจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรืออาจมองเห็น แต่เป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ จนทำให้เราเผลอไปสัมผัสหรือหยิบ-จับมาใช้งาน ซึ่งของใช้ในบ้านแต่ละอย่างที่นำมาฝากกันในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำความสะอาดกันทุกวัน เพราะไม่อย่างนั้นสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียจะตกค้าง สะสม และก่อตัวเป็นเชื้อร้ายที่อาจจะเข้าสู่ร่างกายของเราได้ง่าย ๆ ทางที่ดียอมทำความสะอาดกันสักนิด เพื่อพิชิตสุขอนามัยที่ดีของคนในบ้านดีกว่าค่ะ  

1. ผ้าขี้ริ้ว

          ผ้าที่ใช้เช็ดทำความสะอาดอเนกประสงค์ภายในห้องครัว ล้วนแล้วแต่มีสิ่งสกปรกสะสมอยู่เต็มไปหมด ไหนจะใช้เช็ดเศษอาหาร คราบน้ำมัน หรือแม้กระทั่งมือ ฉะนั้นหลังใช้งานในแต่ละวันเสร็จแล้ว ควรจะนำไปซักทำความสะอาดเลยทันที รวมไปถึงผ้าเช็ดมือในห้องน้ำที่ควรเปลี่ยนมาซักทำความสะอาด 2 วันต่อ 1 ครั้ง แต่ถ้าที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่แนะนำให้เปลี่ยนวันต่อวันไปเลยค่ะ

2. กุญแจ

          แม้จะล้างทำความสะอาดมือได้ดีขนาดไหน แต่เราก็ไม่อาจจะรอดพ้นจากสิ่งสกปรกบนกุญแจไปได้ เพราะจริง ๆ แล้วกุญแจนี่แหละคือแหล่งสะสมสิ่งสกปรกเบอร์ต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ลองนึกดูนะคะว่าวันหนึ่งเราใช้งานกุญแจกันอย่างไรบ้าง ไหนจะวางไว้กับพื้น ใส่ในกระเป๋า หรือจับตอนที่มือเปื้อนอาหาร มิหนำซ้ำบางคนยังไม่เคยทำความสะอาดอีก เป็นสาเหตุให้มีเชื้อโรคสะสมอยู่มาก ดังนั้นหลังใช้งานในแต่ละวันเสร็จแล้วก็ควรเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคจะดีกว่า
 
3. กระเบื้องในห้องน้ำ

          ห้องน้ำถือว่าเป็นจุดที่มีสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียมากกว่าห้องอื่น ๆ ดังนั้นเราจึงต้องทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ยิ่งถ้าผนังห้องน้ำที่บ้านเป็นกระเบื้องด้วยแล้ว ยิ่งต้องทำความสะอาดทุกวัน ด้วยการฉีดน้ำล้างผนังให้สะอาดและใช้ผ้าเช็ดให้แห้งหลังใช้งานครั้งสุดท้ายของแต่ละวัน เพื่อป้องกันการก่อตัวของแบคทีเรีย เชื้อรา และสิ่งสกปรกอื่น ๆ อีกมากมาย

4. ฟองน้ำ

          นอกเหนือจากผ้าเช็ดอเนกประสงค์ในห้องครัวที่ควรทำความสะอาดทุกวันแล้ว ยังมีฟองน้ำของใช้สารพัดประโยชน์ที่ต้องทำความสะอาดทุกวันเหมือนกัน โดยเฉพาะฟองน้ำล้างจาน เพราะทุกครั้งที่ล้างจานสิ่งสกปรกจากจาน-ชามจะเข้าไปตกค้างและสะสมอยู่ในฟองน้ำเยอะแยะเต็มไปหมด แค่ล้างน้ำเปล่าอย่างเดียวก็คงไม่พอ เพราะต้องนำไปซักล้างด้วยน้ำยาล้างให้สะอาดก่อน จากนั้นนำเข้าไปอบในไมโครเวฟสัก 2-3 นาที ด้วยความร้อนต่ำสุดเพื่อฆ่าเชื้อโรคให้หมดไป

5. อ่างน้ำ

          อ่างน้ำไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างมือ อ่างล้างหน้า หรืออ่างล้างจานทั่วไป เป็นหนึ่งในจุดในบ้านที่มีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคเต็มไปหมด มันมักจะเข้าไปติดอยู่ตามซอกหรือกระเด็นเกาะบริเวณรอบ ๆ อ่าง ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียนานาชนิด ดังนั้นหลังจากการใช้งานในครั้งสุดท้ายของวัน ควรจะล้างทำความสะอาดทั้งภายในอ่างและบริเวณรอบอ่างให้เกลี้ยงด้วยนะคะ

6. จานที่แช่น้ำในอ่าง

          แม้จะมีอาการหนังท้องตึงหน้าตาหย่อนขนาดไหน ก็ต้องฝืนใจลุกขึ้นมาล้างจาน-ชามให้สะอาดทุกครั้งหลังกินข้าวเสร็จนะคะ ห้ามแช่ไว้ในอ่างล้างจานเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นมันจะยิ่งสกปรกและมีเชื้อโรคสะสมมากกว่าเดิม ไหนจะส่งกลิ่นเหม็นที่ทำลายบรรยากาศในบ้านอีก ฉะนั้นตั้งกฎกับตัวเองและคนในครอบครัวเลยว่า กินอาหารเสร็จเมื่อไร ก็ลุกไปล้างจาน-ชามเลยทันที ห้ามแช่ทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืนเด็ดขาด

7. เครื่องชงกาแฟ  

          เพราะต้องใช้งานเครื่องชงกาแฟทุกวัน ฉะนั้นภายในเครื่องจึงเต็มไปด้วยความเปียกชื้น กลิ่นเหม็นอับ และน้ำมันจากเมล็ดกาแฟที่ตกค้างและสะสมอยู่ ถ้าไม่อยากดื่มกาแฟไปพร้อม ๆ กับสิ่งสกปรกเหล่านี้ แนะนำให้ทำความสะอาดทุกครั้งหลังใช้งาน ด้วยการถอดแต่ละชิ้นส่วนออกมาล้างและเช็ดให้แห้ง แล้วค่อยทำความสะอาดอย่างจริงจังในวันหยุดสุดสัปดาห์ดีกว่าค่ะ

8. เขียง

          เขียงถือว่าเป็นอุปกรณ์ครัวที่ง่ายต่อการสะสมของสิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรีย เพราะทุกครั้งที่หั่นอาหารจะเกิดร่องรอยอยู่บนเขียง ทำให้เศษอาหารเข้าไปติดอยู่ตามร่องนั้น และถ้ายิ่งปล่อยปละละเลยไม่ทำความสะอาดทุกวันละก็ รับรองได้เลยว่าทั้งสิ่งสกปรก เชื้อโรค และเชื้อแบคทีเรียก็จะก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีทำความสะอาดก็ง่าย ๆ หลังล้างทำความสะอาดทั่วไปเสร็จแล้ว ให้นำเขียงไปแช่ในส่วนผสมของน้ำเปล่าและน้ำส้มสายชูในปริมาณที่เท่า ๆ กัน ทิ้งไว้ 2 นาที หรือจะผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา กับน้ำร้อน ½ ลิตร แล้วนำไปราดบนหน้าเขียงให้ทั่ว ทิ้งไว้ 5-10 นาที ล้างด้วยน้ำสะอาดออกให้เกลี้ยงก็เป็นอันเสร็จ

9. แปรงและฟองน้ำแต่งหน้า

          ใบหน้าถือว่าเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่ควรนำแปรงและฟองน้ำแต่งหน้าที่สกปรก ๆ มาสัมผัสหน้าทุกวันโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดสิวได้เลยนะคะ ทางที่ดีหลังแต่งหน้าเสร็จให้นำไปล้างทำความสะอาดในน้ำสบู่กับน้ำอุ่นทุกวัน เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกไม่ให้มาพบกับใบหน้าของเรายังไงล่ะ

          น่าตกใจใช่ไหมล่ะที่เราอยู่ใกล้กับสิ่งสกปรก เชื้อโรค และเชื้อแบคทีเรียทุกวัน แม้กระทั่งสิ่งของบางอย่าง เราเองที่เป็นเจ้าของยังคาดไม่ถึงเลยว่าจะมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่เต็มไปหมด เพื่อสุขภาพร่างกายและสุขอนามัยที่ดีของตัวเราและคนในบ้าน ก็อย่าลืมทำความสะอาดสิ่งเหล่านี้กันด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Brightside, apartmenttherapy และ huffingtonpost
https://home.kapook.com/view166812.html
เครดิตภาพ  https://home.kapook.com/view166812.html

Tuesday, March 21, 2017

5 สิ่งที่ควรใส่ในเครื่องดื่มคลายร้อน เพราะช่วยลดน้ำหนักได้




        ส่วนผสมในเครื่องดื่มที่ช่วยลดน้ำหนัก 5 อย่าง ถ้าไม่อยากอ้วนฉุจนทำให้ใส่บิกินี่ไปอวดโฉมที่ทะเลไม่ได้ ก็ลองเลือกมาใส่เครื่องดื่มแก้วโปรดของคุณดูนะคะ

          อากาศร้อนระอุขั้นสุดแบบนี้ คงไม่มีอะไรดีเท่ากับการได้นั่งในที่เย็น ๆ หรือหาเครื่องดื่มที่ทำให้ชื่นใจคลายร้อนมาดื่มอีกแล้วล่ะ แต่ทว่าพวกเครื่องดื่มที่สาว ๆ ชอบดื่มในช่วงหน้าร้อน มักจะเต็มไปด้วยน้ำตาลที่ทำให้อ้วนฉุได้ทั้งนั้น ทางที่ดีควรหันมาเลือก 5 สิ่งนี้ไปใส่ในเครื่องดื่มของคุณกันดีกว่า เพราะ allwomenstalk บอกว่า มันช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยล่ะ

หญ้าหวาน

          อยากดื่มเครื่องดื่มหวาน ๆ ให้ชื่นใจในหน้าร้อน ก็ไม่จำเป็นต้องง้อน้ำตาลที่จะพาให้หุ่นอ้วนฉุเลย เพราะคุณสามารถใช้หญ้าหวานแทนได้ และบอกเลยว่ารสชาติหวานกว่าน้ำตาลกว่า 600 เท่า แต่ไม่ทำให้อ้วนแน่นอน

มะนาว

          เครื่องดื่มรสเปรี้ยวก็ช่วยให้สดชื่นตื่นตัวได้ในหน้าร้อนเช่นกัน ฉะนั้นอย่ารอช้าที่จะคั้นน้ำมะนาวสด ๆ มาดื่ม หรืออาจจะบีบใส่เครื่องดื่มที่ชอบ เช่น น้ำผักสด ๆ, น้ำชา หรือสมูทตี้ก็ได้ เพราะนอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ก็ยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย

นมอัลมอนด์ไม่หวาน

          สาว ๆ คนไหนชอบดื่มนมเป็นพิเศษ แทนที่จะเลือกนมวัวธรรมดา ลองหันมาเลือกนมอัลมอนด์แบบไม่หวานแทนดีกว่า เพราะมันช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว เพราะใน 1 แก้วมีเพียงแค่ 30 แคลอรีเท่านั้น แถมยังไม่มีน้ำตาล, ถั่วเหลือง, แลคโตส, กลูเทน และคาร์โบไฮเดรต แบบนี้จะนำไปใส่เครื่องดื่มอื่น ๆ เพิ่มเติม ก็อร่อยไม่แพ้นมวัวเลยแหละ

นมบัวหิมะแบบไม่มีไขมัน

          นมบัวหิมะหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า คีเฟอร์ (Kefir) เป็นสิ่งที่มีโปรตีนสูงและโปรไบโอติกส์มากกว่าโยเกิร์ตธรรมดา มีรสหวานเล็กน้อยและเปรี้ยว ซึ่งเหมาะแก่การนำมาใส่เครื่องดื่มคลายร้อน เช่น สมูทตี้ แต่ควรจะเลือกใช้นมบัวหิมะแบบไม่มีไขมันและไม่ควรใช้เกิน 1 ถ้วย

น้ำส้มสายชูแอปเปิล

          ถ้าอยากได้เครื่องดื่มคลายร้อนที่ไม่ทำให้อ้วนละก็ ลองนำหญ้าหวาน มะนาว ขิง และน้ำส้มสายชูแอปเปิลเพียงเล็กน้อยมาผสมกัน อาจจะฟังดูไม่น่ากินใช่ไหมล่ะ แต่บอกเลยว่ารสชาติอร่อยชื่นใจเลยแหละ ที่สำคัญน้ำส้มสายชูแอปเปิลยังช่วยสลายไขมันและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย

          ว้าว แบบนี้อากาศร้อนแค่ไหน ก็ยังได้ดื่มเครื่องดื่มที่ทำให้รู้สึกชื่นใจโดยที่ไม่อ้วนด้วย งานนี้ต้องขอโบกมือบ๊ายบายร้านกาแฟร้านโปรดสักพักแล้วล่ะมั้ง ^_^

เครดิตภาพ  https://health.kapook.com/view116149.html