Friday, July 31, 2015

ทำงานบ้านคือการออกกำลังกาย




           ออกกำลังกาย เสียเหงื่อ รับรองไม่เสียงาน ไม่เสียเวลา แถมสุขภาพแข็งแรง!!

          วันนี้ มีวิธีออกกำลังกายสำหรับแม่บ้านพ่อบ้าน ที่วัน ๆ ต้องทำงานบ้านกันอย่างหนักหน่วง จนทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือบางครั้งเวลาพอมี แต่กวาดบ้านถูบ้านกันจนไม่มีแรกออกไปเสียเหงื่อ รับรองว่าไม่เสียงาน ไม่เสียเวลา เพราะมันเป็นการออกกำลังกายระหว่างการทำงานบ้านนั่นเอง

1. เดิน-ขึ้น ลงบันได

          วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่อยู่บ้านหลายชั้น หรืออยู่ตึกสูงอย่างคอนโดฯ หรืออพาร์ตเมนต์ เริ่มต้นด้วยการเดินขึ้นบันไดหนึ่งขั้น แล้วถอยหลังลง ให้ได้ 10 ครั้ง แล้วเพิ่มเป็นเดินขึ้น 2 ขั้น เดินลง 2 ขั้นให้ครบ 10 ครั้งเหมือนเดิม แต่อย่าลืมว่าต้องดูบันไดดี ๆ ว่าชันเกินไปหรือไม่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

2. ยกตะกร้าผ้า

          ให้พ่อบ้านแม่บ้านยืน แล้วยกตะกร้าผ้าขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากนั้นก็ยกไปด้านหน้าสลับไปด้านหลังให้ได้ 3 ครั้ง แล้วค่อยนอนราบกับพื้น ยกตะกร้าผ้าขึ้นลงเหนือหน้าอก แต่ไม่ควรให้ตะกร้ามีผ้ามากเกินไป เพราะอาจจะหล่นใส่ผู้ออกกำลังกายได้ การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้จะช่วยบริหารหัวไหล่ แขนส่วนบนและกล้ามเนื้อหลังส่วนบน

3. เก้าอี้หมุนแสนสนุก

          ใช้เก้าอี้ที่มีล้อ ให้ลองนั่งเก้าอี้แล้วยืดมือออกไปจับขอบโต๊ะ จากนั้นใช้กล้ามเนื้อแขนดึงตัวเองเข้าไปใกล้โต๊ะ แล้วผลักตัวเองออกห่าง เป็นการออกกำลังกายต้นแขนให้กระชับ และเพรียวขึ้นได้

4. ล้างจานเข้าจังหวะ

          ในขณะที่กำลังล้างจาน ให้เดินย่ำซ้าย-ขวาไปเรื่อย ๆ วิธีนี้เป็นการบริหารต้นขาและน่อง แต่ระวังพื้นที่เปียกน้ำจะทำให้ลื่นล้มได้

          วิธี ข้างต้น เป็นแค่วิธีการบางส่วน บางคนอาจจะมีวิธีทำงานบ้านและออกกำลังกายตามแบบฉบับของตัวเอง ลองมาดูประโยชน์จากการออกกำลังกายในบ้านกันบ้าง

          ผลการศึกษาของทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเอเดเลดฟลินเดอร์ ในสกอตแลนต์ พบว่า กิจกรรมของงานบ้านมีประสิทธิภาพในการเผาผลาญแคลอรี ได้พอ ๆ กับการออกกำลังกายในรูปแบบอื่น ที่ช่วยบริหารหลอดเลือด นอกจากนี้ผลการศึกษายังยืนยันว่า งานบ้านหลายอย่าง มีผลต่อการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ในระดับเดียวกันกับการออกกำลังกาย ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด

          การ ทำงานบ้านมีการแบ่งการเสียพลังงานออกเป็น 3 ระดับ คือ กิจกรรมงานบ้านในระดับใช้พลังงานน้อย ๆ เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน รีดผ้า รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ เป็นการออกกำลังที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ จากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง กิจกรรมเหล่านี้ทำให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อเฉพาะที่ ได้รับประโยชน์มากที่สุด แต่ประโยชน์ที่เกิดกับระบบหายใจและหัวใจจะไม่ชัดเจน

          การ ทำงานบ้านหลาย ๆอย่างที่ต่อเนื่องผสมผสาน เช่น รีดผ้า 50 นาที กวาดบ้าน 30 นาที หรือการเช็ดถูบ้าน 52 นาที จะเผาผลาญพลังงานได้ถึง 100-200 กิโลแคลอรี ส่วนกิจกรรมงานบ้านที่ใช้พลังงานในระดับกลาง คือการปลูกต้นไม้ การขุดดิน การตัดต้นไม้เนื่องจากต้องใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ๆ ในการทำงานเป็นเวลานาน จะทำให้รู้สึกเหนื่อยเมื่อตัดต้นไม้โค่นต้นไม้ เนื่องจากในขณะที่กำลังฟันต้นไม้เป็นกิจกรรมสลับไปมาระหว่างการเกร็งกล้าม เนื้อ การทำงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน และการทำงานแบบใช้ออกซิเจน จะมีการหายใจและหยุดเป็นช่วง ๆ

          ขณะที่งานบ้านที่ทำให้เสียพลังงานมากหรือระดับหนัก คือ การย้ายของย้ายเฟอร์นิเจอร์จากห้องหนึ่งไปห้องหนึ่ง การขึ้นลงบันไดซ้ำ ๆ หลาย ๆ เที่ยวอย่างต่อเนื่อง กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบหัวใจและปอด ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่หายใจถี่ขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น

          สำหรับ พ่อบ้านแม่บ้านที่ทำงานบ้านบ่อย ๆ มีผลวิจัยที่ทำให้ยิ้มได้กันอีกคือ รายงานในวารสารวิทยาศาสตร์การกีฬาอังกฤษระบุว่า การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแค่ 20 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น ทำความสะอาดบ้าน วิ่งจ๊อกกิ้ง สามารถลดอาการซึมเศร้าได้ ยิ่งออกำลังกายบ่อย ๆ และมาก ๆ ก็ยิ่งเป็นผลดี

          นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน ได้สำรวจข้อมูลของประชาชน 20,000 คนที่ออกกำลังกายทุกวัน เพื่อศึกษาผลที่มีต่อสภาพจิตใจ และงานวิจัยอีกชิ้นในวารสารฉบับเดียวกันพบว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนและคนชราที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะแก่ตัวช้าลง

          ในจำนวนชายสก๊อต 20,000 คน มี 3,000 คนที่บอกว่า ตัวเองรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล ผลวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังกาย จะมีแนวโน้มน้อยลงที่จะมีอาการดังกล่าว การเล่นกีฬาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งจะลดความเสี่ยงได้ 33 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การทำงานบ้านและการเดินจะช่วยลดได้ 20 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

          นอก จากจะได้ทำงานบ้าน ได้สุขภาพที่แข็งแรง แถมไม่ต้องเสียเงินแล้ว การทำงานบ้านที่เอาท่วงท่าการออกกำลังกายมาประกอบ ยังช่วยให้แก่ช้าลงได้อีกหลายปีเลยนะ

แหล่งที่มา  สสส., http://health.kapook.com/view10600.html
เครดิตภาพ  http://health.kapook.com/view80506.html

Wednesday, July 29, 2015

5 กิจกรรมฝึกสมอง ถ้าได้ลองแล้วสมองจะเฮลท์ตี้



  ฝึกสมองอยู่เสมอจะช่วยให้สมองของเรามีสุขภาพดีได้ง่าย ๆ และการฝึกสมองก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อด้วย ถ้าได้ทำกิจกรรมฝึกสมอง 5 อย่างนี้

          สมองเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักพอสมควร ยิ่งถ้าต้องเรียนและทำงานทั้งวัน สมองคงอ่อนล้าจนและอาจจะมีประสิทธิภาพถดถอยลงได้ ดังนั้นนิตยสาร happy+ โดยคุณ Bella เลยแนะนำกิจกรรมฝึกสมองมา 5 กิจกรรมด้วยกัน ซึ่งเป็นกิจกรรมน่าสนุกที่ทำไม่ยากอีกด้วยนะ

          เข้าสู่เดือนมิถุนายน กลางปี พ.ศ. 2558 แล้ว คุณผู้อ่านทำตามแผนที่ว่าปีนี้เราจะทำอะไรเพื่อให้ชีวิตดีขึ้นไปถึงไหนแล้วคะ อยากบอกว่าตัวผู้เขียนเอง พยายามแล้วพยายามอีกก็ยังไม่ได้เริ่มเสียที เช่น ออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 2-3 วัน ไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 2 ครั้ง สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ฯลฯ

          อาจจะเป็นเพราะวุ่น ๆ อยู่กับการทำงาน จนไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่ตั้งใจอยากทำ (หาข้อแก้ตัว ปลอบใจตัวเอง) วันไหนทำงานหนัก เลิกดึก สมองก็มักจะเหนื่อยล้าอยากพักผ่อนไม่แพ้ร่างกายของเราเลย ส่งผลอย่างต่อเนื่องให้เช้าอันสดใสกลับขุ่นมัวเหมือนมีกลุ่มเมฆ­บาง ๆ โรยตัวอยู่รอบ ๆ ศีรษะ ไม่เคลียร์ ไม่แจ่มชัด จึงอยากแนะนำให้ผู้อ่านทุกท่านดูแลสมองของเราให้กระปรี้กระเปร่­า ปลอดโปร่งอยู่ตลอดเวลา เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย ลองทำตามกันดูนะคะ


ทำกิจกรรมศิลปะ

          เป็นการฝึกในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ เพราะศิลปะเป็นเรื่องที่ทำให้ความสนุกสนาน ท้าทาย และเปิดให้สมองซีกขวาของเราทำงานได้อย่างเต็มที่ เดี๋ยวนี้มีสมุดระบายสีสำหรับผู้ใหญ่วางขาย เวลาว่างหยิบออกมาแต่งแต้มสีสัน นอกจากจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์แล้ว ยังได้บริหารสมองอีกด้วยค่ะ


คิดเลขด้วยตัวเอง

          เรามักคุ้นชินกับการใช้เครื่องคิดเลขในการคำนวณต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ลองเปลี่ยนมาคิดเลขด้วยตัวเองดูบ้าง เช่น ตอนเดินซื้อของในตลาด หยิบจ่าย รับเงินทอน บวกรวมของที่ซื้อมาก็ดีนะคะ หรือจะซื้อเกมลับสมองอย่าง ซูโดกุ (การเติมตัวเลขในแนวตั้ง แนวนอนในพื้นที่ 3x3 6x6 9x9) มาเล่นก็เพลินไปอีกแบบ


ร้องเพลงโปรด

          การร้องเพลงก็เป็นอีกหนึ่งการบริหารสมองที่ดี หากมีโอกาสอย่ารอช้า รีบคว้าไมค์ร้องตามทำนองเพลง สร้างความสนุกสนานครื้นเครงกันได้เลยค่ะ


เล่นดนตรี

          เลือกเครื่องดนตรีที่ชอบขึ้นมาเล่นสักชิ้น ไม่ว่าจะดีด สี ตี เป่า ทำให้วันว่าง ๆ เกิดประโยชน์ แถมสมาธิยังดีขึ้น เพราะเราจดจ่อต่อโน้ตดนตรีต่าง ๆ อีกด้วย



อ่านหนังสือ

          ช่วยให้สมองของเราได้ทำงานทั้งด้านการจำและจินตนาการ ยิ่งได้อ่านหนังสือประเภทกวีหรือบทกลอนก็ยิ่งดีต่อสมอง ซึ่งสามารถเลือกได้ ไม่จำกัดแนว



เล่นหมากกระดาน

          เกมจำพวกหมากฮอต หมากรุก หมากล้อม โกะ เป็นการเล่นเกมเพื่อหาวิธีชนะคู่แข่ง ทำให้สมองของเรามีการทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการวางแผน การจัดการ ตรรกะและเหตุผล ถือเป็นวิธีบริหารสมองที่ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียว


          เห็นอย่างนี้แล้ว คิดเหมือนกันไหมคะว่าเป็นวิธีบริหารสมองที่ง่ายมากเหมาะกับทุกค­น ฉะนั้นอย่ารอช้า รีบเลือกวิธีที่ถูกใจแล้วลงมือทำกันเลยดีกว่าค่ะ อย่าปล่อยให้สมองของเราส่งสัญญาณเตือนว่าไม่ไหวแล้ว ลงมือทำก่อน ย่อมเกิดประโยชน์ต่อตัวเองอย่างแน่นอน ว่าแล้วผู้เขียนขอตัวไปเดินเลือกหนังสือดี ๆ สักเล่ม อย่าง happy+ มาเป็นอาหารสมองก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โดย Bella
http://health.kapook.com/view121785.html

Tuesday, July 28, 2015

10 ผลไม้แก้ท้องผูก กินให้ถูกก็โล่งสบายท้อง




วิธีแก้ท้องผูก แค่เลือกกินผลไม้ให้ถูกโฉลกกับอาการท้องผูก ก็ช่วยแก้อาการท้องผูกแบบอิ่มอร่อยไปได้ในตัว
   
          ท้องผูกบ๊อยบ่อยไม่รู้จะทำยังไงดี กินน้ำเยอะ ๆ ก็แล้ว เน้นผักผลไม้ทุกมื้ออาหารก็แล้ว ยังต้องเจอกับปัญหาท้องผูกไม่จบสิ้น ใครทนอึดอัดกับอาการท้องผูกมานาน กระปุกดอทคอมมี 10 ผลไม้แก้ท้องผูกมาฝาก อึดอัดเพราะถ่ายไปออกมานาน จัดไปให้ด่วนเลย

มะขามเปียก

          ถ้าท้องผูกขั้นสาหัสชนิดที่ถ่ายไม่ออกมาแล้วเกือบสัปดาห์ ก็จัดการแช่มะขามเปียก 1 ก้อนขนาดพอดีมือต่อน้ำอุ่นประมาณ 3 แก้ว ใช้ช้อนบี้ ๆ จนได้น้ำมะขามข้น ๆ จากนั้นดื่มให้หมดแก้วก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง ตื่นเช้ามารับรองว่าจะโล่งสบายท้อง แต่หากท้องผูกแบบเบาะ ๆ อาจนำมะขามเปลือกที่แกะเมล็ดออกแล้วมาจิ้มเกลือกินเล่น ๆ สัก 5-10 ฝักก็ช่วยได้ อ้อ ! อย่าลืมดื่มน้ำตามมาก ๆ ด้วยนะ


มะขามแขก

          มะขามแขกมีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วยเช่นกัน โดยอาจจะใช้ใบมะขามแขกแห้ง 1-2 หยิบมือ หรือใช้ฝักมะขามแขก 4-5 ฝักหักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย แล้วดื่มก่อนนอน 15 นาที สูตรนี้เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูก ทว่าหากกินมะขามแขกแล้วมีอาการจุกเสียดแน่นท้อง อาจต้องดื่มน้ำขิงตามไปด้วย และพยายามอย่าแก้ท้องผูกด้วยมะขามแขกติดต่อกันนาน ๆ เนื่องจากมะขามแขกอาจทำให้ขาดธาตุโปรแตสเซียม และทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ได้


ลูกพรุนแห้ง

          ผลไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยระบายโดยธรรมชาติ เช่น ลูกพรุน จะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่าย โดยเฉพาะหากดื่มน้ำวันละประมาณ 1.5-2 ลิตรเป็นประจำ จะยิ่งช่วยให้การขับถ่ายคล่องขึ้นอย่างที่คุณพอใจ


กล้วยน้ำว้าสุก

          ในผลกล้วยน้ำว้าสุกจะประกอบไปด้วยเพกตินค่อนข้างสูง มีไฟเบอร์ช่วยเพิ่มกากอาหารให้ลำไส้ แถมในกล้วยน้ำว้ายังมีเมือกลื่นที่ช่วยให้การขับถ่ายสะดวกยิ่งขึ้น


มะละกอ

          มะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง สามารถกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ย่อยไม่หมดจนขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ออกไปได้ คราวนี้ของเสียก็จะถูกลำเลียงอย่างคล่องปรู๊ดแล้ว


สับปะรด

          ไม่เพียงแต่มะละกอเท่านั้นที่มีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง สับปะรดก็มีน้ำย่อยชนิดนี้อยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าท้องผูกหรือถ่ายไม่คล่องก็ลองกินสับปะรดหวานฉ่ำช่วยแก้อาการท้อง ผูกได้เลย


มะเดื่อฝรั่ง

          มะเดื่อฝรั่งมีประโยชน์อยู่ที่ไฟเบอร์สูง ดีต่อกระบวนการกำจัดของเสียในร่างกาย โดยในผลมะเดื่อสดจะมีเส้นใยอาหารอยู่ราว ๆ 1.2% ส่วน ในผลมะเดื่อฝรั่งอบแห้งมีเส้นใยอาหารสูงถึง 5.6% เลยทีเดียว ฉะนั้นคนที่มีปัญหาท้องผูกหายห่วงชิล ๆ


มะเฟือง

          มะเฟืองมีฤทธิ์เป็นยาระบาย สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้ดีไม่น้อยหน้าผลไม้แก้ท้องผูกชนิดอื่น ๆ ที่สำคัญมะเฟืองยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้อีกต่างหาก ดังนั้นเพียงแค่กินมะเฟืองขณะท้องว่างสัก 2-3 ลูก ก็โบกมือลาอาการท้องผูกไป อย่าได้แคร์


แอปเปิลเขียว

          แอปเปิลเขียวอุดมไปด้วยไฟเบอร์ถึง 4.4 กรัม ต่อ 1 ผล ยิ่งกินแอปเปิลเขียวทั้งเปลือกจะช่วยระบบขับถ่ายได้สุดยอดเลยล่ะ

กีวี

          อีกหนึ่งผลไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยระบายโดยธรรมชาติอย่างกีวีก็สามารถช่วยแก้ อาการท้องผูกได้อยู่หมัด โดยจะกินเป็นผลสด ๆ หรือจะนำไปปั่นเป็นน้ำกีวีสมูทตี้ก็อร่อยอย่าบอกใคร
     
          10 ผลไม้แก้ท้องผูกแต่ละชนิดก็มีสรรพคุณเป็นยาระบายและมีไฟเบอร์ช่วยในการขับ ถ่ายติดตัวมาด้วย แต่ทั้งนี้ก็ควรใส่ใจอาหารในแต่ละมื้อให้ได้รับสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ที่สำคัญต้องดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันด้วยนะคะ

แหล่งที่มา  http://health.kapook.com/view125202.html

Monday, July 27, 2015

เช็คให้ชัด ระวังให้ดี เจออาการเหล่านี้ ได้เวลาล้างพิษให้ร่างกาย




ล้างพิษให้ร่างกาย ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองให้ดี 9 สัญญาณเหล่านี้กำลังบอกว่าคุณต้องล้างพิษร่างกายอย่างด่วน
         
          สารพิษที่ตกค้างอยู่ในอาหารหลายชนิดอาจไปสะสมอยู่ในร่างกาย และสร้างผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก สัญญาณแรก ๆ ก็มักจะแสดงออกมาให้เห็นทางผิวหนัง และเส้นผม ได้อย่างชัดเจนเลยเชียวล่ะ ซึ่งถ้าเราไม่ล้างสารพิษเหล่านี้ออกจากร่างกาย บอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ร่างกายคุณต้องการล้างสารพิษเมื่อไร วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอหยิบเอา 9 สัญญาณของร่างกายที่เว็บไซต์ All woman talk บอกว่านั่นคือสิ่งที่กำลังบอกคุณว่าร่างกายต้องได้รับการล้างสารพิษแบบด่วน จี๋ ก่อนที่สารพิษที่สะสมในร่างกายจะทำร้ายสุขภาพจนคาดไม่ถึง ไปลองเช็คกันเลยค่ะ

1. ลดน้ำหนักไม่ลง

          หากคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ว่าจะใช้วิธีไหนในการลดน้ำหนักก็ตาม ความพยายามนั้นก็ยังไม่เห็นผล นั่นแปลว่าในร่างกายของคุณกำลังเต็มไปด้วยสารพิษที่สะสมอยู่กับไขมันภายในร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้มีชื่อว่าสารพิษลิโปฟิลิก (Lipophilic Toxin) การมีสารพิษนี้สะสมอยู่ในร่างกายมาก ๆ จะทำให้คุณพบกับความลำบากในการลดน้ำหนักแบบสุด ๆ เลยเชียวล่ะค่ะ

2. นอนไม่หลับ

          เมื่อร่างกายเต็มไปด้วยสารพิษ ระดับคอร์ติซอลในร่างกายก็จะเกิดการเสียสมดุล ซึ่งฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ทำหน้าที่ในการควบคุมความเครียดและช่วยให้คุณหลับได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อเกิดการเสียสมดุลแล้วจะส่งผลกระทบต่อการนอนหลับอย่างมาก ทำให้คุณรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่ก็นอนไม่หลับ หรือมีการนอนหลับที่ไม่ดีพอค่ะ

3. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

          การนอนหลับอย่างเพียงพอถือเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นในตอนเช้าได้ดีที่สุด แต่ถ้าหากว่าคุณนอนครบแปดชั่วโมงต่อคืนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงอยู่อีกละก็ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าระดับสารพิษในร่างกายของคุณมีมากเกินไปแล้ว และรีบทำการล้างพิษเสีย เพราะสารพิษที่สะสมในร่างกายจะไปก่อกวนระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายจนทำให้เกิดการอ่อนเพลีย และทำให้ร่างกายไม่สามารถดึงพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปมาใช้ได้เท่าที่ควร

4. ปวดหัวบ่อย ๆ

          สารเติมแต่งอาหารอย่างเช่น แอสปาแตม (aspartame) และผงชูรส เป็นสารเติมแต่งอาหารที่มาพร้อมกับสารพิษตกค้าง อันเป็นสาเหตุของการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ และเพราะสารเคมีในการเติมแต่งอาหารบางชนิดก็มีส่วนผสมของโลหะหนักด้วย และถ้าหากมีในร่างกายมากเกินไปก็จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวบ่อย ๆ แบบไม่ทราบสาเหตุได้ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มปวดหัวบ่อย ๆ ละก็ รีบล้างพิษตัวเองจะดีกว่านะ
     

5. นึกอะไรไม่ออก

          ใครที่ยังคิดว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลนั้นดีกว่าน้ำตาล รีบเปลี่ยนความคิดเสียเดี๋ยวนี้เลย เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลทุกชนิดส่งผลให้เกิดการตกค้างของสารพิษมากยิ่ง กว่าการรับประทานน้ำตาลเสียอีกค่ะ เพราะนอกจากจะตกค้างแล้วก็ยังทำให้เกิดระดับน้ำตาลที่แปรปรวน ส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติแล้วคิดอะไรไม่ค่อยออก หรือรู้สึกสมองตื้อ และยิ่งถ้าหากแก้ปัญหาด้วยการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเข้าไปอีกละก็จะ ยิ่งทำให้เกิดผลที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

6. มีกลิ่นตัว

          กลิ่นตัวไม่ใช่เรื่องตลก เพราะการที่คุณเริ่มมีกลิ่นตัวเหม็นตุ ๆ ออกมาจากร่างกาย นั่นแปลว่าในร่างกายของคุณกำลังเต็มไปด้วยสารพิษโดยเฉพาะภายในระบบทางเดิน อาหาร ดังนั้นทางที่ดีคุณควรจะรีบหาอาหารล้างพิษมารับประทาน หรือไม่ก็ลองมาใช้อาหารเสริมบางชนิดที่มีสรรพคุณในการช่วยขจัดล้างสารพิษออก จากร่างกายมาใช้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่เวลาคนเมินหน้าหนีเพราะกลิ่นตัวของคุณ

7. อารมณ์แปรปรวน

          อารมณ์ที่แปรปรวนนั้นมีสาเหตุมาจากการเสียสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งบางครั้งก็มาจากสารพิษที่มีชื่อว่า เซเนสโตรเจน (Xenestrogen) อันเป็นสารที่ทำหน้าที่เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วจะอยู่ในพลาสติก การรับประทานอาหารที่บรรจุอยู่ในถ้วย หรือถุงพลาสติกที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นเลี่ยงพลาสติกจะดีกว่าค่ะ

8. ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ

          อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ และมีสาเหตุเสมอ แต่ถ้าหากอยู่ดี ๆ คุณไม่ได้ทำอะไรแค่กลับปวดกล้ามเนื้อขึ้นมา ขอบอกได้เลยว่าถึงเวลาที่คุณต้องขจัดสารพิษออกจากร่างกายแล้ว เพราะสารพิษในร่างกายจะไปกระตุ้นให้ตัวรับรู้ความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อทำ งานอย่างไม่มีสาเหตุ ซึ่งการขับสารพิษนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันก็สามารถช่วยให้สารพิษที่แฝงอยู่ในกล้ามเนื้อถูกขับออกมาผ่านเหงื่อได้เหมือนกัน

9. ท้องผูก

          การขับถ่ายของเสียเป็นวิธีขับสารพิษในร่างกายที่เรียกว่าได้ประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ถ้าหากสารพิษที่อยู่ในร่างกายมีมากเกินไป สารพิษที่ขจัดออกไม่หมดอาจทำให้ร่างกายดูดซึมเอาสารพิษกลับเข้าสู่กระแสเลือด และแน่นอนว่าจะทำให้คุณเกิดอาการท้องผูกได้อีกด้วย ดังนั้นควรจะหมั่นดื่มน้ำบ่อย ๆ และรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพื่อที่ร่างกายจะได้สามารถขับเอาสารพิษในร่างกายออกมาได้ และมีระบบขับถ่ายที่เป็นปกติค่ะ

          สารพิษในร่างกายไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นหากไม่อยากรู้สึกไม่สบายตัวเพราะสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายละก็ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่เต็มไปด้วยสารเติมแต่งจะดีที่สุดเลย แล้วก็ควรหาสูตรเครื่องดื่มหรืออาหารล้างสารพิษให้ร่างกายมาทำรับประทาน อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อให้ร่างกายสะอาด และระบบการทำงานในร่างกายเป็นปกติค่ะ

แหล่งที่มา  http://health.kapook.com/view125051.html