Wednesday, August 30, 2017

9 ข้อดีของการท่องเที่ยว ฟิตสุขภาพเต็มเหนี่ยวไปกับการเปิดโลกกว้าง




         อยากชวนทุกคนเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหนก็ได้ เพราะแค่ไปเที่ยวก็ช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้านแล้ว

          แม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากไปเที่ยวบ่อย ๆ แต่เชื่อไหมคะว่าก็มีคนกลุ่มหนึ่งเหมือนกันที่ชอบเก็บตัวอยู่กับบ้าน ประเภทเอาชนะความขี้เกียจไม่ได้สักที ลงท้ายเลยไม่ค่อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนกับเขาเลย ทั้งที่จริงแล้วแค่เราพาร่างกายไปท่องเที่ยวสักหน่อย สุขภาพก็จะแฮปปี้ตั้งเท่านี้แน่ะ

1. กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

          ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ ประโยคนี้ใช่ว่าจะมีไว้เพื่อเด็กวัยกำลังซนซะเมื่อไร เพราะเรายังสามารถใช้กับภูมิคุ้มกันในร่างกายได้เช่นกัน โดยมีการศึกษาที่บอกว่า การเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ออกไปผจญภัยกับเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรคนอก พื้นที่บ้าง ก็เหมือนเป็นการเพิ่มสกิลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายในการหาวิธีจัดการกับ เชื้อส่ออันตรายชนิดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปคลุกคลีกับเชื้อโรคอย่างเต็มที่นะคะ การดูแลสุขอนามัยให้สะอาดอยู่เสมอ และยึดหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ก็ยังคงเป็นหลักปฏิบัติที่ไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาดด้วยเช่นกัน

2. คลายเครียด

          เพราะการได้ไปเที่ยวช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เปรียบเป็นการรีแล็กซ์ร่างกายโดยตรงอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รายงานไว้ว่า หลังจากกลับมาจากท่องเที่ยว ร่างกายจะยังคงอิ่มเอมไปด้วยความสุขต่อเนื่องไปอีกราว ๆ 3-7 วัน โดยอ้างอิงจากการวัดมวลความสุขของอาสาสมัครซึ่งพบว่า ร่างกายของคนที่ได้ไปเที่ยวจะยังคงรู้สึกผ่อนคลาย มีระดับความเครียดค่อนข้างต่ำ และพบว่ามีอารมณ์ดียาวไปเกือบ 1 สัปดาห์หลังจากกลับถึงบ้านเลยทีเดียว

3. ช่วยบำรุงสมอง

          อธิบายง่าย ๆ ว่าการได้ออกไปเที่ยว ไปเปิดหูเปิดตา จะช่วยให้เราได้เจอกับประสบการณ์ที่ต่างออกไปจากชีวิตเดิม ๆ ดังนั้นสมองจึงต้องทำงานหนักในการประมวลผล ซึ่งจะช่วยให้สมองได้ออกกำลังกายกันบ้าง โดยเฉพาะในส่วนกระบวนการเรียนรู้และจดจำ ที่ทำท่าว่างานจะเข้ามากกว่าส่วนอื่น ๆ

4. พัฒนาอารมณ์

          การวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Personality and Social Psychology รายงานว่า คนที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศหรือไปเรียนเมืองนอก มีแนวโน้มจะพัฒนาทักษะการแสดงออกทางอารมณ์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าจะมีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่มั่นคงกว่า เนื่องจากต้องผจญกับสถานการณ์ที่ต้องเอาตัวรอด และการได้เปิดโลกกว้างยังจะช่วยเพิ่มทักษะชีวิตได้มากกว่าคนที่อยู่กับสภาพ แวดล้อมเดิม ๆ

5. ช่วยให้ร่างกายฟิต

          แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย ซึ่งการออกเดินทางไปท่องเที่ยวก็แน่นอนว่าเราจะได้ทำมากกว่าแค่ขยับแน่ ๆ ค่ะ เพราะนี่คือโอกาสที่เราจะได้เดินเยอะขึ้น ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่มากกว่าการนั่งทำงานติดโต๊ะ หรือนอนดูซีรีส์อยู่กับบ้าน ดังนั้นไปเที่ยวบ่อย ๆ ก็เหมือนได้ฟิตร่างกายให้แข็งแรงขึ้นอีกทางหนึ่งล่ะเนอะ

6. ช่วยลดความรู้สึกหดหู่

          สำหรับคนที่รู้สึกเฉื่อยชาคล้าย ๆ กับชีวิตไร้ซึ่งแรงบันดาลใจใด ๆ จนรู้สึกหดหู่ แนะนำให้รีบเก็บข้าวของแล้วออกเดินทางไปเที่ยวโดยด่วนเลยค่ะ เพราะการได้ไปเปิดหูเปิดตาในสถานที่ใหม่ ๆ จะช่วยดึงคุณออกจากความเศร้าสลดหดหู่ได้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็จะช่วยเปิดโลกอีกใบทำให้คุณได้เห็นมุมมองในชีวิตที่กว้างกว่าเดิม

7. เรียกคืนความสงบในจิตใจ

          การปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิม ๆ อาจทำให้จิตใจเราฟุ้งซ่านได้ ซึ่งสภาวะไร้ความสุขเหล่านี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของเรา ไม่ในทางตรงก็ทางอ้อม ดังนั้นแนะนำให้เดินทางไปเปลี่ยนบรรยากาศ ไปเที่ยวในที่สวย ๆ มีกิจกรรมให้ทำหรือไปเที่ยวแบบคณะทัวร์ก็ได้ การได้พบเพื่อนใหม่ ได้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ อาจเปิดโอกาสให้เราได้ทบทวนความคิดของตัวเอง จัดระเบียบชีวิตให้ลงตัวอีกครั้ง และมีสติมากพอจะกลับมาสู้กับปัญหาทุกอย่างด้วยความคิดที่ปลอดโปร่งแจ่มใส

8. ช่วยป้องกันความเสี่ยงโรคหัวใจได้ !

          การศึกษาจาก Global Coalition on Aging และสมาคมบริษัทนำเที่ยวของอเมริกาพบว่า แค่ได้แพลนทริปท่องเที่ยวก็ช่วยกระตุ้นความสุข ลดความตึงเครียดและภาวะกดดันให้เราได้แล้ว ซึ่งก็จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจไปด้วยในตัว นอกจากนี้การศึกษาจาก Framingham Heart ยังพบว่า คนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวอยู่บ่อย ๆ มีแนวโน้มป่วยด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมทั้งมีภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจอื่น ๆ ลดลงด้วยนะคะ

9. อายุยืนขึ้น

          การศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัย Arkansas พบว่า การท่องเที่ยวมีส่วนช่วยลดความเครียด ส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งภายนอกและภายใน อีกทั้งยังช่วยบำรุงการทำงานของสมองได้อีกต่างหาก ซึ่งข้อดีดังที่กล่าวมาทั้งหมดก็ช่วยยืนยันได้ว่าถ้าเรามีความสุขกับการ เที่ยวบ่อย ๆ สุขภาพโดยรวมที่ดีก็จะช่วยยืดอายุของเราไปด้วยนั่นเอง

          นอกจากจะได้ชาร์จพลังแล้ว ยังเห็นได้ชัดว่าการเดินทางไปท่องเที่ยวมอบเรื่องดี ๆ ต่อสุขภาพเราได้อีกไม่น้อยเลยทีเดียว งั้นจะมัวรออะไรกันอยู่ล่ะค่ะ หยอดกระปุก เก็บกระเป๋าแล้วจองตั๋วกันโลด !


ภาพจาก pexels.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
matadornetwork
marketwatch
seniorliving
healthfitnessrevolution
U.S. News
https://health.kapook.com/view162237.html

Thursday, August 24, 2017

11 โรคที่เสี่ยงเพราะแค่อดนอน ไม่อยากล้มหมอนต้องนอนให้พอ !




         อดนอนบ่อย ๆ ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างที่รู้กัน แต่มากไปกว่านั้นคือการอดนอนเพียงคืนเดียวก็ทำให้เสี่ยงต่อโรคได้มากมายเลย

          การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นวินัยประจำวันที่ควรทำเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย แต่เข้าใจค่ะว่าบางคนงานรัดตัว หาเวลานอนไม่ค่อยจะได้ เลยอดนอนบ้าง นอนไม่พอบ้างอยู่บ่อย ๆ ซึ่งถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและยังไม่ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนนอนหลับ ก็อยากเตือนให้ระวังว่าจะเสี่ยงเป็นโรคเหล่านี้เพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว

1. โรคหวัด

          การนอนไม่พอมีผลทำให้ร่างกายเป็นหวัดบ่อยกว่าปกติ เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง และจากผลการวิจัยส่วนใหญ่ก็เผยว่า ผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน มีโอกาสป่วยมากกว่าคนที่นอนเกิน 8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสามเท่า และคนที่ใช้เวลานานกว่าจะหลับนั้นก็มีโอกาสป่วยง่ายกว่าคนที่หัวถึงหมอนแล้วหลับเลยถึง 5.5 เท่า

2. โรคทางสายตา

          การนอนไม่พอมีผลทำให้สายตาของเราพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด และหากนอนไม่พอติดต่อกันเป็นเวลาหลายคืนอาจมีอาการเห็นภาพหลอนด้วย โดยมีงานวิจัยหนึ่งเผยว่า ตาของเราควรได้รับการพักผ่อนในตอนกลางคืนอย่างน้อย 5 ชั่วโมง เพื่อการฟื้นฟูเซลล์ที่สึกหรอไปในระหว่างการใช้งานในแต่ละวัน และถ้าหากนอนน้อยกว่านั้นก็จะเกิดอาการกล้ามเนื้อตากระตุก หรือตาเขม่นดังเช่นที่ใครหลายคนเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับโชคลาง ซึ่งความจริงแล้ว อาการกล้ามเนื้อตากระตุก หนังตาเขม่น มองเห็นเป็นภาพซ้อน เบลอ หรือพร่ามัว ก็มาจากการที่เซลล์กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาไม่ได้รับการซ่อมแซมตัวเองอย่างสมบูรณ์นั่นเอง

3. โรคเบาหวาน

          แค่อดนอนเพียงคืนเดียวก็เสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้แล้วนะคะ โดยข้อมูลนี้เป็นงานวิจัยจาก Cedars-Sinai Medical Center ลอสแอนเจลิส ที่ทดลองกับสุนัขแล้วพบว่า สุนัขกลุ่มที่อดนอน 1 คืน มีภาวะดื้ออินซูลินอยู่ที่ 33% ในขณะที่สุนัขกลุ่มที่ถูกขุนจนอ้วนตุ้บก็มีภาวะดื้ออินซูลินราว 21% ซึ่งนักวิจัยบอกว่าเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันจนน่าตกใจ
   
          ทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ว่า การอดนอนส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายจึงเร่งผลิตอินซูลินเพื่อคงระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ จนอาจทำให้ฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกต่อไป นำไปสู่ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นนั่นเอง และแม้จะเป็นเพียงการทดลองกับสุนัข แต่ผลเสียของการอดนอนในคนก็ไม่ได้ต่างกันมากสักเท่าไร

4. โรคอ้วน

          สถาบัน Obesity Society สหรัฐอเมริกา เผยว่า การอดนอนอาจนำไปสู่โรคอ้วนได้ง่าย ๆ เนื่องจากร่างกายที่ไม่ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ จะมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยจนกระตุ้นให้รู้สึกอยากรับประทานอาหารรสหวานมากกว่าปกติ อีกทั้งระบบเผาผลาญของคนที่นอนไม่พอยังจะเกิดอาการขี้เกียจทำงาน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งพออ้วนก็นำมาสู่โรคหัวใจ โรคความดัน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ อีกเพียบ

5. โรคหัวใจ

          นักวิจัยได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่นอนเลยเป็นเวลา 88 ชั่วโมง ผลคือ พวกเขามีระดับความดันเลือดสูงมาก และเมื่อเปลี่ยนมาให้กลุ่มอาสาสมัครนอนนาน 4 ชั่วโมงใน 1 คืน ผลปรากฏว่า อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในระดับปกติ ค่าเฉลี่ยการเต้นของหัวใจใกล้เคียงกับคนที่ได้นอนปกติ และสิ่งที่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจก็คือ สารโปรตีนที่มีสะสมตัวมากขึ้นในขณะที่เราตื่น และจะถูกขับออกจากร่างกายโดยธรรมชาติเมื่อเราหลับ ดังนั้นหากใครที่อดนอน หรือนอนน้อยเป็นเวลานานจึงเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้

6. โรคหลอดเลือดสมองตีบ

          จากสถิติทางการแพทย์พบว่า ผู้ที่นอนไม่พอ อดนอนบ่อย ๆ มักจะมีปัญหาปวดศีรษะ ความจำไม่ดี และเมื่อเอกซเรย์สมองมักจะพบว่ามีภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งหากผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เส้นสมองที่ตีบก็จะมีอาการดีขึ้นได้ ส่วนสาเหตุที่การอดนอนทำให้เส้นเลือดตีบนั้น ควรต้องมีการศึกษาเรื่องนี้มากขึ้นในอนาคต

7. โรคอัลไซเมอร์

          การศึกษาจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้แสดงให้เห็นว่า การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ โดยได้ทำการศึกษาถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างการนอนหลับและตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของโรคอัลไซเมอร์ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ในกลุ่มผู้สูงวัย พบว่าระยะเวลาในการนอนหลับที่สั้นเกินไป และการนอนหลับที่ไม่ดี มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของ เบต้า-อะมีลอยด์ (beta-amyloid) ซึ่งเป็นโปรตีนขนาดเล็ก และเป็นพิษต่อเซลล์ประสาท เมื่อเกิดการสะสมก็จะจับตัวกันกลายเป็นคราบพลัคที่บริเวณเซลล์สมอง เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ และการค้นพบในครั้งนี้ยังช่วยทำให้ค้นพบวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ในกลุ่มผู้สูงวัยที่มักจะมีอาการนอนไม่หลับ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ปริมาณของเบต้า-อะมีลอยด์ ในเลือดก็จะลดลง และทำให้อาการของโรคอัลไซเมอร์ลดลงได้

8. โรคจิตเวช

          การอดนอนติดต่อกันหลาย ๆ คืนอาจส่งผลให้มีปัญหาทางจิตได้ เช่น อาการหูแว่ว ประสาทหลอน เห็นภาพหลอน ระแวงว่าคนจะมาทำร้าย หรือมีอาการคล้ายโรคไบโพลาร์ มีอารมณ์แปรปรวน หรืออาจเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้ามากขึ้น เนื่องจากการอดนอนส่งผลต่อระบบฮอร์โมนโดยตรง ก่อให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ได้ง่ายขึ้น

9. โรคร่าเริง

          ชื่อโรคอาจดูไม่ร้ายแรงแต่จริง ๆ แล้วแฝงอันตรายไว้ไม่น้อยค่ะ เพราะคนที่เป็นโรคร่าเริงจะรู้สึกอ่อนเพลียในช่วงกลางวัน หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย และไม่มีสมาธิในการเรียนหรือการทำงาน แต่ในช่วงกลางคืนสมองจะแล่น ความคิดสร้างสรรค์บังเกิด และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างเต็มที่ จนทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควร ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากความผิดปกติที่เกี่ยวกับการหลั่งฮอร์โมนของต่­­อมไร้ท่อ บวกกับพฤติกรรมอดหลับอดนอนที่ทำสะสมจนเหมือนเป็นการใช้งานร่างก­­ายอย่างหนัก ยิ่งกับคนที่ชอบอ่านหนังสือหรือทำงานหามรุ่งหามค่ำต่อเนื่องกัน­­หลายวัน นาฬิกาชีวิตและระบบการทำงานของร่างกายจะปรวนแปรไปหมด ฉะนั้นหากไม่อยากเสี่ยงต่อโรคร่าเริง ก็ควรนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ทุกคืนนะคะ

10. โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

          โรค Bell's Palsy หรือใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรืออัมพาตครึ่งซีกที่ใบหน้า เป็นอาการที่กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนล้า อาจจะเกิดขึ้นทั้งสองด้านหรือด้านเดียวก็ได้ โดยสาเหตุของโรคก็มีการสันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อเริมที่เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่เรียกว่าเส้นประสาทใบหน้า ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้า และหากติดเชื้อในส่วนนี้การทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าก็จะหยุดชะงักชั่วคราว ทำให้เกิดความผิดปกติอย่างเฉียบพลัน เช่น ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท

          ทั้งนี้การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นโรคได้ เนื่องจากเมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อน ภูมิต้านทานในร่างกายก็จะต่ำจนอาจติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่มีความเครียดร่วมด้วย

 
11. โรคมะเร็ง

          นักวิจัยส่วนใหญ่ตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นไว้ว่า โรคมะเร็งบางชนิดก็สามารถกำเริบได้ หากมีพฤติกรรมนอนน้อย เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ แต่สำหรับโรคมะเร็งชนิดอื่นนั้น ขึ้นอยู่กับการแบ่งตัวของเซลล์ในร่างกาย และพฤติกรรมการใช้ชีวิตมากกว่า

          นอกจากนี้การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ยังเป็นสาเหตุของอาการหน้าแก่ ผิวพรรณเหี่ยวย่นอีกด้วยนะคะ เนื่องจากยามนอนหลับเลือดจะถูกสูบฉีดส่งไปยังเส้นเลือดฝอยมากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เซลล์ผิวหนังได้ซ่อมแซมฟื้นฟูตัวเอง ทว่าหากเราอดหลับอดนอนก็จะเป็นการขัดขวางกระบวนการรักษาซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิวหนังในจุดนี้ ส่งผลให้ผิวพรรณดูไม่ผ่องใสอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีปราศจากโรคภัย เราควรนอนหลับพักผ่อนอย่าน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และหมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ร่วมกับรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก Pleasehealth Books
โรงพยาบาลกรุงเทพ
คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
Sciencedaily
Obesity Society
https://health.kapook.com/view177820.html

Tuesday, August 22, 2017

10 วิธีลดน้ำหนักสำหรับคนอ้วนง่าย แต่น้ำหนักลงยาก !




         เป็นคนอ้วนง่ายแต่ผอมยาก จะต้องลดน้ำหนักยังไงให้ได้ในระดับที่พอใจ ลองมาเก็บสูตรลดความอ้วนของคนที่น้ำหนักขึ้นง่ายแต่ลงยากกันค่ะ

          บางคนอ้วนง่าย กินอะไรนิดหน่อยก็น้ำหนักขึ้น ดูมีน้ำมีนวลจนคนรอบข้างเห็นได้ชัดต้องทักให้รู้ตัว ทว่าบางคนกลับกินเท่าไรก็ไม่อ้วน น้ำหนักไม่เคยขึ้นให้รู้สึกถึงคำว่าอ้วนสักที นั่นแสดงให้เห็นเลยค่ะว่าปัจจัยในการอ้วนหรือผอมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แม้ว่าจะใช้ชีวิตและกินอาหารเหมือน ๆ กันก็ตาม
      
          เพราะนอกจากพฤติกรรมการบริโภคหรือไลฟ์สไตล์แล้ว สิ่งที่กำหนดว่าเราจะอ้วนหรือผอมได้ง่ายหรือยากก็มีทั้งกรรมพันธุ์ การทำงานของต่อมไทรอยด์ หรือยีนบางตัวก็เช่นกัน ทั้งหมดนี้ส่งผลให้คนเราอ้วนหรือผอมต่างกันแม้จะใช้ชีวิตคล้าย ๆ กัน ทว่าหากรู้สึกว่าเราอ้วนขึ้นง่ายมากแต่ลดน้ำหนักยากเหลือเกิน ก็อย่าเพิ่งท้อใจค่ะ เพราะกระปุกดอทคอมมีวิธีลดน้ำหนักสำหรับคนอ้วนง่ายแต่ผอมยากมาให้ลองเปลี่ยนตัวเองดู

1. งดน้ำหวาน

          น้ำหวานไม่ว่าจะชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำหวานใส ๆ ทุกชนิดที่ไม่ใช่น้ำเปล่า งดให้หมดทุกสิ่งเลยค่ะ เพราะในแต่ละวันร่างกายเราได้รับน้ำตาลจากอาหารหรือผลไม้มากพออยู่แล้ว ดังนั้นการที่ดื่มน้ำหวานเพิ่มเข้าไปก็อาจทำให้มีปริมาณน้ำตาลสะสมในร่างกายมากเกินกว่าที่ระบบเผาผลาญจะกำจัดได้หมด ซึ่งก็แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือความอ้วน และแม้จะเถียงว่านี่ก็ออกกำลังกายอย่างหนัก ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ แต่ถ้ายังดื้อดื่มน้ำหวานไม่เปลี่ยนด้วย ออกกำลังกายให้เหงื่อหมดตัวก็คงไม่ผอมง่าย ๆ แน่

2. จำกัดของหวานสัปดาห์ละครั้ง

          การงดอาหารพาอ้วนซึ่งเป็นอาหารโปรดของเราอาจทำให้วันหนึ่งเกิดอาการโยโย่เอฟเฟกต์ขึ้นมาได้ ดังนั้นหากจะมี cheat meal ก็ขอจำกัดแค่สัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ แล้วพยายามกินอาหารเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น เพื่อเป็นการฝึกทัศนคติของตัวเองในเรื่องอาหารการกินไปด้วยในตัว

3. พยายามทำอาหารกินเอง

          หัวใจของการลดน้ำหนักคือการพยายามควบคุมปริมาณแคลอรีในร่างกาย อธิบายง่าย ๆ คือเอาพลังงานออกให้มากกว่านำพลังงานเข้า ซึ่งก็คือการกินให้น้อยลงเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลอรีที่น้อยลงตามไปด้วย ดังนั้นการทำอาหารกินเองจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการควบคุมอาหารค่ะ เพราะเราจะสามารถเลือกวัตถุดิบ สารอาหาร เครื่องปรุง รสชาติ และความสะอาดเองได้ ดังนั้นหากอยากลดความอ้วนให้สำเร็จต้องขยันทำอาหารกินเองมากกว่าไปซื้ออาหารนอกบ้านกินนะคะ

4. ขยับให้บ่อยขึ้น

          ถ้าเรารู้ตัวว่ากินไปนิดเดียวก็อ้วนแล้ว เราก็ยิ่งต้องเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ใช้พลังงานเยอะ ๆ เข้าไว้ ง่าย ๆ ก็แค่ขยับเคลื่อนไหวให้มากขึ้น บ่อยขึ้น เช่น ขึ้นบันไดแทนขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน รวมไปถึงหมั่นเดินให้เยอะขึ้นในทุกโอกาส เพื่อเพิ่มการเผาผลาญให้มากขึ้นนั่นเอง

5. เวทเทรนนิ่งร่วมกับคาร์ดิโอ

          เวทเทรนนิ่งเป็นการออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมากขึ้นได้ โดยเฉพาะหากคุณคาร์ดิโอก่อนแล้วมาเวทเทรนนิ่งต่อ ก็จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญมากขึ้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเลยทีเดียว

6. ออกกำลังกายอย่างน้อย 45 นาที

          อย่าคิดแค่ว่าเหงื่อออกชุ่ม ๆ ก็เท่ากับได้เบิร์น เพราะบางคนออกกำลังกายแบบขอไปทีจริง ๆ ค่ะ แล้วอย่างนี้จะผอมตอนไหนกันล่ะเนอะ ดังนั้นถ้าอยากผอมอย่างมีสุขภาพดี ควรต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 45 นาทีต่อเนื่องกันด้วย

7. ปรับเปลี่ยนวิธีออกกำลังกายบ้าง

          การออกกำลังกายแบบเดิม ๆ เป็นประจำ อาจเป็นการจำกัดขีดกำลังความสามารถในการเบิร์นพลังงานของร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัวค่ะ เช่น คนที่เคยเดินออกกำลังกาย 45 นาที ก็เดินอยู่อย่างนั้นเป็นปี ๆ น้ำหนักคงลงบ้างแต่ก็คงช้าหน่อย ฉะนั้นหากอยากให้ผอมเร็ว ๆ ควรปรับเปลี่ยนกิจกรรมออกกำลังกายให้มีความหลากหลาย เช่น จากเคยเดินก็ให้เริ่มจ๊อกกิ้ง เคยปั่นจักรยานก็มาว่ายน้ำ เคยเต้นคาร์ดิโอก็ลองมาชกมวยดูบ้าง หรือสลับคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง บอดี้เวท เซอร์กิตเทรนนิ่งวน ๆ ไป เพื่อเพิ่มศักยภาพในการออกกำลังกายและเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงาน

8. ห้ามเครียด

          ความเครียดส่งผลต่อความอ้วนได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียวค่ะ เพราะเมื่อเราเครียด โดยเฉพาะหากลดน้ำหนักแล้วน้ำหนักไม่ลงสักที ฮอร์โมนความเครียดที่ชื่อว่าคอร์ติซอลจะออกมาป่วนร่างกายเรา ทำให้เราอยากกินของหวานมากขึ้น อยากกินจุบกินจิบมากขึ้น ซึ่งก็เป็นอุปสรรคใหญ่แห่งการลดความอ้วนเลยนะ ดังนั้นพยายามอย่าไปสนใจตัวเลขบนตาชั่งน้ำหนักค่ะ แต่มุ่งมั่นคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างถูกวิธีไปเรื่อย ๆ ที่สำคัญพยายามปล่อยวางเรื่องเครียด ๆ รอบตัวด้วยล่ะ

9. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

          เราควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 6-7 ชั่วโมงต่อวัน เพราะการนอนไม่หลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คุณลดน้ำหนักไม่สำเร็จเช่นเดียวกันค่ะ เพราะคนที่นอนน้อย หรือนอนไม่หลับจะส่งผลให้ฮอร์โมนที่ควบคุมความอิ่มหรือความอยากอาหารเสียสมดุล อีกทั้งยังทำให้ระบบเผาผลาญตอนนอนทำได้ไม่เต็มที่ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้ำหนักลดลงได้ยาก
       
10. ถ้าถึงที่สุด ให้ปรึกษาแพทย์

          อย่างที่บอกว่าปัจจัยที่ทำให้อ้วนง่าย ผอมยาก หรืออ้วนยาก กินเท่าไรก็ไม่อ้วน บางทีก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราสักนิดค่ะ แต่เป็นเพราะร่างกายของเรามีความผิดปกติบางอย่างขึ้น เช่น บางคนมีโรคประจำตัวอย่างไทรอยด์ เบาหวาน หรือโรคที่ส่งผลกระทบต่อระบบการย่อยอาหารและการเผาผลาญของร่างกาย หรือแม้กระทั่งการกินยาบางชนิดก็ส่งผลให้น้ำหนักขึ้นได้ ดังนั้นใครที่มีโรคประจำตัวเหล่านี้ หรือกินยาบางตัวมานาน ๆ หากลองลดน้ำหนักด้วยตัวเองแล้วไม่ได้ผล ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ปลอดภัยและเหมาะกับตัวเองจะดีที่สุด
       
          อย่างไรก็ตาม แม้จะมีพันธุกรรมหรือฮอร์โมนมากำหนด ทว่าท้ายที่สุดแล้วหากใจเราอยากลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ก็เชื่อว่าทุกคนจะสามารถก้าวข้ามทุกอุปสรรคที่มีได้ และหากใครติดกับความคิดว่ารูปร่างเราโครงใหญ่มาตั้งแต่เกิด คงลดน้ำหนักยาก เราอยากให้มาดูวิธีลดน้ำหนักตามรูปร่างที่จะพาคุณผอมทะลุพันธุกรรมตามนี้

          - ลดน้ำหนักตามรูปร่าง กินให้ต่าง ออกกำลังกายให้ถูกก็หุ่นดีได้



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หมอชาวบ้าน
ทวิตเตอร์ Thidakarn
time
health.usnews
livestrong
https://health.kapook.com/view177722.html

Thursday, August 17, 2017

กลิ่นฝนตก สงสัยไหม ทำไมได้กลิ่นแล้วรู้สึกดีจัง




         คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบกลิ่นฝน เพราะกลิ่นนี้ช่วยทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดี นอกจากนี้ยังทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นได้อีกด้วย

          มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า เราถูกถ่ายทอดความชื่นชอบในกลิ่นของฝนมาจากบรรพบุรุษของเรา ซึ่งในอดีตบรรพบุรุษของเราได้พึ่งพาฝนเพื่อการดำรงชีวิต นักวิทยาศาสตร์จึงให้ความสนใจที่จะค้นหาว่า เพราะเหตุใดกลิ่นฝนจึงทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดี และกลิ่นเหล่านั้นมีที่มาจากอะไร 
 
          ทั้งนี้ ฝนที่ตกลงมาทำให้เกิดกลิ่นมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลิ่นที่มีชื่อเรียกว่า "เพทริคอร์" ซึ่งมีที่มาจากชื่อนักวิทยาศาสตร์ 2 คนที่ค้นพบกลิ่นนี้ โดยกลิ่นนี้มักจะเกิดขึ้นช่วงฝนหยุดตกใหม่ ๆ เกิดได้จาก 2 สาเหตุ ได้แก่ สาเหตุแรก มาจากน้ำมันลึกลับบางชนิดที่พืชได้สร้างขึ้นและสะสมเอาไว้ในช่วงที่ฝนไม่ตก และเมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนก็จะชะล้างน้ำมันเหล่านั้นให้ฟุ้งไปในอากาศ
 
          ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดกลิ่น "เพทริคอร์" ก็คือสารเคมีบางชนิดซึ่งอยู่ในแบคทีเรีย "แอคติโนมายซีตส์" ที่อาศัยอยู่ในดิน โดยแบคทีเรียชนิดนี้จะลอยสู่อากาศเมื่อฝนตก และเมื่อกลิ่นทั้งสองชนิดลอยขึ้นสู่อากาศแล้วเกิดการรวมตัวกันก็ทำให้เกิดกลิ่น "เพทริคอร์" ซึ่งเป็นกลิ่นที่หลาย ๆ คนชอบนั่นเอง โดยกลิ่นชนิดนี้มีความหอมซึ่งจะให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าค่ะ

          นอกจากนี้ กลิ่นของ "โอโซน" ก็เป็นอีกกลิ่นหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวย เมื่อเราออกไปสู่ที่โล่งหลังฝนตก โดยกลิ่นของโอโซนนั้น มาจากภาวะฝนฟ้าคะนอง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ซึ่งประจุไฟฟ้าที่อยู่ในบรรยากาศเหล่านั้นจะแยกโมเลกุลของออกซิเจนและไนโตรเจนออกจากกัน และโมเลกุลที่ถูกแยกออกจากกันก็จะรวมตัวกับสารเคมีอื่น ๆ ที่อยู่ในอากาศกลายเป็นโอโซน ซึ่งโอโซนนั้นมีกลิ่นคล้าย ๆ กับ คลอรีน ที่ช่วยสร้างความรู้สึกกระชุ่มกระชวย และสดชื่นให้กับคนเรา 

          นอกจากนี้ ยังมีการรายงานจากนิตยสาร Smitsonian ถึงการวิจัยเกี่ยวกับกลิ่นฝนอีกว่า กลิ่นฝนที่เกิดในช่วงบ่ายของฤดูร้อนนั้นเป็นหนึ่งในกลิ่นฝนที่หอมที่สุดอีกด้วย โดยการวิจัยเผยให้เห็นว่า สีเขียวของธรรมชาติและการเจริญเติบโตของพืชต่าง ๆ นั้นทำให้มนุษย์รู้สึกเพลิดเพลินกับกลิ่นของฝนมากขึ้นเป็นพิเศษ

          สรุปได้ว่า กลิ่นฝนสามารถสร้างความรู้สึกกระชุ่มกระชวยกระปรี้กระเปร่าได้ มิน่าล่ะ หลังฝนตกทีไรรู้สึกสดชื่นแบบบอกไม่ถูกเลยเนอะ แต่อย่างไรก็ตาม ฝนก็ยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจ็บป่วยได้ เพราะฉะนั้น เราควรจะหลีกเลี่ยงการตากฝน และอย่าลืมพกร่มกันด้วยนะคะ

https://health.kapook.com/view94276.html