Wednesday, June 29, 2016

10 วิธีดูแลและรักษาต้นไม้ ให้สวนสวยตลอดหน้าฝน




วิธีดูแลสวนหน้าฝน เพื่อปกป้องและรักษาสวนของเราให้เขียวขจี สวยงาม น่ามอง ไม่เหี่ยวเฉาเพราะโดนสายฝนทำลาย ไปดูวิธีดูแลสวนให้สวยตลอดฤดูฝนกันค่ะ

        หน้าฝนถือเป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลบ้านเป็นพิเศษ เนื่องจากบ้านต้องเจอทั้งแสงแดดและสายฝน หลังคาบ้าน ผนัง หน้าต่าง จึงต้องได้รับการดูแลที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับสวนที่อยู่นอกบ้านที่ต้องเจอสายฝนเต็ม ๆ เพื่อปกป้องและรักษาความสวยของสวนให้คงเดิม กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวมวิธีดูแลสวนในหน้าฝนมาฝาก

1. ปกป้องรากด้วยเปลือกไข่

         สำหรับต้นไม้เล็ก ๆ ที่เพิ่งงอกใหม่หรือเพิ่งนำลงดินและรากยังไม่แข็งแรง ให้นำเปลือกไข่บดหยาบ ๆ มาโรยรอบโคนต้นไม้ เพราะเปลือกไข่ช่วยป้องกันการชะล้างหน้าดินของน้ำฝนได้

2. กำจัดวัชพืช

         ถึงแม้ว่าศัตรูพืชจะเหี่ยวแห้งไปแล้วในช่วงที่แดดแรง แต่เมื่อโดนฝนก็อาจกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้งถ้ารากยังอยู่ ฉะนั้นจึงควรกำจัดด้วยการถอนทั้งราก เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าวัชพืชฟื้นคืนมาได้อีก

3. กำจัดแหล่งน้ำขัง

         เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายแล้ว เมื่อทิ้งไว้นาน ๆ แหล่งน้ำขังอาจจะส่งกลิ่นเหม็นเน่าตามมาอีกด้วย ดังนั้นจึงควรให้เทภาชนะที่มีน้ำขังทิ้ง ล้างด้วยน้ำเปล่า จากนั้นคว่ำเก็บไว้ให้เรียบร้อย

4. ขุดทางระบายน้ำ

         เพื่อป้องกันน้ำขังในสวนและน้ำท่วมต้นไม้ ในสวนควรจะมีทางระบายน้ำเพิ่ม วิธีทำง่าย ๆ คือให้ขุดดินเป็นร่องเล็ก ๆ ตามขอบสนามหญ้าต่อไปยังทางระบายน้ำออก 

5. ใช้ผ้ายางคลุมรักษาหน้าดิน

         หน้าดินที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อพืชจะถูกน้ำฝนชะล้างตอนฝนตก ให้รักษาหน้าดินด้วยการนำผ้ายางหรือแผ่นพลาสติกเจาะรูเล็ก ๆ ไว้สำหรับคลุมหน้าดินตอนฝนตกและพอให้มีช่องว่างระบายอากาศ

6. ย้ายต้นไม้หาแสงแดด

         เนื่องจากอากาศช่วงหน้าฝนมักจะมีเมฆมาก มืดครึ้ม แสงแดดจึงอาจไม่เพียงพอสำหรับต้นไม้ที่ชอบแดดจัด ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโต ฉะนั้นจึงควรย้ายต้นไม้เหล่านั้นมาไว้ในจุดที่มีแสงแดดส่องทั่วถึงบ้าง

7. ลดการให้น้ำ

         ต้นไม้ได้รับน้ำที่เพียงพอแล้วในหน้าฝน ฉะนั้นควรงดการรดน้ำบ้างบางวัน แต่ทั้งนี้ต้องคอยสังเกตดินบริเวณรอบต้นไม้ด้วย ถ้าดินแห้งแสดงว่าน้ำฝนระเหยจากดินหมดแล้ว ก็ควรจะรดน้ำเพิ่ม

8. หลีกเลี่ยงการเดินในสวนหลังฝนตก

         หลังฝนตกดินในสวนจะชื้น แฉะ เละ เพื่อรักษาสภาพของดินและหญ้าให้หลีกเลี่ยงการเดินย่ำลงดินโดยตรง เพราะจะทำให้สวนเละได้ ควรหาแผ่นไม้มารองตามทางเดินแทน  

9. ใช้ปุ๋ยหมักธรรมชาติ

         แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี เนื่องจากฝนจะชะล้างปุ๋ยไปตามดิน ซึ่งถ้าใช้ปุ๋ยเคมีไส้เดือนที่ช่วยพรวนดินให้ต้นไม้อาจจะโดนสารเคมีที่มาจาก น้ำและตายได้ เพื่อเป็นการรักษาสภาพดินและไส้เดือนในดินควรใช้ปุ๋ยหมักแทน

10. ปลูกต้นไม้

         สภาพอากาศหน้าฝนถือว่าเหมาะอย่างยิ่งกับการนำเมล็ดพันธุ์และต้นไม้ใหม่ลง ปลูก ต้นไม้และดอกไม้ในสวนจะงอกงามเนื่องจากได้รับน้ำที่เพียงพอทุกวัน แต่ทั้งนี้การปลูกต้นไม้ขนาดเล็กและเพาะเมล็ดควรจะเก็บไว้ในร่มให้นานกว่า เดิม ต้องรอให้ลำต้นและรากแข็งแรงพอที่จะรับมือกับน้ำฝนก่อนแล้วจึงย้ายไปปลูก กลางแจ้ง

         แม้ฝนจะนำความชุ่มฉ่ำและช่วยให้สวนของเราเขียวขจีโดยไม่ต้องรดน้ำบ่อย ๆ แต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยมากเกินไป ควรหมั่นดูแลดิน ต้นไม้ และสนามหญ้าในหน้าฝนให้ถูกวิธีด้วยนะคะ สวนของคุณจึงจะสวยงามไปตลอดทั้งปี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก womenpla, gardeningabc, farmanddairy และ themicrogardener
http://home.kapook.com/view150360.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/65443000806356352/

Friday, June 24, 2016

15 วิธีเตรียมความพร้อม รับมือปัญหาในบ้านที่มาพร้อมกับหน้าฝน




ปัญหาบ้านหน้าฝนมีมากมายเลย แต่ปัญหาเหล่านั้นทำอะไรเราไม่ได้อีก แค่เพียงเราเตรียมตัวรับมือกับปัญหาบ้านในหน้าฝนไว้ให้พร้อมด้วยวิธีรับมือเหล่านี้

        หน้าฝนอาจทำให้อากาศภายในบ้านเย็นสบาย แต่ก็อย่าลืมว่ามีปัญหาตามมาไม่น้อย เช่น ปัญหาน้ำท่วมเข้าบ้าน ปัญหาหลังคารั่ว ทั้งยังส่งผลต่อส่วนอื่น ๆ ของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราหรือคราบเหลืองที่มาจากน้ำฝน สำหรับบ้านเราก็ถือว่าเข้าหน้าฝนแล้ว ฉะนั้นมาเตรียมบ้านให้พร้อมรับกับพายุฝนด้วย 15 วิธีดังต่อไปนี้กันค่ะ

      1. ซ่อมหลังคาและรอยรั่วให้เรียบร้อย ถือเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำเลยก็ว่าได้ ถ้าตรวจเจอให้รีบซ่อมทันทีเพื่อป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมา

        2. ทำความสะอาดท่อและรางน้ำ เพราะหากในท่อน้ำและรางน้ำมีเศษใบไม้ ดิน และสิ่งสกปรกอื่น ๆ ค้างอยู่ ถ้าถูกน้ำฝนชะล้างก็จะกลายเป็นคราบสกปรกเปื้อนผนังบ้านได้ 

        3. เช็คระบบไฟฟ้าในบ้าน ฝนตกย่อมมาพร้อมกับไฟดับในหน้าฝน ทั้งแบตเตอรี่สำรอง ไฟฉาย หรือแม้กระทั่งตะเกียง เทียนไข ควรหามาติดบ้านไว้จะดีที่สุด

        4. ติดตั้งปั๊มน้ำระบายน้ำเสีย ห้องใต้ดินถือเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงที่สุดในหน้าฝน เพราะเป็นห้องที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ ระบบระบายน้ำธรรมดาอาจจะช่วยระบายน้ำไม่ทัน

        5. ทาสีย้อมไม้กันน้ำ ทั้งลมและแดดในหน้าร้อนล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม้แตกเป็นรอย และถ้าน้ำฝนซึมเข้าไปในเนื้อไม้ ไม้บริเวณนั้นอาจเสียหายจนอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่

        6. ตรวจหารอยรั่วตามหน้าต่าง ถึงแม้จะปิดหน้าต่างไว้แน่นสนิทแค่ไหน แต่ถ้าหน้าต่างมีรอยรั่ว น้ำฝนก็สาดเข้ามาทำความเสียหายให้บ้านได้ โดยเฉพาะตามขอบหน้าต่าง น้ำจะซึมเข้ามาทำให้เนื้อไม้บวมและเกิดคราบเหลืองบนผนัง

 
        7. ตรวจสอบระเบียงและกันสาด กันสาดบ้านเป็นอีกสิ่งที่ช่วยกันฝนสาด ไม่ว่าจะเป็นที่ระเบียงหรือหน้าต่างควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพที่ใช้ งานได้

        8. กำจัดแหล่งมดและแมลงที่อยู่ในบ้าน มดและแมลงต่าง ๆ จะชอบหนีน้ำเข้ามาอยู่ในบ้าน ฉะนั้นควรกำจัดรังและแหล่งที่อยู่ให้สิ้นซาก เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเหล่านั้นกลับมาอีก

        9. เตรียมอุปกรณ์ อย่างเช่น  กระสอบทรายหรือผ้ายางกันน้ำให้พร้อม เพราะฝนที่ตกอาจจะมีปริมาณน้ำมาก ท่ออาจจะระบายน้ำไม่ทันและไหลเข้ามาในบ้านสร้างความเสียหาย 

        10. ตรวจสอบระบบระบายน้ำในสวน หน้าฝนมีปริมาณน้ำที่มากกว่าปกติ ระบบระบายน้ำในสวนอาจจะระบายไม่ทัน น้ำจะขังทำให้ต้นไม้เน่าและตายได้

        11. ปิดระบบให้น้ำอัตโนมัติในสวน ปริมาณน้ำฝนในหน้าฝนเพียงพอต่อต้นไม้ในสวนแล้ว หรือถ้าวันไหนฝนไม่ตกก็ให้รดด้วยสายยางแทน

        12. ย้ายกระถางต้นไม้ต้นเล็ก ๆ เข้าในที่ร่ม เพราะรากต้นไม้เล็ก ๆ ที่ปลูกในกระถางอาจจะไม่แข็งแรงพอเมื่อต้องรับมือกับพายุฝน ฝนอาจจะชะล้างดินและขังอยู่ในกระถาง ทำให้รากเน่าและตายได้ 

        13. ตั้งถังเก็บน้ำฝนตามท่อรางน้ำ ถึงแม้น้ำฝนในปัจจุบันจะไม่ค่อยปลอดภัยต่อการบริโภค แต่อย่างน้อยก็สามารถนำไปใช้รดน้ำต้นไม้หรือล้างรถได้

        14. ตัดกิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้ที่ตายแล้วออก เพราะตอนฝนตกกิ่งไม้เหล่านั้นอาจหักลงมาทับคนหรือบ้านพังเสียหายได้

        15. เก็บไฟล์งานสำรองไว้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เมื่อมีฝน ถึงแม้เครื่องใช้และอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานทั้งหลายจะอยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่ควรจะประมาท ทางที่ดีเก็บไฟล์งานสำคัญสำรองไว้ที่อื่นด้วยก็ดี        

ขอขอบคุณข้อมูลจาก sbcfire และ  latimes
http://home.kapook.com/view150218.html
เครดิตภาพ  http://home.kapook.com/view150218.html

Thursday, June 23, 2016

7 สิ่งที่ควรเติมในน้ำเปล่า ช่วยดีท็อกซ์ บูทระบบย่อยอาหาร




         บำรุงระบบย่อยอาหาร ด้วยการดีท็อกซ์แบบง่าย ๆ แค่เติมส่วนผสมเหล่านี้ลงไปในน้ำเปล่าแล้วดื่มให้เป็นนิสัย ก็บอกลาอาการอึดอัดและถ่ายไม่คล่องไปได้เลย

          ปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารไม่ได้แค่ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย แต่ยังอาจเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว แถมยังนำอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นริดสีดวง อาการปวดหลัง ร้ายที่สุดก็คือโรคมะเร็งลำไส้ แต่ปัญหาเหล่านี้จะไม่เข้ามาย่างกราย ถ้าเรามีระบบย่อยอาหารที่ดี โดยวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือการดื่มน้ำให้เยอะ ๆ แต่ถ้าจะให้ดียิ่งกว่าเดิมต้องขอแนะนำให้เติมส่วนผสมทั้ง 7 ดังต่อไปนี้ลงไปในน้ำดื่มด้วย รับรองเลยว่าปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย หรือแม้แต่อาการท้องผูกหมดไปอย่างแน่นอน


1. น้ำมะนาว

          การดื่มน้ำมะนาวดีกับสุขภาพ โดยเฉพาะระบบขับถ่าย เพราะมะนาวเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและอุดมไปด้วยวิตามินซีที่จะเข้าไปช่วย กระตุ้นการสร้างเอ็นไซม์ในระบบย่อยอาหาร อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกันไม่ให้เซลล์ในลำไส้ถูกทำลายและ กลายเป็นเซลล์ตัวร้ายอย่างเซลล์มะเร็งได้ วิธีดื่มก็ไม่ยาก แค่เพียงบีบมะนาวครึ่งผลลงในน้ำดื่ม หรือจะสไลซ์เป็นแผ่นแช่น้ำไว้ดื่มเวลากระหายก็ทำได้ และถ้าอยากให้ได้ผลดีมากขึ้นก็ลองบีบน้ำมะนาวลงในน้ำอุ่นแล้วดื่มทุกเช้า รับรองได้เลยว่าถ่ายคล่องแน่นอนค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรการดื่มน้ำมะนาวอุ่น ๆ ตอนเช้าถึงดีกับสุขภาพก็ตามไปดู "ประโยชน์ของน้ำมะนาว ดื่มอุ่น ๆ ยามเช้า ดีแค่ไหนต้องพิสูจน์"

2. แตงกวา

          แตงกวาเป็นผักที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง การใส่แตงกวาลงในน้ำดื่มจึงช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี แถมแตงกวาก็ยังมีคุณสมบัติในการกำจัดสารพิษในลำไส้ได้อีกด้วย ซึ่งลำไส้ที่สะอาดจะทำให้ขับถ่ายได้สะดวก แค่เพียงสไลซ์แผ่นแตงกวาลงไปแช่น้ำแล้วดื่มทุก ๆ วัน บอกได้คำเดียวเลยว่าประโยชน์น่ะดีแบบเห็น ๆ 

3. อบเชย

           กลิ่นหอม ๆ ของอบเชย ไม่ได้แค่เพียงช่วยให้ผ่อนคลายเท่านั้นแต่ยังช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายได้อีก ด้วย โดยเพียงนำอบเชยไปแช่ในน้ำอุ่นจิบเป็นชาหรือนำอบเชยแบบผงโรยลงในน้ำอุ่นแล้ว ดื่ม สารอาหารในอบเชยจะช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน และกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีในลำไส้ อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในอบเชยยังช่วยรักษาอาการอักเสบและติดเชื้อในลำ ไส้ ไม่เพียงเท่านั้น อบเชยยังมีคุณสมบัติอีกมากมาย ทั้งช่วยลดน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการเผาผลาญ ดีขนาดนี้รีบหามาเติมในน้ำดื่มกันดีกว่าค่ะ
  
4.  ขิง

           นอกจากขิงจะมีคุณสมบัติในการรักษา อาการอักเสบแล้ว ขิงยังช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นลดแก๊สในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย และถ้าหากนำไปต้มดื่มเป็นชาขิงก่อนนอนละก็จะยิ่งกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงาน ได้ดีขึ้น แก้อาการท้องผูกได้เป็นปลิดทิ้ง ช่วยให้ตื่นขึ้นมาในวันใหม่อย่างสดใส ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะปัญหาท้องไส้เลยล่ะ


5. น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล

          น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิลเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่มักใช้ในการล้างพิษในร่างกาย แค่เพียงเติมน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล 2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่นแล้วดื่มเป็นประจำ ลำไส้ก็จะสะอาดสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น และกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้กรดในน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิลยังช่วยปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างในลำ ไส้ได้ด้วย


6. ใบสะระแหน่

          แค่เพียงดื่มน้ำแช่ใบสะระแหน่สด ก็จะช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งใบสะระแหน่สดยังช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของระบบน้ำดีและเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงานของต่อมน้ำลาย ช่วยให้การย่อยอาหารเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ


7. เมล็ดเจีย

             คุณสมบัติที่โดดเด่นของเมล็ดเจียนั่นก็คือไฟเบอร์สูง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการรับประทานเมล็ดเจียจะช่วยแก้ปัญหาท้องผูก และช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังกันหน่อยเพราะถ้าหากทานมากไปอาจจะทำให้ท้องเสียได้ โดยไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะค่ะ

          การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ใช่แค่เพียงการดีท็อกซ์ร่างกายเท่านั้น แต่ยังควรทำควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพักผ่อนให้เพียงพอ หากทำได้ตามนี้รับรองได้เลยว่าสุขภาพของคุณจะดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างแน่นอนค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
findhomeremedy  
besthealthyguide  
guthealthproject
http://health.kapook.com/view150976.html

Tuesday, June 21, 2016

อ้วนขึ้นใช่ไหม ลด ละ เลิก 10 สิ่งนี้ให้เด็ดขาด ถ้าไม่อยากชีวิตพัง !




         เรื่องลดน้ำหนักไม่ ต้องพูดถึง แถมตอนนี้ยังอ้วนเอา ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตัวเลขบนตาชั่งได้ แต่อย่างน้อยขอแค่คุณไม่ทำ 10 สิ่งต่อไปนี้ก็ถือว่ายังโอเค

          เงิน ทองไม่เข้าใครออกใคร ความอ้วนก็เช่นกันว่าไหมคะ อย่างใครที่เคยตัวเล็ก ๆ บาง ๆ อยู่เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว แต่พอมาส่องกระจกวันนี้และได้เห็นตัวเลขบอกน้ำหนักบนตาชั่ง โอ้ แม่เจ้า ! เราก็มาไกลไม่แพ้ชาติใดในโลกเลย แต่ถึงจะอ้วนขึ้นและยังไม่มีเวลาลดความอ้วนก็ไม่ว่ากันค่ะ ขออย่างเดียว ถ้ารู้ตัวว่าอ้วนขึ้นและไม่อยากพังไปมากกว่านี้ อย่าทำ 10 สิ่งด้านล่างนี่เด็ดขาด !

1. อดมื้อกินมื้อ

          การงดอาหารในบางมื้อไม่ได้ช่วยให้น้ำหนักลดลงสักเท่าไร หนำซ้ำยังอาจทำให้รู้สึกหิวหนักมากในมื้อถัด ๆ ไปอีกต่างหาก นอกจากนี้การงดอาหารยังจะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง ส่งผลให้มีแนวโน้มจะอ้วนขึ้นมากกว่าเดิม ดังนั้นถึงตอนนี้ตัวจะแตก ก็ควรต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ทว่าอาจจะเลือกกินอาหารลดน้ำหนักแทนเมนูอาหารปกติเพื่อช่วยลดน้ำหนักอีกแรงก็ได้

2. รู้สึกแย่กับรูปร่างตัวเอง

          อ้วนขึ้นใครก็คงไม่แฮปปี้ แต่จะดีกว่าหากอ้วนขึ้นแล้วมีมุมมองด้านบวกกับตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ความรู้สึกดีที่มีรูปร่างอวบอ้วนขึ้นแน่ ๆ ทว่ามุมมองด้านบวกที่บอกก็เช่น เกิดแรงบันดาลใจอยากลดน้ำหนักเพื่อกลับไปใส่เสื้อผ้าตัวเก่งที่เคยใส่ได้ หรือถือโอกาสนี้ให้ตัวเองได้ออกกำลังกายลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ซึ่งจะได้ผลประโยชน์ด้านสุขภาพโดยรวมของร่างกายที่แข็งแรงขึ้นติดมาด้วย

3. ซื้อเสื้อผ้าใหม่ยกตู้ !

          อ๊ะ ๆ ยิ่งเปลี่ยนไซส์เสื้อผ้าก็เท่ากับว่าเปิดโอกาสให้ตัวเองขยายรูปร่างไปอีก เรื่อย ๆ ฉะนั้นหากเสื้อผ้าจะคับแน่นไปบ้างก็อดทนใส่ไปก่อน วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและยังเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้เรา เริ่มคิดลดน้ำหนักด้วยนะคะ

4. หมกมุ่นกับตัวเลขบนตาชั่ง

          เอา จริง ๆ เราจะรู้ตัวว่าอ้วนขึ้นก็ด้วยความอึดอัดของรูปร่างเรานี่แหละ ไม่ใช่ตัวเลขบนตาชั่งหรอก อย่างเหล่าคนออกกำลังกายสร้างกล้ามไงล่ะคะ ที่ยิ่งออกกำลังแต่กลับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้เห็นว่าประเด็นไม่ใช่อยู่ที่เราหนักเท่าไรแล้วตอนนี้ แต่เราจะทนอึดอัดกับรูปร่างที่ขยายใหญ่ขึ้นได้ถึงไหน แล้วเมื่อไรจะเริ่มลดหุ่นกันสักทีนั่นต่างหาก

5. โหมออกกำลังกายหนักเกินไป

          เมื่ออ้วนขึ้นก็ต้องออกกำลังกายลดน้ำหนัก ทว่าควรเริ่มออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไต่ระดับความเหนื่อยไปเรื่อย ๆ แบบนี้จะถือเป็นการออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ให้ผลลัพธ์ยั่งยืนกว่า นอกจากนี้ก็ควรต้องควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ เพราะหากออกกำลังกายหนักแต่ก็กินหนักมากด้วย แบบนี้นอกจากจะไม่ผอมลงแล้ว ยังเสี่ยงต่อความอ้วนต่อเนื่องและโรคภัยเท่าเดิมด้วยนะ ดังที่งานวิจัยเคยเผยว่า เป็นหมูแข็งแรงไม่ช่วย ออกกำลังกายแต่ยังปล่อยให้อ้วน ก็เสี่ยงตายเร็วกว่าคนผอมอยู่ดี

6. หยุดออกกำลังกาย

          บางรายถอดใจกับการออกกำลังกายลดน้ำหนักไปซะเฉย ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ออกกำลังกายมาก็นาน แต่น้ำหนักไม่ลดลงสักที ! แหมอย่าใจร้อนสิคะ บอกแล้วไงว่าการออกกำลังกายลดน้ำหนักต้องค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งก็แปลว่าต้องใช้เวลากับมันสักหน่อย ฉะนั้นก็สู้ต่อไปค่ะ กว่าน้ำหนักจะมาถึงจุดนี้ได้ นึกดูสิว่าเราก็ต้องสะสมแคลอรีจากการกินมาเป็นระยะหนึ่งเหมือนกันใช่ไหมล่ะ

7. ลองสูตรลดน้ำหนักเร่งด่วน

          คงจะเคยเห็นสูตรลดน้ำหนักเร่งด่วนด้วยการรับประทานอาหารแบบจำกัดปริมาณและ ชนิดอาหารเป็นมื้อ ๆ กันใช่ไหมคะ ซึ่งขอเตือนไว้ตรงนี้เลยนะว่าอย่าลองเลยดีกว่า เพราะแม้สูตรนั้นจะช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หากคุณเลิกทำสูตรดังกล่าวแล้วกลับมารับประทานอาหารตามปกติ คราวนี้ก็จะเผชิญกับช่วงเวลาของการโยโย่ น้ำหนักตัวพุ่งพรวดกลับมา ณ จุดที่เรียกว่าอ้วน หรือมากกว่าที่เคยหนักมาเลยก็เป็นได้

8. ทนหิว

          การทนหิวไม่ใช่คำตอบของการลดน้ำหนักเลยสักนิดค่ะ เคยได้ยินไหมว่าหากอยากลดน้ำหนักให้แบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ จำนวน 5-6 มื้อ นั่นก็เพื่อบั่นทอนความหิวของเราก่อนถึงเวลารับประทานอาหารมื้อหลัก ฉะนั้นอย่าเก็บสะสมความหิวระหว่างวันไว้เพื่อรอกินทีเดียวในมื้อหลักเลยดี กว่า เพราะไม่เช่นนั้นคุณอาจจะกินอาหารแต่ละมื้อในปริมาณมากกว่าเดิม

9. กังวลอยู่กับอาหารที่คนลดน้ำหนักห้ามกินเด็ดขาด !

          แทนที่จะมัวกังวลว่าคนไดเอตไม่ควรกินอะไรบ้าง เรามาคิดเมนูอาหารสำหรับคนลดน้ำหนักไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ทำให้เครียดแถมยังช่วยให้ได้เพลิดเพลินไปกับการครีเอทเมนูคลีน ๆ ของกินเล่นคลีน ๆ อีกต่างหาก

10. ทำใจยอมรับความอ้วน

          อ้วนแล้วก็อ้วนเลยแบบนี้ไม่เวิร์กแน่ ๆ และหากตอนนี้คุณกำลังเหนื่อยใจกับการลดน้ำหนักอยู่ อยากให้ลองตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักเล็ก ๆ ให้ตัวเองได้พิชิตก่อน อย่างงดน้ำหวานทุกชนิดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หากคุณทำสิ่งแรกได้ ก็จะมีกำลังใจในการพิชิตเป้าหมายลดน้ำหนักต่อไปเรื่อย ๆ เองล่ะค่ะ

          อ้วนขึ้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของชีวิต เพราะเราสามารถลดน้ำหนักด้วยตัวเองให้กลับมาเป็นคนหุ่นดีเหมือนเมื่อก่อนได้ ขอแค่อดทนและจริงจังกับการลดความอ้วนเท่านั้นเอง สู้ ๆ นะจ๊ะ เราเป็นกำลังใจให้ ;)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Women's Health
Kayla Itsines
http://health.kapook.com/view138075.html