Friday, April 29, 2016

5 เคล็ดลับ นอนหลับสบายหน้าร้อน




นอนไม่หลับทำไงดี อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ตื่นกลางดึกอยู่เรื่อย มาดูวิธีทำให้นอนหลับสบายกันหน่อย

          อากาศที่ร้อนจัดในเวลานี้ ทำให้หลายคนประสบปัญหาการนอนไม่หลับหรือหลับยาก ซึ่งปัญหาการนอนที่ว่านี้ เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งหากเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ แล้วหายไปก็ไม่มีผลต่อร่างกายมาก แต่ถ้าหากเกิดบ่อย ๆ อาจทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อน ถ้าเรื้อรังอาจกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ และถ้าไม่แก้ไขก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สสส. จึงมีเคล็ดลับมาแนะนำ

          เกี่ยวกับอาการนอนไม่หลับเพราะสภาพอากาศร้อน "อาจารย์ชินริณี วีระวุฒิวงศ์" ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม อธิบายว่า การนอนไม่หลับนั้น สามารถแยกได้เป็น 3 ประเภท คือ

          1. ระยะเริ่มต้น นอน 1 ชั่วโมงแล้วไม่หลับ
          2. หลับ ๆ ตื่น ๆ และเมื่อตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียไม่สดชื่น
          3. ตื่นเร็วกว่าเวลา หรือตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้ว นอนหลับต่อไม่ได้ ซึ่งสาเหตุของการนอนไม่หลับนั้นอาจจะมาจากปัจจัยในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ภาวะความเครียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเครียดแบบไม่รู้ตัว สภาวะสังคม การเงิน รวมไปถึงอายุที่มากขึ้น

          ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม แนะนำวิธีการแก้ไขอาการนอนไม่หลับแบบง่าย ๆ ดังนี้

1. นอนและตื่นให้เป็นเวลา

          ก่อนนอนหนึ่งชั่วโมงให้จัดตารางกิจวัตรประจำวันตัวเองว่า อยากจะทำอะไรให้ทำซ้ำเดิมทุกวัน เช่น ออกกำลังกายเบา ๆ อาบน้ำ สวดมนต์ แล้วเข้านอนให้ทำแบบนี้ทุกวัน เป็นระยะเวลา 1 เดือน ร่างกายจะคุ้นชินกับการนอนหลับแบบเป็นเวลา ซึ่งถือเป็นการสร้างสภาวะของนาฬิกาชีวิต เพื่อทำให้ฮอร์โมนในร่างกายสมดุลกัน

          อาจารย์ชินริณี เสริมว่า การนอนและตื่นให้เป็นเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยสุขภาพการนอนที่ดีควรจะนอนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง ส่วนการนอนชดเชยหรือนอนแบบแบ่งช่วงเวลาเพื่อให้ครบ 8 ชั่วโมงนั้นไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย เพราะต้องเข้าใจว่านาฬิกาชีวิตในร่างกาย หากเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้วก็จะถือเป็นวันใหม่แล้ว ดังนั้นหากต้องนอนดึก ก็ไม่ควรจะเกินเวลาห้าทุ่ม

2. ไม่ดูสิ่งที่กระตุ้นความคิด

          การดูหนังตื่นเต้นก่อนนอน หรือแม้แต่เล่นอินเทอร์เน็ตก่อนนอนนั้น จะเป็นการไปกระตุ้นสมองให้กลับมาคิดใหม่ เป็นการสร้างความเครียดโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งกว่าจะรู้สึกง่วงอีกครั้ง สมองอาจต้องใช้เวลาจัดการข้อมูลเหล่านี้ 2-4 ชั่วโมง ถ้ายิ่งคิดเยอะก็จะยิ่งไม่ได้นอน ดังนั้นควรงดกิจกรรมเหล่านี้ก่อนเข้านอน

3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

          การดื่มชาและกาแฟก่อนนอนจะยิ่งทำให้นอนไม่หลับ ซึ่งเครื่องดื่มที่แนะนำคือ น้ำสมุนไพร น้ำใบเตย น้ำเก็กฮวย น้ำลอยดอกมะลิ นมอุ่น หรือน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชาก่อนนอน ซึ่งเครื่องดื่มเหล่านี้มีฤทธิ์เย็น จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและทำให้นอนได้ อย่างไรก็ตามหากต้องการใส่น้ำตาลเพิ่มความหวานก็ใส่ได้ แต่ควรจะใส่น้ำตาลให้หวานพอดีที่ 4 กรัม หรือ 1 ช้อนชา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกันรณรงค์เพื่อหวังให้คนไทยห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่มีสาเหตุมาจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป

4. ปล่อยวางความเครียด

          เวลานอนไม่หลับเป็นไปได้ว่ามาจากการคิดมาก เพราะสมองและร่างกายยังคงทำงานอยู่ ขณะที่จิตใจก็คิดให้อภัยไม่ได้ เพราะยังเสียใจอยู่ จึงต้องรู้จักการปล่อยวางจิตใจ ส่วนใครที่ประสบปัญหาเวลาหลับแล้วชอบฝัน "อาจารย์ชินริณี" บอกว่า อาการฝันคืออาการที่ร่างกายกำลังย่อยความรู้ที่เราใช้มาทั้งวัน ดังนั้นเราต้องค่อย ๆ ปล่อยวางลง แล้วลองฝึกหายใจให้ถูกวิธี โดยหายใจให้ลึกถึงท้องและผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ ขณะเดียวกันให้ลองจัดตารางกิจกรรมของตัวเองก่อนนอนหนึ่งชั่วโมง อาบน้ำอุ่นหรืออาจจะสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ก็อาจจะช่วยได้    

5. กลิ่นหอมช่วยให้ผ่อนคลาย

          ใครที่มีปัญหาในเรื่องการหลับยาก หลับไม่สนิท หลับไม่ลึก กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บ่อยครั้ง แนะนำให้ใช้ผลมะนาวผ่าครึ่งบีบน้ำมะนาวหยดลงที่ข้อมือซ้ายแล้วนวดเบา ๆ ก่อนนอน กลิ่นหอมเปรี้ยวจากมะนาวจะช่วยสร้างสมาธิให้สมองเราได้ รับรองว่ากลิ่นนี้จะช่วยทำให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลายทั้งสมองและจิตใจ ความคิดที่ฟุ้งซ่านจะสงบนิ่งลงและส่งผลให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น

          อ.ชินริณี ทิ้งท้ายว่า วิธีที่ดูแลตัวเองดีที่สุด เพื่อให้นอนหลับได้สนิทนั้นคือ การดูแลเรื่องความเครียด พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดตารางชีวิตของตัวเองให้เป็นปกติ ตื่นนอนเป็นเวลา ซึ่งเมื่อร่างกายปรับตัวเองได้แล้ว เราจะพบว่าการนอนหลับเป็นเรื่องง่าย ขณะเดียวกันจะต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ด้วย และที่ละเลยไม่ได้เลยคือทำจิตใจให้ผ่องใส ให้อภัยคนรอบข้างหัวเราะทุกวัน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เรานอนหลับได้แล้ว
         
          ลอง นำเคล็ดลับการนอนที่แนะนำไปปรับใช้ พร้อมกับทำจิตใจให้แจ่มใส เชื่อว่าต่อให้อากาศร้อนแค่ไหน เราก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบาย ๆ พร้อมต้อนรับวันใหม่ได้อย่างเต็มที่แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สสส
http://health.kapook.com/view147202.html

Wednesday, April 27, 2016

10 วิธีกำจัดกลิ่นและคราบบนที่นอนให้สะอาดหมดจด




         รวมสุดยอดวิธีทำความสะอาดที่นอนในแบบฉบับแม่บ้านมือโปร เพื่อให้ที่นอนของคุณสะอาดอย่างแท้จริง นอนหลับได้อย่างสบายใจเพราะไม่มีคราบเปื้อนหรือกลิ่นเหม็นใด ๆ มารบกวน

          คุณแม่บ้านมือใหม่ที่ยังไม่เชี่ยวชาญในเรื่องของการทำความสะอาดโดยเฉพาะสิ่ง สกปรกบนที่นอนต้องรีบจดเก็บไว้เลย เพราะนี่คือรวมวิธีทำความสะอาดที่นอนจากสารพัดคราบเปื้อนและกลิ่นเหม็นในแบบ ฉบับที่แม่บ้านมือโปรเขาใช้กัน ซึ่งกระปุกดอทคอมขออาสารวบรวมมาไว้ให้คุณหมดแล้ว ไม่ว่าที่นอนของคุณจะต้องเจอกับคราบเปื้อนและกลิ่นเหม็นหนักหนาขนาดไหนนั้น วิธีเหล่านี้ช่วยจัดการได้ค่ะ
 

1. ทำความสะอาดง่าย ๆ ได้ด้วยเครื่องดูดฝุ่น

          หากใครที่ไม่ค่อยมีเวลาทำความสะอาดที่นอนมากนัก ขอแนะนำให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดทำความสะอาด กำจัดคราบสกปรกและไรฝุ่นต่าง ๆ ให้หมดไป และที่สำคัญใน 1 สัปดาห์ควรถอดผ้าปูที่นอนไปซักด้วย ก็จะช่วยให้ที่นอนสะอาดมากยิ่งขึ้น

2. ดับกลิ่นทั่วไปด้วยเบกกิ้งโซดา

          ปัญหาคราบเหงื่อหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ที่นอนมีกลิ่นเหม็นอับจะหมดไป เพียงแค่ผสมเบกกิ้งโซดากับกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่เราชอบให้เข้ากัน จากนั้นโรยไปบนที่นอนให้ทั่ว ใช้แปรงขัด ๆ ถู ๆ อย่างเบามือและเน้นตรงบริเวณที่มีคราบ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดเบกกิ้งโซดาออกให้หมด

3. กำจัดคราบเลือดบนที่นอน

          หากมีคราบเลือดบนที่นอนไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาเคมีกำจัดออกให้ยุ่งยาก เพียงแค่ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวง น้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะ และเกลืออีก 1 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปถูลงบนคราบเลือดและใช้ผ้าสีขาวซับออก สุดท้ายผสมน้ำเย็น 2 ถ้วยตวงผสมกับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะแล้วคนให้เข้ากัน นำฟองน้ำมาชุบแล้วซับลงไปบนคราบและใช้ผ้าแห้งเช็ดออกอีกครั้ง รับรองว่าคราบเลือดที่ฝังแน่นก็หลุดออกอย่างง่ายดาย

4. ล้างคราบปัสสาวะอย่างหมดจด

          บ้านไหนที่มีเด็กน้อยก็ต้องพบเจอปัญหานี้เป็นธรรมดา แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะกำจัดออกได้ด้วยการผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 1 ถ้วยตวง เบกกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ และน้ำยาล้างจานอีก 2 หยด จากนั้นป้ายลงไปบนคราบและรอจนแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำยาที่ผสมจากผงซักฟอก 3 ช้อนโต๊ะกับน้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นค่อย ๆ ป้ายลงบนคราบและอย่าให้เปียก ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง ใช้ผ้าซับคราบออกพร้อมใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดตามอีกรอบ

5. ทำความสะอาดคราบธรรมดาทั่ว ๆ ไป

          แม้จะสำรวจแล้วว่าคราบสกปรกนั้นไม่ใช่คราบหนักอะไร แต่เราก็ต้องรีบทำความสะอาดก่อนที่คราบนั้นจะเกาะแน่นติดทนนาน ด้วยสูตรสบู่แห้งที่มีส่วนผสมดังนี้ ผสมน้ำยาล้างจาน ¼ ถ้วยตวง กับน้ำเปล่า 2-3 ช้อนชา ให้ได้เนื้อโฟมหนา ๆ จากนั้นป้ายเนื้อโฟมลงไปบนคราบเปื้อน ใช้แปรงขนนุ่มขัดคราบให้หลุดออก แล้วทิ้งไว้ให้แห้งก่อนใช้ผ้าเช็ดส่วนผสมออก

6. กำจัดคราบและกลิ่นบุหรี่

          ทั้งคราบขี้บุหรี่และกลิ่นควันบุหรี่อาจจะดูเป็นเรื่องยากในการกำจัด แต่ถ้าหากลองใช้สูตรนี้แล้วจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที ก่อนอื่นต้องรีบถอดผ้าปูที่นอนไปซัก จากนั้นผสมเบกกิ้งโซดา 1 ส่วนกับน้ำเย็น 2 ส่วนแล้วขัดลงบนคราบและทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ซับออกให้เกลี้ยง

7. กำจัดเหล่าเชื้อราและรอยด่างดำ

          เริ่มจากยกที่นอนออกมาตากแดด แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดให้ทั่ว นำฟองน้ำไปชุบลงในส่วนผสมที่มีแอลกอฮอล์และน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จากนั้นซับลงไปบนที่นอนเน้นจุดที่เป็นคราบเชื้อรา เพื่อให้มั่นใจว่าเชื้อราตายสนิทแน่นอน

8. คราบเครื่องดื่มนานาชนิด

          ไม่ว่าจะเป็นคราบกาแฟ น้ำผลไม้ หรือแม้กระทั่งน้ำนม ก็ไม่เกินความสามารถของแม่บ้านอย่างเรา ๆ แน่นอน แค่ใช้น้ำยาทำความสะอาดสูตรมะนาวหรือน้ำส้มสายชูเทลงในขวดสเปรย์ แล้วฉีดลงไปบนคราบเครื่องดื่มหรือจะใช้ผ้าสะอาด ๆ ชุบแอลกอฮอล์แล้วซับลงไปโดยตรงเลยก็ได้เลยค่ะ

9. คลุมที่นอนด้วยผ้าปูไวนิล

          ไม่เพียงแต่วิธีทำความสะอาดที่เราต้องนำมาใช้นั้น ยังมีวิธีป้องกันที่นอนจากสิ่งสกปรกด้วยการเลือกใช้ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอน แบบไวนิลมาสวมรองก่อนสวมปลอกหมอนหรือผ้าปูที่นอนจริงอีกต่างหาก เจ้าผ้าปูไวนิลนี้ทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกสัมผัส เข้าถึงที่นอนและหมอนยังไงล่ะคะ

10. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศเพื่อกำจัดฝุ่น

          สาเหตุหลัก ๆ ของสิ่งสกปรกบนที่นอนนั้นมาจากสภาพอากาศชื้น ๆ และไรฝุ่นในห้องนอน ดังนั้นเราควรตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลมด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งสามารถช่วยลดความชื้นได้ถึง 30-50% เลยทีเดียว

          ในเมื่อรู้สารพัดวิธีทำความสะอาดที่นอนอย่างนี้แล้ว ก็อย่ามองว่าคราบเปื้อนบนที่นอนเป็นเรื่องไม่สำคัญ มิเช่นนั้นคราบสกปรกเหล่านี้จะส่งผลกระทบในด้านลบต่อการนอนหลับของคุณเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Housewifehowtos และ Wikihow
http://home.kapook.com/view142825.html

Tuesday, April 26, 2016

20 ผักผลไม้แก้ร้อนใน กินอาหารอะไรช่วยดับร้อนให้ร่างกาย




อาหารแก้ร้อนใน กินอะไรช่วยลดความร้อนในร่างกาย มาแก้อาการร้อนในที่เกิดได้บ่อยในช่วงอากาศร้อน ๆ ด้วยผักผลไม้หาทานง่าย

          ร้อนใน เกิดได้บ่อยในช่วงอากาศร้อน ๆ ยิ่งถ้าเราทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น เนื้อสัตว์ ของทอด ของมันมาก ๆ เข้าไป จะเกิดความร้อนสะสมอยู่ในร่างกายจนปรากฏเป็นแผลร้อนในให้เจ็บปากกันเล่น ๆ เมื่อเป็นแบบนี้ การทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นก็จะช่วยบรรเทาอาการร้อนใน และทำให้หายได้เร็วขึ้นเหมือนกันนะคะ งั้นมาดูกันว่านอกจากการดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ แล้ว ผักผลไม้อะไรบ้างที่มีฤทธิ์เย็น ช่วยดับร้อนในร่างกายได้บ้าง
 

ผักแก้ร้อนใน

มะระ เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย บรรเทาอาการร้อนใน แก้อักเสบ เจ็บคอ

ตำลึง ดับพิษร้อนภายในร่างกาย ลดอาการไข้ เป็นยาระบายอ่อน ๆ

ดอกแค มีฤทธิ์เย็นสามารถช่วยรักษาอาการร้อนใน ลดไข้ ลดน้ำมูก และแก้ปวดหัวได้ โดยนำดอกแคมาต้มกับน้ำรับประทาน

ปวยเล้ง เป็นยาเย็น ช่วยขับร้อน แก้กระหาย

ใบบัวบก มีฤทธิ์เย็น ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันนี้สามารถหารับประทานเป็นแคปซูลได้ หรือจะนำใบมาคั้นน้ำก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน

ฟักเขียว มีฤทธิ์เย็น ช่วยถอนพิษ ขับร้อนในร่างกาย ขจัดเสมหะ ขับปัสสาวะ บำบัดอาการบวมน้ำ ไอ หอบ สามารถลดความร้อนในร่างกายและทำให้แผลร้อนในยุบตัวเร็วขึ้น

แตงกวา เป็นพืชผักที่มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก ๆ ก็จะช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลง

ชะอม ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้

สะเดา หาก ต้องการลดอาการร้อนใน และดับพิษร้อนในร่างกาย ให้นำยางสะเดามารับประทาน ไม่เพียงเท่านั้น ยอดอ่อนและดอก ก็ยังสามารถนำมาลวกจิ้มรับประทานกับน้ำพริกช่วยขับความร้อนในร่างกายได้อีก ด้วย

ถั่วเขียว มีฤทธิ์ขับร้อนใน แก้กระหาย ขับปัสสาวะ มาดูวิธีทำน้ำถั่วเขียวกัน

รากบัว แก้ร้อนใน ลดไข้ บำรุงโลหิต ช่วยให้เจริญอาหาร

หัวไชเท้า ล้างพิษภายใน ดับพิษร้อน บำรุงไต ขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว


ผลไม้แก้ร้อนใน

ส้มโอ ช่วยในการขับถ่ายและขับสารพิษแก้อาการท้องอืด ช่วยระบายความร้อนในร่างกาย ผ่อนพิษไข้

มะเฟือง ช่วยลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย ปวดศีรษะ บรรเทาอาการไอ และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แต่ไม่เหมาะกับคนป่วยโรคไต

แตงไทย ดับกระหาย ลดความร้อนในร่างกาย ขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

หล่อฮั้งก้วย นำมาต้มดื่ม ช่วยแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้ท้องผูก โรคหลอดลมอักเสบ หืด หอบ

ลองกอง ลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกาย แก้อาการร้อนใน ทำให้ชุ่มคอ

มังคุด ช่วยลดความร้อนภายใน แก้กระหายน้ำ ช่วยเพิ่มเมือกภายในลำไส้และกระเพาะทำให้ถ่ายคล่อง

มะตูม ต้มดื่ม ช่วยแก้ร้อนใน ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องเสีย ขับเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร


http://health.kapook.com/view146658.html

Friday, April 22, 2016

9 วิธีดับร้อนในร่างกาย เพิ่มความเย็นให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องเปิดแอร์




  วิธีดับร้อนในร่างกาย ดูเหมือนว่าจะจำเป็นอย่างมากในฤดูนี้แล้วนะคะ และหากใครไม่ไหวจะเปิดแอร์หรือเป่าพัดลม ลองดับร้อนด้วยสารพัดวิธีตามนี้ดูสิ
   
          อากาศ ร้อนทวีคูณขึ้นทุกที ร้อนแบบนี้พัดลมก็เอาไม่อยู่ ปล่อยลมร้อนใส่เราแทนลมเย็น ๆ ซะงั้น ! และหากจะหวังพึ่งแอร์ตลอดก็เกรงใจบิลค่าไฟ ที่สำคัญการเพิ่มความเย็นให้ร่างกายแค่ภายนอกก็อาจทำให้เราเย็นได้ไม่ถึงใจ เอาเป็นว่าใครร้อนรุ่มอยู่ข้างในลองดับร้อนในร่างกายง่าย ๆ ตามนี้ดูบ้างดีกว่า

1. ดับร้อนด้วยอาหารคลายร้อน
   
          อากาศทั้งร้อนทั้งอบอ้าว ร้อนมากไปบางทีร่างกายก็เกิดอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไม่อยากทำอะไรสักอย่าง แถมบางทีดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ ก็ไม่ชื่นใจเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นหากอยากดับร้อนในร่างกาย ก็อาจต้องพึ่งอาหารคลายร้อนที่จะช่วยเติมความสดชื่น คืนความกระปรี้กระเปร่า ดับกระหาย และแก้อ่อนเพลีย ซึ่งเรามีมาให้เลือกมากถึง 15 รายการจากบทความด้านล่างนี้

          อาหารคลายร้อนสุดเด็ด จัดด่วน ๆ ก่อนร่างกายจะเพลียหนัก

2. สมุนไพรดับร้อน

          นอกจากอาหารแล้วเรายังมีสมุนไพรที่ช่วยดับร้อนในร่างกายให้เราได้ อย่างเช่น ดอกดาวเรือง ว่านหางจระเข้ ดอกแค ใบบัวบก รางจืด ฟักเขียว มะระขี้นก ฟ้าทะลายโจร สะเดา ย่านาง และบอระเพ็ด เพราะล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ดังนั้นหากใครรู้สึกร้อนในร่างกายและเหมือนจะมีอาการร้อนในด้วยแล้ว สมุนไพรตามนี้จาก 15 สมุนไพรแก้ร้อนในใกล้ตัว รู้แล้วรีบหามาไว้ติดบ้าน ! ก็ช่วยแก้อาการได้เป็นอย่างดี

3. กินมื้อน้อยแต่บ่อยหน่อยก็ช่วยดับร้อนได้

          ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเมื่อเรากินอาหารเข้าไป ระบบย่อยอาหารพร้อมทั้งระบบเผาผลาญก็จะทำงาน นำมาซึ่งอุณหภูมิในร่างกายที่ร้อนขึ้นจากการทำงานที่ว่า ดังนั้นวิธีดับร้อนให้ร่างกายที่ทำง่ายมากก็แค่กินอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่กินบ่อยกว่าปกติเพื่อช่วยร่างกายประหยัดพลังงาน
   
          นอกจากนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทโปรตีนและไขมันเข้าไว้ เพราะอาหารประเภทนี้ร่างกายจะต้องใช้พลังในการย่อยมากกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ

4. ประคบเย็นที่ข้อมือ

          อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าเส้นเลือดใหญ่ของเราอยู่บริเวณข้อมือ ดังนั้นการประคบเย็นบริเวณนี้ครั้งละ 5 วินาที ในทุก ๆ 2 ชั่วโมง จะช่วยลดอุณหภูมิภายในเส้นเลือดให้ร่างกายรู้สึกเย็นขึ้นได้

5. แช่เท้าในน้ำเย็น

          ในกรณีที่ร้อนจัดมาก ๆ รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เราสามารถดับร้อนในร่างกายด้วยการแช่เท้าในน้ำเย็นสักพัก เนื่องจากเท้าเป็นจุดศูนย์รวมของเส้นประสาททั้งหมด ดังนั้นเมื่อเส้นประสาทรับความเย็นได้แล้ว ร่างกายก็จะปรับอุณหภูมิลงโดยอัตโนมัติ

6. ดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่

          ทันทีที่รู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายร้อนขึ้นชนิดที่เหงื่อซึมไปทุกรูขุมขน ให้หาน้ำเย็น ๆ มาดื่มไปเลย 1 แก้วใหญ่ จากนั้นก็ค่อย ๆ จิบน้ำเย็นไปเรื่อย ๆ ทุก 15 นาที การเติมน้ำให้ร่างกายชุ่มชื้นขึ้นจะช่วยระบายความร้อนรุ่มข้างในได้อีกทาง

7. กินอาหารรสเผ็ด

          ความเผ็ดที่หลายคนเข้าใจว่าจะยิ่งเพิ่มความร้อนให้ร่างกาย แต่ในอีกแง่หนึ่งการรับประทานอาหารเผ็ดจะช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามาก ขึ้น ซึ่งก็เท่ากับว่าช่วยระบายความร้อนในร่างกายได้อีกทางหนึ่งเลยนะคะ ดังนั้นจะลองวิธีนี้ดูบ้างก็ไม่เสียหาย ทว่าอย่าลืมตัวจัดหนักกับความเผ็ดมากจนเกินพอดี ไม่งั้นอาจมีท้องเสียกันได้

8. เปลือยเท้าก็ช่วยได้

          เท้าถือเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่มีส่วนในการระบายความร้อนในร่างกา­­­ย ดังนั้นหากมีโอกาสก็ลองเปลือยเท้าดูบ้างเพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนผ่าน เท้าได้สะดวกขึ้น ดับร้อนกันง่าย ๆ ด้วยวิธีนี้แหละ อ้อ ! และถ้าจะให้ดีพยายามหลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้า และควรใส่รองเท้าที่มีลักษณะโปร่ง ระบายอากาศได้ดีด้วยนะคะ
   
9. นวดน้ำมัน

          การนวดเป็นการระบายความร้อนจากร่างกายผ่านทางรูขุมขน ยิ่งหากนวดตัวด้วยน้ำมันสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นอย่างน้ำมันดอกดาวเรือง น้ำมันว่านหางจระเข้ ก็จะยิ่งช่วยดับร้อนให้ร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

          ต้องยอมรับว่าอากาศตอนนี้ร้อนจัดจนต้องร้องขอชีวิตจริง ๆ ซึ่งนอกจาก 9 วิธีนี้แล้ว เราเชื่อว่าหลายคนก็ใช้การอาบน้ำบ่อย ๆ เป็นการดับร้อนในร่างกายอยู่ใช่ไหมคะ ยังไงก็อย่าลืมนำวิธีดับร้อนในร่างกายที่เราแนะนำไปปรับใช้ดูบ้าง อย่าปล่อยให้อากาศร้อนเล่นงานเรานานจะดีกว่า
   

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Daily Mail
Top 10 Home Remedies
http://health.kapook.com/view146650.html