Tuesday, March 29, 2016

เจ็บคอหลังตื่นนอนทุกเช้า ไขข้อข้องใจให้ดี อาการนี้อันตรายไหม




เจ็บคอหลังตื่นนอนทุกเช้า จนพาลหงุดหงิดไปทั้งวัน มาเช็กกันสักทีว่าอาการนี้เกิดจากอะไร แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง

          การตื่นนอนขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น สดใส และกระฉับกระเฉงล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากพบเจอในเช้าวันใหม่ แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตื่นมาในตอนเช้าและพบกับอาการเจ็บคอโดยไม่ทราบสาเหตุ จนทำให้รู้สึกไม่สดชื่น ราวกับว่าพักผ่อนไม่พอ ทั้ง ๆ ที่ก็นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม อีกทั้งยังทำให้ไม่สบายเนื้อสบายตัวไปตลอดทั้งวันเลยก็มี วันนี้เราจะพาทุกคนไปเรียนรู้สาเหตุอาการเจ็บคอหลังตื่นนอนกันค่ะ และมาดูกันสิว่าถ้าไม่อยากจะตื่นนอนแล้วเจ็บคอให้อารมณ์เสียแต่เช้าจะมีวิธี ป้องกันอย่างไรบ้าง

1. โรคภูมิแพ้อากาศ
         โรคภูมิแพ้อากาศ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ตอนที่เราตื่นนอนเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขณะที่เรานอนหลับได้ ซึ่งอาการนี้นอกจากจะทำให้เจ็บคอหรือคอแห้งหลังจากตื่นนอนแล้ว ก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนว่าเป็นไข้หวัด เกิดอาการจาม และมีน้ำมูกในช่วงเช้าได้อีกด้วย

วิธีแก้ไข


         โรคภูมิแพ้อากาศสามารถป้องกันได้ด้วยการรับประทานยาแก้แพ้ก่อนเข้านอน ซึ่งวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดอาการภูมิแพ้อากาศก็มีหลากหลายวิธี อาทิ การรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมที่อุดมด้วยวิตามินซี การใช้ยาแก้แพ้ เป็นต้น แต่ถ้าอยากให้อาการหายไปโดยถาวรเพื่อที่จะไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจ็บคออีก ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแพ้ดังกล่าวเลยจะดีกว่า

2. กรดไหลย้อน

         ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าหากคุณเป็นกรดไหลย้อน แล้วจะรู้สึกเจ็บคอหลังจากตื่นนอน ยิ่งโดยเฉพาะคนที่มักจะรับประทานอาหารก่อนจะเข้านอน เพราะหลังจากรับประทานอาหาร กรดในกระเพาะอาหารจะไหลย้อนขึ้นมาที่บริเวณหลอดอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสาเหตุให้ตื่นมาแล้วรู้สึกเจ็บคอนั่นเอง

วิธีแก้ไข
        
         หากคุณรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรคกรดไหลย้อน วิธีแก้ไขอาการที่ดีที่สุดคือ ควรจะทิ้งช่วงระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายกับเวลาเข้านอนให้ห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง อีกทั้งยังควรรับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อไม่ให้อาการกรดไหลย้อน กำเริบ

3. นอนกรน

         สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องนอนกรน อาการเจ็บคอหลังตื่นนอนก็เป็นสิ่งที่มักจะพบได้บ่อย เพราะเมื่อเวลาที่คุณหลับแล้วเริ่มกรน อากาศก็จะเข้าไปทางปาก ทำให้ภายในปากและลำคอแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ซึ่งการนอนกรนไม่ได้เพียงแค่ส่งผลให้คอแห้ง แต่ยังอาจส่งผลให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ อีกด้วย

วิธีแก้ไข

         ปัญหาเจ็บคอหลังตื่นนอนที่มาจากอาการกรน วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือการรักษาที่ต้นเหตุ โดยควรไปพบแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหานอนกรน ซึ่งวิธีการรักษาก็มีตั้งแต่การใช้อุปกรณ์เสริม ไปจนถึงการผ่าตัด แต่ถ้าหากคุณไม่อยากไปพบแพทย์ละก็ ควรเปลี่ยนจากการนอนในท่าหงายมาเป็นการนอนตะแคง เพราะการนอนในท่านี้จะลดอาการกรนได้เป็นอย่างดี

4. ภาวะขาดน้ำ

         การดื่มน้ำน้อยจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันจะส่งผลไปถึง ในช่วงเวลากลางคืนที่เรานอนหลับ เพราะตอนที่นอนหลับ ร่างกายจะไม่ได้รับน้ำจากการดื่ม ทำให้ร่างกายดึงน้ำไปใช้จนทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ และจะรู้สึกเจ็บคอหลังจากตื่นนอนนั่นเอง ซึ่งเป็นอาการของภาวะขาดน้ำนั่นเอง

วิธีแก้ไข


         ภาวะขาดน้ำขณะนอนหลับสามารถป้องกันได้ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้อง การของร่างกายในแต่ละวัน นั่นก็คือวันละ 8 แก้ว และควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้วก่อนที่จะเข้านอน นอกจากนี้หลังจากตื่นนอนยังควรดื่มน้ำเลยทันที 1-2 แก้วค่ะ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอหลังจากนอนหลับมาตลอดทั้งคืน

5. ไข้หวัด

         อาการไข้หวัดอาจ มีจุดเริ่มต้นมาจากอาการเจ็บคอในตอนเช้า และสามารถแยกออกจากอาการเจ็บคอเพราะสาเหตุอื่น ๆ ได้ชัดเจน เพราะอาการเจ็บคอในตอนเช้าทั่วไปเมื่อดื่มน้ำเข้าไปสักพักก็จะเริ่มดีขึ้น แต่อาการเจ็บคอจากไข้หวัดจะเป็นเรื้อรังไปตลอดทั้งวัน แถมยังมีน้ำมูก หรือบางครั้งก็จะมีไข้ตามมาด้วยค่ะ

วิธีแก้ไข

         วิธีแก้ก็ไม่ยาก เพียงแค่ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง จะช่วยป้องกันเราจากไข้หวัดได้ค่ะ

6. แพ้ยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปาก
         นอกจากปัจจัยทางสุขภาพแล้ว ปัจจัยภายนอกอย่างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดช่องปากก็เป็นสาเหตุทำให้ เกิดอาการเจ็บคอหลังจากตื่นนอนได้เช่นกัน ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่แรงเกินไปอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก ได้ นอกจากนี้ยังจะก่อให้เกิดการอักเสบภายในช่องปากลงไปถึงลำคอ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ดีกับสุขภาพช่องปากเลยเป็นอย่างยิ่ง

วิธีแก้ไข


         หากคุณแน่ใจว่าการที่คุณรู้สึกเจ็บคอหลังจากตื่นนอนนั้นมาจากยาสีฟันและ น้ำยาบ้วนปากที่คุณใช้ก่อนนอน วิธีที่ดีที่สุดคือควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสีย หันมาใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์อ่อนลง วิธีนี้ไม่ได้เพียงแค่ช่วยให้หายเจ็บคอเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ป้องกันการอักเสบภายในช่องปากที่เกิดจากสารเคมีอีกด้วย

7. อากาศในห้องนอนแห้งเกินไป

         สภาพอากาศในห้องที่เรานอนก็มีผลต่อการนอนหลับ เพราะถ้าหากเรานอนในห้องที่มีอากาศเย็นและแห้งจนเกินไปก็จะทำให้เยื่อบุโพรง จมูกของเราขยายตัวทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลให้เราต้องหายใจทางปาก และเป็นสาเหตุทำให้คอแห้งจนรู้สึกเจ็บคอหลังจากตื่นนอนได้

วิธีแก้ไข

         ถ้าหากคุณต้องนอนในห้องที่มีอากาศแห้ง ควรหาผ้าชุบน้ำมาวางไว้ใกล้ ๆ ศีรษะ เพื่อให้เวลาที่นอนหลับเราจะหายใจเอาอากาศที่มีความชื้นเพียงพอเข้าไป และทำให้เยื่อบุโพรงจมูกขยายตัว นอกจากนี้ยังไม่ควรนอนหลับในห้องที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส และควรหลีกเลี่ยงการให้ลมโกรกหน้าตรง ๆ ขณะที่นอนหลับค่ะ

         ได้ทราบกันไปแล้วถึงสาเหตุและวิธีแก้อาการเจ็บคอหลังตื่นนอน คราวนี้ใครที่มีอาการก็ลองกลับไปเช็กดูนะคะว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ แล้วรีบแก้ไขซะ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นบ่อย ๆ อาจจะทำให้คอเกิดการอักเสบเรื้อรัง คราวนี้แทนที่จะได้นอนหลับสบาย ๆ ก็อาจจะต้องมาทนเจ็บคอทั้งตอนนอนหลับและตอนตื่นเลยนะคะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
healthguidance.org
goaskalice.columbia.edu
healthhype.com
http://health.kapook.com/view144998.html

Monday, March 28, 2016

มัลเบอร์รี (ลูกหม่อน) สรรพคุณชัดเรื่องลดน้ำหนัก เปี่ยมวิตามินซี ต้านมะเร็งก็เริด




มัลเบอร์รี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน ผลไม้พื้นบ้านแบบไทย ๆ สุดยอดแหล่งวิตามินซี มิตรแท้คนรักสุขภาพ

          เทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก็ยังเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญมากพอ ๆ กับการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกายต่าง ๆ ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพมากมายหลายอย่างที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันมาก่อนได้รับ ความนิยมกันมากขึ้น อย่างเช่น มัลเบอร์รี ที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อกันเท่าไร แต่ในเรื่องของสรรพคุณนั้นโดดเด่นจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดอีกชนิด หนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับผลไม้อย่างมัลเบอร์รี หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างไทย ๆ ว่า ลูกหม่อน ลองไปดูกันสิว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้จะมีดีแค่ไหน และทำไมถึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ อยากรู้ก็ตามมาดูกันเลยค่ะ


มัลเบอร์รี คืออะไร ?

          มัลเบอร์รี (Mulberry) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus nigra. L. เป็นหนึ่งในพืชตระกูลเบอร์รี โดยคนไทยมักจะรู้จักกันในชื่อของลูกหม่อน เนื่องจากเป็นผลของต้นหม่อนที่ใช้ในการเลี้ยงหนอนไหม อันเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมผ้าไหม โดยลักษณะของต้นหม่อน เป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบ ไม่มีหนาม แต่มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ใบมีลักษณะขอบหยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือเป็นรูปหัวใจ ผิวใบสาก ก้านใบเรียวเล็ก ดอกเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกตามซอกใบและปลายยอด ผลของหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี มีลักษณะเป็นผลรวมทรงกระบอก สีของผลเป็นสีเขียวอ่อน แต่เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีแดงเข้ม ไปจนเกือบดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว

          ทั้งนี้ มัลเบอร์รีมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ มัลเบอร์รีสีขาว มัลเบอร์รีสีแดง และมัลเบอร์รีสีดำ มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ โดยมัลเบอร์รี 100 กรัมมีคุณค่าทางอาหารดังนี้

          - พลังงาน 43 กิโลแคลอรี
          - คาร์โบไฮเดรต 9.80 กรัม
          - โปรตีน 1.44 กรัม
          - ไขมัน 0.39 กรัม
          - ไฟเบอร์ 1.7 กรัม
          - โฟเลต 6 ไมโครกรัม
          - วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) 0.620 มิลลิกรัม
          - วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน) 0.050 มิลลิกรัม
          - วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) 0.101 มิลลิกรัม
          - วิตามินเอ 25 ยูนิต
          - วิตามินซี 36.4 มิลลิกรัม
          - วิตามินอี 0.87 มิลลิกรัม
          - วิตามินเค 7.8 ไมโครกรัม
          - โซเดียม 10 มิลลิกรัม
          - โพแทสเซียม 194 มิลลิกรัม
          - แคลเซียม 39 มิลลิกรัม
          - ทองแดง 60 ไมโครกรัม
          - ธาตุเหล็ก 1.85 มิลลิกรัม
          - แมกนีเซียม 18 มิลลิกรัม
          - เซเลเนียม 0.6 ไมโครกรัม
          - สังกะสี 0.12 มิลลิกรัม
          - เบต้า-แคโรทีน 9 ไมโครกรัม
          - ลูทีน-ซีแซนทีน 136 ไมโครกรัม


 
12 ประโยชน์มัลเบอร์รี เด่นดีเรื่องสุขภาพ

          เช่นเดียวกับญาติในตระกูลเบอร์รี มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ด้วยเพราะคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นอยู่ในผลสีเข้ม และรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวถูกปาก อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง มัลเบอร์รีกวน หรือจะดื่มเป็นเครื่องดื่ม อย่างน้ำมัลเบอร์รี จึงทำให้มัลเบอร์รีกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมได้ไม่ยาก เราลองไปดูกันดีกว่าว่ามัลเบอร์รีมีดียังไงกันบ้าง

1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

          อาการระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมักเป็นปัญหาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่มัลเบอร์รีมีสรรพคุณช่วยไม่ให้น้ำตาลในเลือดเกิดการผกผันโดยจะเข้าไปชะลอการย่อยของคาร์โบไฮเดรต ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่เกิดการผกผันจนส่งผลเสียต่อร่างกาย

2. ลดคอเลสเตอรอล

          คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่อยู่ในร่างกายซึ่งจำเป็นต้องควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ เพราะหากมีมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งการรับประทานมัลเบอร์รีสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) และกระตุ้นการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไขมันในตับ และความเสี่ยงไขมันพอกตับได้อีกด้วยค่ะ

3. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

          มัลเบอร์รีถือเป็นพืชในตระกูลเบอร์รีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงคุณค่า ที่ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ จากการถูกทำลาย อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ และริ้วรอยที่เกิดขึ้นก่อนวัย ไม่เพียงเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รียังช่วยบำรุงผิวให้ดูเนียนนุ่ม กำจัดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิว และยังบำรุงผมให้เงางามได้อีกด้วย

4. บำรุงสมอง

          จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ทำการทดลองกับหนูตัวผู้ พบว่า เมื่อให้หนูทดลองที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมองกินมัลเบอร์รี หนูเหล่านั้นจะมีความจำที่ดีขึ้น และลดการเกิดภาวะออกซิเดชั่น อันเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังป้องกันไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลายด้วย

5. ป้องกันโรคมะเร็ง

          เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคมะเร็งเกิดจากภาวะความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดจากการที่เซลล์ถูกทำลาย ซึ่งวิธีการป้องกันก็คือการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และในมัลเบอร์รีก็มีเจ้าสารนี้อยู่ไม่ใช่น้อย โดยสารเหล่านี้จะไปทำการยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และกำจัดเซลล์มะเร็งไปพร้อม ๆ กัน นับว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ให้ผลที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

6. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

          ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายในพืช แต่กลับมีในมัลเบอร์รี ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายสามารถส่งออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น

7. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

          มัลเบอร์รีเป็นพืชที่มีสารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะไปกระตุ้นเซลล์แมคโคเฟจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้เราไม่ป่วยง่ายค่ะ

8. ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง

          เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารที่พบได้ในเปลือกผลไม้บางชนิด เช่น องุ่น และพืชตระกูลเบอร์รีบางชนิด และในมัลเบอร์รีก็มีอยู่ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าหากบริโภคอาหารที่มีสารชนิดนี้จะช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงจนเกินไป และลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดด้วย

9. บำรุงสายตา

          ซีแซนทีนที่อยู่ในมัลเบอร์รี เป็นสารสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา โดยสารนี้จะเข้าไปลดภาวะออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในดวงตา ป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังช่วยให้ดวงตาใสปิ๊ง นี่ยังไม่รวมถึงวิตามินบี 1 ที่มีประโยชน์ในการบำรุงสายตาโดยตรง ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว

10. ช่วยในการล้างพิษ

          ในแพทย์แผนจีน มัลเบอร์รีถือเป็นสมุนไพรชั้นดีที่ช่วยล้างพิษในตับ ไต และเลือด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาค้างได้ดี คอดื่มทั้งหลายทราบแล้วต้องหามากินด่วนเลย

11. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง


          แคลเซียม วิตามินเค ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ที่มีอยู่รวมกันในผลมัลเบอร์รีแบบจัดเต็ม ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกและป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกตามวัยได้ ยิ่งถ้ารับประทานกับโยเกิร์ตละก็จะยิ่งได้แคลเซียมเพิ่มขึ้นอีกเพียบเลย

12. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย


          ปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มัลเบอร์รีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ดีสำหรับระบบขับถ่าย ไฟเบอร์ในมัลเบอร์รีจะเข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อีกทั้งยังช่วยแก้ท้องอืด และจุกเสียดได้อีกด้วย



ข้อควระระวังในการรับประทานมัลเบอร์รี

          อย่างไรก็ตามแม้มัลเบอร์รีจะมีประโยชน์ แต่ก็ควรระมัดระวังในการรับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้มัลเบอร์รีไม่ควรรับประทานอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้อาการกำเริบ ขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานก็ควรรับประทานแต่พอดี เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตราย ทางที่ดีก่อนรับประทานควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะดีที่สุดค่ะ

          ด้วยประโยชน์ที่อัดแน่นในผลไม้สีแดงเข้มนี้ ถ้าจะให้เรียกว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดแบบไทย ๆ ก็คงจะไม่ผิด ซึ่งในปัจจุบันก็ยังหารับประทานได้ง่าย ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง น้ำผลไม้ รวมทั้งในรูปแบบอาหารเสริม ใครสะดวกรับประทานแบบไหนก็ลองหามาทานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพกันเลย และจะยิ่งดีขึ้นไปอีกถ้าดูแลสุขภาพในด้านอื่น ๆ ไปด้วยค่ะ
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
nutrition-and-you.com
globalhealingcenter.com
organicfacts.net
authoritynutrition.com
stylecraze.com
livestrong.com
http://health.kapook.com/view143799.html

Friday, March 25, 2016

20 อาการที่ฟ้องว่าคุณติดฟังเพลงเข้าขั้นจิต เป็นโรค Music Addiction ขาดเสียงเพลงไม่ได้




Music Addiction อาการติดการฟังเพลงเข้าขั้นหนัก เกือบจะเหมือนติดยาเสพติดบางชนิดก็ว่าได้ เช็กซิ ที่ชอบฟังเพลงอยู่ทุกวันนี้ เราเป็นโรคทางจิตเบา ๆ จนกระทบกับชีวิตของเราหรือเปล่า

          ทุกวันนี้นอกจากจะเห็นคนติดสมาร์ทโฟนหนักมากแล้ว เรายังจะเห็นคนใส่หูฟังติดตัวอยู่ตลอดด้วยเช่นกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกสักเท่าไรเนอะ เพราะฟังเพลงระหว่างเดินทางหรือรอรถก็เพลิน ๆ ชิล ๆ ดี

   
          ทว่าบางคนไม่ใช่แค่ฟังเพลงแก้เซ็งเท่านั้นสิคะ แต่กลับมีภาวะที่เรียกว่าติดการฟังเพลงขั้นรุนแรง แสดงอาการของโรค Music Addition ที่ในวงการประสาทวิทยาพูดเลยว่า อาการนี้ไม่ธรรมดาซะแล้ว

Music Addiction อาการนี้คืออะไร ?

          Robert Zatorre และ Valorie Salimpoor นักประสาทวิทยาจาก McGill University เผยการทดลองที่ทำให้เห็นว่า อาการติดการฟังเพลงอาจเกี่ยวข้องกับระบบประสาทในร่างกาย ที่หลั่งสารโดพามีนออกมามากเกินปกติ จนสั่งให้ร่างกายทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ เดิม ๆ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาการเสพติด คล้ายกับอาการของคนที่ติดสารเสพติดชนิดโคเคนเลยก็ว่าได้

สาเหตุของอาการ Music Addiction เกิดจากอะไรได้บ้าง ?

          ภาวะเสพติดการฟังเพลงที่เป็นอยู่อาจเกิดได้จากการสร้างนิสัยชอบฟังเพลงให้ ร่างกายเกิดความคุ้นชิน โดยเริ่มแรกอาจเกิดจากความชื่นชอบ อาการเป็นสุขที่ได้ฟังเพลงเพราะ ๆ จังหวะเพลงโดน ๆ ซึ่งจุดนี้ร่างกายจะหลั่งสารโดพามีนหรือสารแห่งความฟินออกมา
   
          นอกจากนี้เจ้าสารที่ว่าก็สามารถเกิดขึ้นได้หากร่างกายได้รับประทานอาหารที่ ถูกใจ หรือจากการใช้สารเสพติดบางชนิดด้วยนะคะ ซึ่งพอนาน ๆ เข้า ร่างกายก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งเร้าที่สั่งให้ร่างกายหลั่งโดพา มีนออกมา (สิ่งเร้า ณ ที่นี้ก็คือการฟังเพลงนั่นเอง) ทำให้มีความรู้สึกว่าต้องฟังเพลงตลอดเวลา
   
          อย่างไรก็ดี Beverly Omalley คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ แห่ง University of Newcastle ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โดยธรรมชาติแล้วโดพามีนเป็นสารสื่ออะดรีนาลิน ทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดความคึกคัก ฉะนั้นในกลุ่มคนที่ใช้เสียงเพลงกระตุ้นโดพามีนจนเกิดเป็นความเคยชิน เมื่อไม่ได้ฟังเพลงขึ้นมาเมื่อไร ก็จะรู้สึกหงุดหงิด งุ่นง่าน ไร้แรงบันดาลใจ หรือบางรายอาจมีอาการซังกะตายเหมือนขาดเพลงจะขาดใจเลยก็มี

เช็กชัด ๆ Music Addiction ใช่อาการของเราไหม ?

          ต้องบอกว่าเสียงเพลงเข้าถึงทุกคนได้ง่าย คนฟังเพลงเยอะมากอย่างที่เห็น ๆ กัน ฉะนั้นจะมาเหมาว่าคนฟังเพลงทุกคนเป็นโรค Music Addiction ก็คงไม่ถูกนัก เราจึงมีอาการบ่งชี้มาให้สำรวจตัวเองเล่น ๆ ถ้าพฤติกรรมของคุณเป็นอย่างข้อมูลด้านล่าง นี่ล่ะเข้าข่าย Music Addiction เสพติดเพลงอย่างจังเลย

          1. ฟังเพลงได้ทั้งวันทั้งคืน จนบางทีทำให้ละเลยภาระหน้าที่บางอย่างไปได้ง่าย ๆ

          2. งานอดิเรกคือการติดตามฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงไหนออกใหม่ ก็แทบจะนับถอยหลังเวลาที่เพลงจะถูกปล่อยออกมาอย่างไม่กะพริบตาเลยทีเดียว
         
          3. โหลดเพลงวันละหลายสิบเพลง และมักจะคิดว่าเพลงที่มีอยู่ในครอบครองยังน้อยอยู่ แม้เมมโมรี่จะเต็มไปด้วยลิสต์เพลงก็ตาม

          4. ละทิ้งได้ทุกอย่าง เพียงเพื่อจะฟังเพลงหรือดูมิวสิควิดีโอ

          5. มักไม่ชอบใจ หากคนรอบข้างจะเป็นคนที่ไม่ชอบฟังเพลง หรือไม่เข้าใจในความเป็นตัวเรา

          6. มักจะจินตนาการว่าชีวิตตัวเองคล้ายเพลงนั้นเพลงนี้ไปเรื่อย

          7. โปรดปรานช่วงเวลาที่ได้ฟังเพลงอยู่เฉย ๆ ยิ่งได้จิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยก็ฟินสุด ๆ

          8. ชอบขับรถหรือเดินทางอย่างไร้จุดหมาย เพียงเพื่อจะฟังเพลงคลอไปด้วยยาว ๆ ไป

          9. รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ไม่ได้ยินเสียงเพลง

          10. สร้างเสียงเพลงจากอุปกรณ์รอบตัวได้เป็นจังหวะ เช่น เสียงไมโครเวฟทำงาน เสียงเครื่องซักผ้า หรือแม้แต่เสียงลมพัดใบไม้

          11. พยายามหลีกเลี่ยงปาร์ตี้หรือการมีทติ้งที่ไม่มีนักดนตรี

          12. ฟังเพลงเยอะมาก จนจำชื่อเพลงไม่ได้

          13. เปิดเพลงไม่หยุด หรือเล่นดนตรีไม่เลิก แม้จะมีคนบอกให้หยุดเล่นแล้วก็ตาม

          14. ใช้จ่ายเงินไปกับเสียงเพลงมากกว่าเรื่องอื่น ๆ

          15. ตามติดทุกคอนเสิร์ต แม้จะไม่ใช่ศิลปินโปรดของตัวเอง

          16. ขาดสมาธิจะทำอะไรหากไม่ได้ฟังเพลง

          17. ไม่แคร์หากนิสัยติดเสียงเพลงของเราจะทำให้ทะเลาะกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนใกล้ตัว

          18. สิ่งแรกที่ทำหลังจากตื่นนอนคือการเปิดเพลงฟัง

          19. ชอบเปรียบเทียบคนรอบข้างเป็นเพลงที่ชอบฟัง

          20. จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีเมื่อฟังเพลง

          หากมีพฤติกรรมชอบฟังเพลงดังข้อมูลข้างต้นเกินกว่าครึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าคุณมีภาวะ Music Addiction แล้วล่ะค่ะ


วิธีรักษาโรค Music Addiction

          ถ้าเช็กอาการแล้วคิดว่าใช่ ต้องใช่แน่ ๆ เราก็มีวิธีรักษาอาการ Music Addiction มาให้ลองทำดังนี้

จดพฤติกรรมฟังเพลงของเราในแต่ละวันให้เป็นไดอารี่
   
          วิธีนี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ถูกว่าเราใช้เวลาในแต่ละวันฟังเพลงไปมาก น้อยแค่ไหน เป็นการรีวิวนิสัยชอบฟังเพลงอย่างที่เราไม่เคยได้สังเกตตัวเองด้วย

ลิสต์เหตุผลของการฟังเพลง

          ลองจดเหตุผลที่เราชอบฟังเพลงลงไปเป็นข้อ ๆ จะช่วยให้เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะกับคนที่คิดว่าถ้าขาดเพลงแล้วขาดใจ บางทีหากได้เห็นเหตุผลที่ทำให้เราชอบฟังเพลงขึ้นมาแล้ว เราอาจจะคิดได้ว่าไม่มีเสียงเพลงก็ไม่ถึงกับตายนี่นา

ลดเวลาฟังเพลง เพิ่มกิจกรรมอื่น ๆ

          แรกเริ่มเราต้องตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าวันนี้เราจะฟังเพลงแค่กี่ชั่วโมง ช่วงไหนบ้าง แล้วจะแทนที่ด้วยกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติมตรงส่วนไหน เพื่อให้ร่างกายได้มีช่วงเวลาห่างกันสักพักกับหูฟังบ้าง ฝึกตัวเองให้ออกห่างจากเสียงเพลงอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อีกหน่อยก็จะคุ้นชินกับการไม่มีเสียงเพลงคลออยู่ในหูตลอดเวลาได้ค่ะ

ออกไปข้างนอกให้บ่อยขึ้น

          หากปกติชอบหมกตัวอยู่กับห้องและฟังเพลง คราวนี้ขอให้เปลี่ยนมาขยับขาก้าวออกจากประตูห้อง และอย่าลืมทิ้งเครื่องเล่น MP3 หรืออุปกรณ์ฟังเพลงทุกชนิดไว้ที่ห้องด้วยนะคะ วิธีนี้จะช่วยหันเหความสนใจของเราไปหาสิ่งอื่น ๆ บ้าง ไม่ติดเสียงเพลงแจอย่างที่ผ่านมา

นึกถึงสุขภาพและความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลัก

          อาการขั้นหนัก ๆ ของ Music Addiction บางรายถึงกับขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพราะมัวจดจ่ออยู่กับเสียงเพลง โดยเฉพาะตอนขับรถ ฉะนั้นหากทำใจไม่ได้ที่จะไม่มีเสียงเพลงในชีวิต ก็คิดซะว่าเราเอาความใส่ใจที่ให้ไปกับเพลงมาจดจ่ออยู่ที่สิ่งที่ทำตรงหน้าจะ ดีกว่า อย่างตั้งใจขับรถอย่างมีสติและระมัดระวัง เป็นต้น

          หากรู้ตัวว่าติดฟังเพลงหนักมากแล้วเพิกเฉย ขอเตือนไว้เลยว่าถ้าไม่ใส่ใจจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นานวันเข้าอาจเกิดภาวะหลุดจากโลกแห่งความเป็นจริง แล้วพาตัวเองให้โลดแล่นไปตามเนื้อหาเพลงที่ฟังได้ ฉะนั้นแม้ Music Addition จะไม่กระทบกับสุขภาพร่างกายเท่าไรในระยะเริ่มต้น แต่เราก็ควรป้องกันเอาไว้ก่อนอาการจะถลำลึกจนยากเกินเยียวยา
   
          อย่างไรก็แล้วแต่ การฟังเพลงไม่ใช่กิจกรรมต้องห้าม เพียงแต่เราควรจำกัดขอบเขตของมันให้อยู่ในจุดที่พอดี และอยากให้จำไว้ว่า เราเป็นคนเลือกฟังเพลง ไม่ใช่ให้เพลงมากำหนดความเป็นเรานะคะ   

**หมายเหตุ อัพเดทข้อมูลล่าสุดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 07.46 น.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
SOFTPEDIA
Perdeby
wikiHow
STONES THROW
ChainLetters
http://health.kapook.com/view140636.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/milymar78/rosas-bellas-cute-roses/




Wednesday, March 23, 2016

10 วิธีประหยัดไฟในบ้าน ลดค่าไฟให้ได้ผลจริง




วิธีประหยัดไฟในบ้าน บอกลาบิลค่าไฟแพงในช่วงหน้าร้อน มาดูกันสิว่าเราสามารถช่วยประหยัดไฟด้วยวิธีประหยัดในบ้านได้อย่างไรบ้าง         

          สิ้นเดือนทีไรก็มีบิลค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระยาวเป็นหางว่าว หลัก ๆ ก็ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าโทรศัพท์มือถือ แต่มีใครเคยสังเกตตัวเลขบนบิลค่าใช้จ่ายเหล่านี้บ้างไหมเอ่ย ว่ามันมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือนเลยเนอะ โดยเฉพาะค่าไฟ ที่เอะอะก็ปรับค่า Ft ทำให้ค่าไฟสูงขึ้นอยู่บ่อย ๆ ฉะนั้นมัวแต่นิ่งดูดายไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เรามาช่วยกันลดค่าไฟในบ้าน ด้วยวิธีประหยัดไฟในบ้านต่อไปนี้กันดีกว่า
 

1. ลดการใช้แอร์

          บ้านไหนที่มีแอร์ก็ควรเปิดใช้แอร์เท่าที่จำเป็น เช่น เปิดในวันที่รู้สึกร้อนมากจริง ๆ อีกทั้งควรเปิดแอร์ในอุณภูมิที่พอเหมาะ โดยเปิดแอร์ที่ 25 องศาก็พอ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่นอนไม่หลับหากไม่เปิดแอร์ ก็เปลี่ยนมาเปิดแอร์ช่วง 1- 2 ชั่วโมงแรกก่อนจะนอนหลับก็ได้ ตั้งเวลาปิดแอร์เอาไว้ให้เรียบร้อย และอย่าลืมสำรวจประตูหน้าต่าง และช่องโหว่ทุกช่องในห้องนอนก่อนด้วย เพียงแค่นี้ก็ช่วยประหยัดไฟได้เยอะแล้วล่ะ
 

2. ปิดไฟดวงที่ไม่ได้ใช้งาน

          หลายคนชอบเปิดไฟทั่วบ้าน เพราะอยากให้บ้านดูสว่างไสว แต่หากได้เห็นบิลค่าไฟตอนสิ้นเดือนแล้วก็คงตกใจน่าดูใช่ไหมล่ะ ฉะนั้นก็ปิดไฟดวงที่ไม่ได้ใช้งานจะดีกว่า แล้วออกจากบ้านทุกครั้งก็ควรเดินสำรวจให้รอบบ้านด้วยว่า มีไฟดวงไหนที่เปิดค้างอยู่หรือเปล่า ค่าไฟในบ้านจะได้ไม่พุ่งสูงมากนัก
 

3. ถอดปลั๊กทุกครั้งหลังใช้งาน

          เพียงแค่ปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นการตัดกระแสไฟเลยซะทีเดียว เพราะตราบใดที่ปลั๊กยังเสียบอยู่กับเต้ารับ ตราบนั้นก็ยังคงมีกระแสไฟไหลวนเพื่อให้คุณเปิดใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าได้โดย ทันที โดยเฉพาะคนที่ชอบเปิดโหมดพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ไว้เอา เพียงแค่ 1 ชั่วโมงก็สูญเสียกระแสไฟไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้วนะจ๊ะ และในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานออกทุกครั้งด้วยจะดีที่สุด
 

4. เลือกใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซ้นส์

          หลอดไฟฟลูออเรสเซ้นส์มีราคาแพงกว่าหลอดไฟชนิดอื่นก็จริง แต่หลอดไฟฟลูออเรสเซ้นส์สามารถช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไฟชนิดอื่นถึง 75% เลยทีเดียว แถมยังมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีความทนทานมากพอสมควรเลยด้วยนะ อย่างนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่า ควรต้องเลือกใช้ไฟแบบไหนถึงจะประหยัดไฟ และคุ้มค่าเม็ดเงินมากกว่า
 

5. ใช้งานอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ให้น้อยลง

          บรรดาเครื่องปั่น เตาไมโครเวฟ กระทะไฟฟ้า รวมไปถึงเตาอบ จัดว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทฟุ่มเฟือย ที่กินไฟฟ้าไม่น้อยเลยทีเดียว ฉะนั้นหากเป็นไปได้ลองลดความถี่การใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ดู แล้วมาเปรียบเทียบจากค่าไฟปลายเดือนกันดีกว่า
 

6. ซักรีดเสื้อผ้าในคราวเดียว

          เครื่องซักผ้า และเตารีดเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟ มากเช่นกัน ดังนั้นหากคุณจะซักรีดเสื้อผ้า ก็ควรซักรีดเสื้อผ้าคราวละมาก ๆ ครั้งเดียว หรืออย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณประหยัดไฟได้อีกมากโขเลยล่ะค่ะ อ๊ะ ! คนที่ชอบรีดเสื้อผ้าทุกเช้า ควรเปลี่ยนพฤติกรรมด่วน ๆ เลยนะจ๊ะ
 

7. จัดการตู้เย็นให้สะอาดและเป็นระเบียบ

          ใครที่ชอบสะสมของกินไว้ในตู้เย็นวันละนิดวันละหน่อย แต่สุดท้ายก็ลืมทิ้งไว้ให้เน่าเสียคาตู้เย็น รู้ไหมคะว่าพฤติกรรมแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขในบิลค่าไฟพุ่งสูง ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังทำให้ตู้เย็นของคุณสกปรก เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและแบคทีเรีย ส่งผลกระทบกับสุขภาพร่างกายได้ง่าย ๆ อีกด้วยนะ
 

8. เมินที่โกนหนวดไฟฟ้า และแปรงไฟฟ้า

          ลำพังแค่แปรงสีฟันธรรมดา และมีดโกนหนวดแบบปกติก็สามารถทำความสะอาดช่องปากและใบหน้าของคุณได้หมดจดมาก พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์อย่างที่โกนหนวดไฟฟ้า และแปรงไฟฟ้าเลยสักนิด แถมยังช่วยประหยัดไฟที่ต้องชาร์จแบตให้คุณได้อีกเยอะเลยด้วยจ้า
 

9. เว้นระยะห่างการใช้งานเครื่องดูดฝุ่น

          ถ้าบ้านคุณไม่ได้เลี้ยงสัตว์ และปกติก็ไม่ค่อยมีฝุ่นมากมายเท่าไรนัก ก็สามารถเว้นระยะห่างการใช้งานเครื่องดูดฝุ่นจากดูดฝุ่นทุกสัปดาห์ เป็นดูดฝุ่น 2- 3 ครั้งต่อเดือนก็ได้ วิธีนี้ก็ช่วยลดปริมาณการใช้ไฟให้คุณได้เยอะเช่นกันค่ะ
 

10. ลงทุนติดตั้งเซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหว

          สำหรับคนที่ขี้หลงขี้ลืมขนาดหนัก อาจจะลงทุนครั้งใหญ่กับการติดตั้งเซ็นเซอร์จับสัญญาณการเคลื่อนไหวไว้รอบ ๆ บ้านก็ได้ ตัวเซ็นเซอร์นี้จะช่วยเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ ๆ ในบ้านเวลาที่มีคนเดินเข้ามา และอยู่ในห้องนั้น แต่หากตัวเซ็นเตอร์จับการเคลื่อนไหวของคนไม่ได้ ก็จะจัดการปิดไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าให้อัตโนมัติ เจ๋งแถมช่วยประหยัดไฟได้อีกเนอะ

          
          ใครที่กำลังกังวลกับค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลองทำตามวิธีประหยัดไฟที่เราแนะนำกันได้นะคะ รับรองว่าถ้ามีวินัยในการใช้ไฟได้ครบทั้ง 10 ข้อนี้ ค่าไฟในบ้านคุณจะลดลงอย่างฮวบฮาบเลยล่ะ

http://home.kapook.com/view81530.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/a850217g/light/