Monday, June 30, 2014

10 ผลไม้ให้วิตามินซีสูงปรี๊ด สกัดหวัด เสริมภูมิคุ้มกัน




         ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง มีมากมายหลายชนิด ไม่ต้องเป็นผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดก็เติมเต็มวิตามินซีให้ร่างกายได้ ขอบอก !

          ฮัดชิ้ว ! เป็นหวัดอีกแล้ว สังเกตไหมคะพอเป็นหวัดทีไร จะมีคนบอกให้เราหาวิตามินซีมาทานมาก ๆ จะได้หายหวัดเร็ว ๆ แล้วยังช่วยป้องกันโรคหวัดที่อาจกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ด้วย ซึ่งแหล่งวิตามินซีที่หาทานได้ง่ายที่สุดก็เห็นจะเป็นบรรดาผลไม้ทั้งหลายนี่แหละจ้า โดยร่างกายของคนเราต้องการวิตามินซีวันละประมาณ 60-90 มิลลิกรัม

          แต่เอ...เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองได้รับวิตามินซีเพียงพอหรือเปล่า แล้วควรจะทานผลไม้อะไรที่ให้วิตามินซีสูง ๆ แบบไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม ผลไม้เปรี้ยวจี๊ดจะให้วิตามินซีสูงกว่าผลไม้ทั่วไปหรือเปล่า กระปุกดอทคอม ขอชวนชิมลิ้มรส 10 ผลไม้วิตามินซีสูง ตามนี้เลย


1. มะขามป้อม
 
          ที่เขาว่ากันว่ามะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในโลกไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยค่ะ เพราะข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย ยืนยันมาว่า ในมะขามป้อมผลสด 100 กรัม จะมีวิตามินซีแฝงอยู่ถึง 276 มิลลิกรัม หรือถ้านำผลมะขามป้อมไปคั้นน้ำดื่มก็ยังมีวิตามินซีสูงกว่าน้ำส้มคั้นถึง 20 เท่า ด้วยสรรพคุณอย่างนี้ มะขามป้อมเลยมีฤทธิ์แก้หวัดได้ชะงัด แถมยังช่วยละลายเสมหะ แก้ไอได้ดีด้วย


2. มะขามเทศ

          นอกจากมะขามป้อมแล้ว มะขามเทศก็มีวิตามินซีสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของผลไม้ไทยเลยค่ะ และที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ มะขามเทศยังวิตามินอีด้วย ซึ่งปกติแล้ววิตามินอีมักไม่ค่อยพบในผลไม้เท่าไร แต่เมื่อเจ้ามะขามเทศมีทั้งวิตามินซีและอีมาประสานกัน ก็จะผนึกกำลังกันช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอีกต่างหาก หรือถ้าใครมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย รีบหามะขามเทศมาทานได้เลย เพราะมะขามเทศมีเส้นใยมาก ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้นแน่นอน


3. ฝรั่ง

          ถึงจะเป็นผลไม้รสฝาด แต่ขอบอกว่า ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมากเหมือนกัน โดยในเนื้อฝรั่งสด 100 กรัม (ประมาณ 1 ผลกลาง) จะมีวิตามินซีมากถึง 160 มิลลิกรัม ซึ่งเกินพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน อย่างไรก็ตาม อย่าปอกเปลือกเชียว เพราะวิตามินซีอยู่ที่เปลือกนี่ล่ะ และควรกินฝรั่งที่เจริญเต็มที่และยังเป็นสีเขียวอยู่ เพราะวิตามินซีที่ผิวและเนื้อของฝรั่งจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อผลสุกค่ะ

 
4. กีวี

          เนื้อสีเขียวสดใสแสนอร่อยของกีวีมีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยเลยนะ โดยกีวี 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัม หรือถ้าเป็นกีวี 2 ผล ก็จะให้วิตามินซีประมาณ 137 มิลลิกรัม แถมยังมีกากใยมาก อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ทองแดง และโฟเลต แคลอรี่ก็ต่ำอีกต่างหาก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักนะ


5. ลิ้นจี่

          ผลไม้ฉ่ำน้ำรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ให้วิตามินซีถึง 71 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัมเชียวนะ เลยมีสรรพคุณช่วยบำรุงหลอดเลือด ป้องกันโรคกระดูกและฟัน แก้ไอเรื้อรัง แก้คัดจมูกได้ แต่ก็เตือนไว้ก่อนว่าอย่าทานมากเกินไป เพราะในเนื้อลิ้นจี่มีสารประกอบชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการร้อนในได้เหมือน กัน


6. มะละกอสุก

          เนื้อมะละกอสุก 100 กรัม มีวิตามินซีราว ๆ 70 มิลลิกรัม จึงช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟันได้ นอกจากนั้น มะละกอยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยปราบอาการท้องผูกได้ชะงัด อ้อ ! แนะนำว่าเวลาปอกเปลือกไม่ควรปอกหนาจนเกินไปนะคะ เพราะที่บริเวณเปลือกและใต้ผิวเปลือกมีสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อย่างยอดเยี่ยมสะสมอยู่ด้วย


7. สตรอว์เบอร์รี

          ผลไม้สีแดงรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ เพียงกินแค่ 100 กรัม คุณจะได้รับวิตามินซีถึง 66 มิลลิกรัมเลยเชียว และสีแดงสดของสตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ช่วยลดคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ดับกลิ่นปาก ขัดฟันให้ขาวด้วย แจ่มมาก


8. เงาะ

          ไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่า "เงาะ" ก็มีวิตามินซีเหมือนกัน แต่ขอบอกให้รู้ค่ะว่า เงาะ 100 กรัม จะให้วิตามินซีประมาณ 53 มิลลิกรัม ซึ่งสรรพคุณของเงาะก็เลิศไม่น้อย ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปากได้ แก้อาการท้องร่วงชนิดรุนแรงได้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าทานเงาะมากเกินไปนะ เพราะเงาะมีสารแทนนินสูง กินมากไปอาจปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูกได้เหมือนกัน และไม่ควรรับประทานเม็ดด้วยค่ะ เพราะเม็ดของเงาะมีพิษ กินแล้วอาจคลื่นไส้อาเจียนได้


9. ส้มโอ

          ส้มโออร่อย ๆ ที่กินเป็นผลไม้ก็ได้ นำไปทำกับข้าวอย่าง ยำ สลัด ส้มตำก็อร่อย ให้วิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม กินแล้วช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน แก้หวัด แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง พูดไปก็ชักเปรี้ยวปากอยากทานส้มโอซะแล้ว



 10. พุทรา

          ปิดท้ายที่ผลไม้ไทย ๆ อย่าง พุทรา รสชาติฝาด ๆ เปรี้ยว ๆ นี่แหละให้วิตามินซีพอ ๆ กับส้มโอเลย สรรพคุณสุดเด็ดของพุทรานอกจากจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านสารอนุมูลอิสระแล้ว ในพุทรายังมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น แถมกินแล้วอิ่มเร็วด้วย และมีการวิจัยพบว่า พุทรามีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ป้องกันอาการผนังเส้นเลือดแข็งตัว และช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับด้วยนะ
          และ ก็ไม่ใช่แค่ผลไม้เท่าที่เห็นนะคะ ยังมีผักผลไม้อีกหลายชนิดที่มีวิตามินซีสูงอย่างคาดไม่ถึง อย่าง มะรุม มีวิตามินซีสูงถึง 272 มิลลิกรัม พริกหวาน พริกแดง บรอกโคลี ก็ให้วิตามินซีหลักร้อยมิลลิกรัมเช่นกัน

          รู้แล้วก็ทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีกันให้มาก ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ เพราะวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ลดริ้วรอย คุณประโยชน์ดี ๆ แบบนี้หาได้จากธรรมชาติ ไม่เห็นต้องพึ่งอาหารเสริมเลยเนอะ


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/510243832754640972/

Sunday, June 29, 2014

วิธีไล่มดไม่ให้มากวนใจ ได้ผลชะงัด !




        วิธีไล่มดและวิธีป้องกันมด ไม่ให้มากวนใจในบ้่าน บ้านไหนมีมดชุกชุม ต้องลองไปดูวิธีไล่มดอย่างง่าย ๆ ที่ไม่ต้องฆ่าให้บาปกันนะจ๊ะ

        มดตัวน้อยตัวนิด มดมีฤทธิ์น่าดู เรียกได้ว่ามดเป็นสัตว์ตัวจิ๋วที่อยู่ได้ทุก ๆ ที่ และทุกส่วนในบ้าน ยิ่งในห้องครัวหรือตรงไหนที่เผลอวางของหวานไว้ล่ะก็ กลับมาอีกทีก็อาจจะโดนเจ้ามดเหล่านี้ยึดของกินจนหมด มดธรรมดาตัวเล็กอาจเพียงแค่ฉกของกินไปครอบครอง แต่ถ้าหากโชคร้ายเจอมดสายพันธุ์อื่นที่ตัวใหญ่ขึ้นมา อาจจะทำให้ข้าวของเสียหายไปมากกว่านี้ เช่น มดพันธุ์ที่ทำลายไม้ อาจจะทำให้บ้านของคุณเสียหายได้ หรือแม้กระทั่งทำอันตรายกับคนในบ้านด้วย แต่ข้อดีของมดก็คือทำให้ระบบนิเวศน์ และสภาพแวดล้อมสมดุล นั่นหมายความว่าการป้องกันมด เป็นวิธีที่ดีกว่าการกำจัดมด วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำวิธีไล่มดแบบเด็ด ๆ มาฝากกัน งั้นลองมาดูกันสิว่าจะมีวิธีไหนที่ช่วยไล่มดได้บ้างนะ

ใส่ใจทำความสะอาดครัวอยู่เสมอ

        เวลาทำอาหาร หรือกินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เศษอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจจะร่วงหล่น หรือเป็นคราบเหนียว ๆ ติดอยู่ในครัว ฉะนั้นเมื่อหลังทำอาหารเสร็จ ควรใช้ฟองน้ำชุบน้ำหมาด ๆ หรือผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาเช็ดทันที มดจะได้ไม่แห่กันมาในครัว ส่วนหลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ไม่ควรทิ้งจานชามไว้ เพราะเมื่อมดได้กลิ่นอาหารแล้ว ก็จะแห่กันออกมาเต็มไปหมด ส่วนอาหารที่กินไม่หมด ให้ใช้ฟิล์มใสห่ออาหารห่อเอาไว้ ถ้าหากไม่มีอาหารให้มดกินใน 3-7 วัน มดก็จะพากันอพยพไปอยู่ที่อื่นแทนจ้า

ปิดทางเข้า-ออกของมดให้สนิท

        ลองสังเกตดูว่ามดเดินเข้าออกมาจากรูไหน จากนั้นก็ลองหายางซิลิโคน เทปกาว หรือพลาสเตอร์ก็ได้ มาปิดรูที่มดเดินเข้าออกให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้มดออกมาเดินเพ่นพ่านสร้างความรำคาญใจให้กับคนในบ้าน แต่ไม่ใช่ว่าทำครั้งเดียวจะจบ ต้องลองสังเกตดูอยู่เสมอ เพราะบางทีของที่ปิดรูไว้อาจจะเสื่อมสภาพและรูก็เปิดออกได้เหมือนเดิม อีกทั้งมดก็อาจเจาะรูออกมาได้อยู่ดี ดังนั้นต้องคอยตรวจสอบและเปลี่ยนใหม่ด้วยนะคะ

น้ำสบู่ช่วยกำจัดมด

        น้ำสบู่สามารถกำจัดมดและช่วยทำลายกลิ่นเคมีของมดตามทางเดินได้ เพียงนำน้ำยาล้างจานมาใส่ขวดสเปรย์ไว้ 1 ช้อนชา และเติมน้ำลงไปเขย่าให้เข้ากัน หรือจะผสมน้ำมันมินท์ น้ำมันผิวส้ม หรือผิวส้มลงไปในน้ำด้วยก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นก็นำไปฉีดบริเวณรังมด หรือทางเดินของมด เจ้ามดตัวน้อยก็จะเข็ดและหายไปพักใหญ่เลยล่ะ

กำจัดด้วยกลิ่นที่มดยี้

        ธรรมชาติของมดไม่ชอบกลิ่นมิ้นต์ และการบูรเอามาก ๆ ฉะนั้นลองหาผงการบูรมาโรยให้ทั่วบ้าน หรือน้ำมันกลิ่นมิ้นต์มาทาไว้ โดยเฉพาะในห้องครัวที่มักจะมีมดเข้ามาสร้างความรำคาญใจอยู่เสมอ การใช้วิธีนี้นอกจากจะทำให้มดไม่กล้าเข้ามาย่างกรายในบ้านแล้ว ยังช่วยทำให้บ้านมีกลิ่นหอมสดชื่นขึ้นแล้วอีกด้วยนะคะ

วางของกินไว้ล่อใจมด

        เคยสังเกตไหมว่า เวลามดเดินตรงเข้ามาที่อาหาร มันมักจะกินอาหารเหล่านั้นทีละนิด หรือบางทีก็จะช่วยกันยกอาหารกลับไปที่รังของมัน งั้นลองวางแป้งข้าวโพดบดหยาบไว้แถว ๆ ที่มดชอบมา เช่น ในห้องครัว  เพราะแป้งข้าวโพดบดหยาบไม่เป็นพิษภัยกับคน และสัตว์ในบ้าน แต่เมื่อมดกินเข้าไป ร่างกายของพวกมันไม่สามารถย่อยได้เลย หรือจะใช้ข้าวบดเด็กสำเร็จรูปแบบผง ที่ยังไม่ปรุงมาวางไว้ เมื่อมดกินเข้าไป จะทำให้ข้าวพองในท้อง แล้วตายในที่สุด วิธีนี้อาจจะโหดสักหน่อยแต่ก็อยู่หมัดจ้า


        จริง ๆ แล้วการป้องกันมดโดยไม่ฆ่าเป็นวิธีที่จะช่วยรักษาให้สภาพแวดล้อมสมดุล แต่ถ้าหากมีมดในบ้านเยอะเกินไป อาจจะทำให้ข้าวของในบ้านเสียหาย และคุณต้องมานั่งรำคาญใจในการหาทางป้องกันมดอีก ฉะนั้นลองเลือกดูนะคะว่าวิธีไหนเหมาะกับบ้านของคุณที่สุด

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, June 28, 2014

เตรียมตัวก่อนย้ายบ้านแต่เนิ่น ๆ ควรทำอะไรบ้าง ?



         เตรียมตัวก่อนย้ายบ้านเราควรทำอย่างไรเพื่อให้การย้ายบ้านราบรื่น ไม่ติดขัด มาเตรียมตัวก่อนย้ายบ้านไปพร้อม ๆ กันตามเทคนิคนี้เลยดีกว่าค่ะ

          การย้ายบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก แถมยังมีขั้นตอนที่มากไปกว่าทยอยเก็บของลงกระเป๋า เคลียร์ของเก่าเก็บ หรือแม้กระทั่งต้องลงแรงขนของจากบ้านเก่าเข้าบ้านใหม่เป็นไหน ๆ แต่พอมาถึงตรงนี้หลายคนก็ยังนึกไม่ออกว่าความยุ่งยากของการย้ายบ้านจะมีอะไรมากไปกว่าเรื่องเหล่านี้อีก ถ้าอย่างนั้นลองมาเช็คความพร้อมก่อนการย้ายบ้านกับเรากันก่อนดีไหมคะ
 
 1. แจ้งย้ายที่อยู่
          มีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยชินกับการอยู่บ้านหลังเก่ามานานเลยไม่ค่อยได้สนใจ เรื่องที่อยู่สักเท่าไร เวลาย้ายบ้านก็ไม่ได้นึกเฉลียวใจว่าต้องแจ้งที่อยู่ใหม่ให้หลาย ๆ ฝ่ายรับรู้ เป็นต้นว่า ที่ทำงาน ธนาคารเจ้าของบัญชีหรือบัตรเครดิต บริษัทประกันภัย โรงพยาบาลประจำบ้าน หรือแม้แต่เพื่อนฝูงที่ชอบส่งของขวัญมาให้ทุกปี เพื่อจะได้ไม่พลาดทุกการติดต่อข่าวสาร ดังนั้นในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก่อนการย้ายสัก 1 เดือนควรทยอยแจ้งย้ายที่อยู่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตเราได้ทราบด้วยนะจ๊ะ
 
 2. ติดตั้งสาธารณูปโภคให้ครบครัน
          เชื่อว่าบ้านหลังใหม่ของคุณคงมีน้ำประปาและไฟฟ้าใช้กันอยู่แล้ว แต่สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อย่างอินเทอร์เน็ตและสายโทรศัพท์บ้านล่ะมีหรือเปล่า ? และแม้ว่าบ้านหลังใหม่จะเป็นพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตและความเจริญเข้าถึง แต่ก็อย่าลืมนะคะว่า ยังไงคุณก็ต้องขอติดตั้งเลขหมายโทรศัพท์และติดอินเทอร์เน็ตใหม่อยู่ดี ฉะนั้นคงดีกว่าถ้าเราจะรีบดำเนินการเรื่องสาธารณูปโภคเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนเข้ามาอยู่จริง อ้อ ! อย่าลืมติดตั้งเคเบิลหรือดาวเทียมด้วยก็ได้
 
 3. เก็บเอกสารสำคัญไว้กับตัว
          เคยไหมคะที่ย้ายบ้านหรือแค่จัดห้องใหม่ทีไร เอกสารสำคัญต่าง ๆ ก็เหมือนจะหายไปทุกที ซึ่งในเมื่อเคยมีประสบการณ์เอกสารสำคัญหายมาแล้ว ครั้งนี้เราก็ควรป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกหน ง่าย ๆ ก็แค่หาแฟ้มมาเก็บเอกสารสำคัญแยกไว้ต่างหาก แล้วขนย้ายติดตัวไปดีกว่าจะโยนเข้ากล่องรวมไปกับข้าวของชิ้นอื่น ๆ
 
 4. สำรวจความพร้อมของบ้านหลังใหม่
          ก่อนหอบข้าวของจากบ้านหลังเก่าเข้าบ้านหลังใหม่ เราควรต้องแน่ใจก่อนว่าบ้านหลังใหม่มีความพร้อมเข้าอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ไม่ใช่ระบบน้ำไฟก็ยังติดขัด การตกแต่งภายในก็ยังไม่เรียบร้อยถึงขนาดกลิ่นสียังคละคลุ้งชวนเวียนหัว ดังนั้นเพื่อความแน่ใจควรหมั่นเข้าไปตรวจเช็คสภาพบ้านก่อนเข้าอยู่เป็นระยะ ๆ จะดีกว่า
 
 5. บอกกล่าวเพื่อนบ้านและยกเลิกบริการเดลิเวอรี่
          เวลาที่เราอาศัยอยู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่งนาน ๆ ก็ย่อมต้องมีเพื่อนบ้านเป็นเพื่อนไว้คอยพึ่งพาอาศัยกันบ้าง รวมทั้งไมตรีจิตจากร้านส่งแก๊ส สาวยาคูลท์ หรือคนส่งหนังสือพิมพ์ก็ตาม ซึ่งก่อนย้ายไปบ้านหลังใหม่ราว ๆ 1-2 เดือน ควรแจ้งข่าวการย้ายให้เขาเหล่านี้ทราบด้วยนะคะ หนึ่งก็เพื่อบอกลากันแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ใจหาย สองก็เพื่อบอกยกเลิกบริการเดลิเวอรี่เจ้าประจำไปด้วย
 
          คราว นี้เชื่อแล้วใช่ไหมคะว่า การย้ายบ้านมีเรื่องให้ทำมากกว่าทยอยเก็บของลงกระเป๋าจริง ๆ และหากตอนนี้คุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังจะย้ายบ้าน สำรวจตัวเองแล้วหรือยังคะว่า เตรียมการย้ายบ้านไปได้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว และเผลอมองข้ามการเตรียมตัวย้ายบ้านเหล่านี้ไปบ้างหรือเปล่า ?
 

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Thursday, June 26, 2014

ไม่อยากหน้าแก่ ... รีบแก้ซะ



          โถพอพูดถึงหน้าแก่ เชื่อได้เลยว่าสาว ๆ ดราม่ากันเป็นแถวแน่ ๆ ก็อย่างเรา ๆ ยิ่งเวลาผ่านไป ก็จะยิ่งอยากให้หน้าดูอ่อนเยาว์ สาวขึ้นสินะ ใครจะไปอยากหน้าแก่กันล่ะ แต่ชีวิตประจำวันที่เราปฏิบัติกันอยู่นั้น ส่งผลร้ายผลดีกับใบหน้าของเราบ้างไหม ลองมาดูกันหน่อยดีกว่านะคะ

          ก่อนอื่นเลย หากสาว ๆ กำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ หยุดซะ !

     
1. นอนดึก การพักผ่อนน้อยส่งผลเสียต่อผิวเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้ผิวอ่อนล้าและแก่เร็ว

     
2. เครียด ความเหนื่อยหนักในเรื่องราวต่าง ๆ ของชีวิต จะส่งผลกระทบกับร่างกายของเรา

     
3. กินสารพิษ อย่างเหล้า, บุหรี่, กาแฟ, ชา, และของหวานต่าง ๆ หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรรนะคะ

 
          ต่อมาก็เป็นวิธีปฏิบัติที่จะทำให้เรามีใบหน้าอ่อนเยาว์ ชะลอความแก่ของใบหน้าได้นะคะ

      
 1. ยิ้มจากใจ ความงามนี้มีอยู่ในตัวเราทุกคน เพียงแค่เราจะทำ รอยยิ้มถือเป็นเครื่องทำสวยชิ้นเอกที่ธรรมชาติมอบให้นะคะ ในบางคนไม่กล้ายิ้มเพราะกลัวรอยตีนกา หารู้ไม่ว่าการทำหน้าบึ้งนั้นใช้กล้ามเนื้อมากกว่าเยอะ และร่องรอยที่เกิดจากการยิ้มช่วยให้หน้าดูมีเสน่ห์

      2.ไม่เคี้ยวหนัก ไม่กินเหนียว ขอให้ถนอมหน้าด้วยการลดเคี้ยว ลดการกัดฟันและลดการใช้กรามลงบ้าง เพราะการเคี้ยวทำให้ใบหน้าเปลี่ยนรูปได้มาก เกิดริ้วรอยและเคี้ยวบ่อยทำให้กรามดูกว้างขึ้น

     
3. พักยูวี หนีแสงแดดที่ร้อนแรงบ้างบางขณะ เพราะยูวีมีผลกับ "ผิว" และ "ดวงตา" สวย ๆ มาก การสัมผัสแสงยูวีนานๆ จะทำให้คอลลาเจนที่ผิวเสื่อมเร็ว รอยยับตามผิวจะเกิดขึ้นได้ง่ายค่ะ

     
4. เว้นกรีดตา การปัดตาหรือใช้อายไลน์เนอร์บ่อย ๆ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นมาได้ โดยเฉพาะตรงหางตาที่อาจพาริ้วรอยเล็ก ๆ มาจนที่สุดกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้

     
5. นอนไม่ทับหน้า การนอนเอียงหน้านั้นนานเข้ามันมีผลให้เกิดรอยยับเป็นร่องลึก เพราะฉะนั้นการหยุดนอนทับหน้าตั้งแต่วันนี้จะช่วยได้นะคะ

     
6. อย่าดูดบ่อย โดยเฉพาะ 2 ดูด คือ "บุหรี่" และ "หลอดดูด" เพราะการใช้หลอดดูดน้ำอย่างดูดดื่มจนปากจู๋จะมาคู่กับรอยยับเล็ก ๆ รอบริมฝีปาก เป็นรอยโดยที่เราไม่รู้ตัว

     
7. ปล่อยหัวเราะ เปล่งเสียงแห่งความสุขออกมา อ้าปากหัวเราะจากใจบ้าง นอกจากสร้างความ "ไม่แก่" แล้ว ยังช่วยให้คนรอบข้างได้ผ่อนคลายด้วย การหัวเราะช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขและความสดใสบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

      8. สร้างคอลลาเจน มีวิธีง่าย ๆ ช่วยได้คือ โยคะหน้า, ออกกำลังกาย และรับประทานปลา พวกโปรตีนย่อยง่าย

     
9. ออกกำลังกาย เป็นการสร้างคอลลาเจนให้เกิดแบบง่าย ๆ แถมช่วยให้ผิวเด้งดูเฟิร์มสวยด้วย เพราะการออกกำลังช่วยละลายไขมัน สร้างความกระชับและยืดหยุ่นให้ผิว

     
10. เพิ่มพลังน้ำ ผิวจะไม่แก่ต้องมี "น้ำ" อยู่เพียงพอ ความชุ่มชื้นสำคัญมากต่อผิว การที่ผิวแก่เร็วมีสัญญาณหนึ่งคือ "อุ้มน้ำได้น้อย" ดังนั้นการเติมน้ำให้ผิวและพิทักษ์น้ำไม่ให้รั่วจากผิวไปจึงเป็นเคล็ดลับสำคัญ


แหล่งที่มา  WomanPlus, http://health.kapook.com/view87826.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/copper-wedding-decor/

Wednesday, June 25, 2014

5 วิธีช่วยให้ดื่มน้ำเปล่าได้มากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี




       แม้ว่าคุณจะรู้อยู่แล้วว่า การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นมากต่อร่างกาย แต่การดื่มน้ำเปล่าที่ไร้รสชาติและไร้กลิ่นน่าอร่อยชวนดื่ม ก็ทำให้หลายคนหันไปดื่มน้ำหวานที่มีน้ำตาลมากมายทำลายสุขภาพแทน แต่รู้ไหมคะว่า ความจริงแล้วก็มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำเปล่าได้มากขึ้น วันนี้เราจึงขอนำ 5 วิธีที่จะช่วยให้ดื่มน้ำเปล่าได้มากขึ้น มาแบ่งปันทุกคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าลองนำไปใช้ดู รับรองว่าสุขภาพคุณจะดีขึ้นทันตาเห็นเลย
 

    
1. ใส่ผลไม้ในน้ำ

          รู้อยู่แล้วล่ะว่า การดื่มน้ำเปล่าธรรมดา ๆ นั้นเป็นเรื่องที่แสนจะน่าเบื่อ เพราะอย่างไรคุณก็คงอยากดื่มน้ำที่มีรสและกลิ่นหอมอร่อยบ้าง ฉะนั้นลองใช้ผลไม้เป็นมาตัวช่วยขจัดความน่าเบื่อของน้ำเปล่าด้วยการฝานมะนาว แตงกวา หรือส้มให้เป็นแว่น ๆ แล้วนำมาใส่ลงไปในแก้วน้ำเปล่าของคุณ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณดื่มน้ำเปล่าได้มากขึ้นแล้ว

 
    
2. จิบน้ำทีละเล็กทีละน้อย

          การดื่มน้ำหลายแก้วต่อวันเป็นสิ่งที่ดีแน่นอนอยู่แล้ว แต่การดื่มน้ำเยอะ ๆ เข้าไปทีเดียวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกและไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ทางที่ดีคุณควรจิบน้ำทีละเล็กทีละน้อย แต่จิบตลอดทั้งวันจะดีกว่านะคะ และไม่ต้องรอจนกว่าจะรู้สึกกระหายน้ำ ให้เริ่มจิบตั้งแต่ตื่นนอน แล้วก็จิบน้ำตลอดทั้งวันไม่ต้องรีบร้อน หากทำด้วยวิธีการนี้ เชื่อสิว่าร่างกายของคุณก็ต้องได้รับน้ำมากพอตามที่ร่างกายต้องการแน่นอน

 
    3. เตรียมน้ำไว้ให้พร้อม

          แม้ว่าจะยุ่งจนไม่มีเวลาจัดการเรื่องในบ้านมากแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรลืมเลยคือ การเตรียมน้ำไว้ให้พร้อม อาจจะกรอกน้ำใส่ขวด แล้วจับใส่ตู้เย็นไว้หลาย ๆ ขวด เผื่อว่าวันไหนยุ่งมาก ก็แค่หยิบน้ำในตู้เย็นมาแล้วออกไปนอกบ้านได้เลย แต่ถ้าหากวันหยุดพักผ่อนอยู่บ้าน คุณอาจจะขี้เกียจเดินไปห้องครัวเพื่อหยิบน้ำมาดื่ม คุณก็อาจจะนำขวดน้ำที่เตรียมไว้ มาวางกระจายไปทุก ๆ ห้อง คราวนี้ล่ะคุณก็สามารถจิบน้ำได้ตลอดทั้งวันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

 

    
4. ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร

          รู้ไหมคะว่า การดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร 30 นาที จะส่งผลดีมากต่อสุขภาพของคุณอย่างที่คาดไม่ถึงเลยล่ะ ทั้งจะช่วยลดแคลอรี่ที่คุณได้รับจากอาหารและช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง แต่ถึงจะดีอย่างไร คุณก็ไม่ควรดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารเกิน 1 แก้ว เพราะจะทำให้มีน้ำในร่างกายมากเกินไป ซึ่งตรงจุดนี้จะส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพมากกว่า

    
5. กินอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำ


          หากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบดื่มน้ำมากนัก คุณอาจจะให้พวกผักและผลไม้อย่าง แตงโม แตงกวา สตรอว์เบอร์รี และมะเขือเทศ มาทำหน้าที่เติมน้ำให้ร่างกายด้วย เพราะผักและผลไม้เหล่านี้มีน้ำเยอะมาก ซึ่งคุณอาจจะกินสด นำไปใส่ในสลัด หรือจะนำไปทำน้ำปั่นดื่มให้เย็นชื่นใจก็ได้ หวานอร่อยแถมยังได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายมากมายเลยล่ะ

          ไม่ว่าคุณจะยุ่งกับงานมากแค่ไหน แต่คุณก็ควรจะจิบน้ำในเวลาทำงานบ่อย ๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่านะคะ ลองลืมการดื่มกาแฟหรือน้ำหวานต่าง ๆ ในช่วงที่อยู่ออฟฟิศไปก่อน แล้วลองหันมาดื่มน้ำเปล่าแทน คราวนี้ล่ะ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จะไม่ถามหาเลยค่ะ


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/372532200398308762/