Wednesday, December 31, 2014

10 อันดับ ของขวัญ"จับฉลาก"ที่คนไทยไม่อยากได้มากที่สุด!!


มันมาอีกแล้วสำหรับช่วงเวลาที่หลายๆ คนรอคอย (รึเปล่า) กับเทศกาลของการแลกของขวัญ การจับฉลากที่สุดแสนจะลุ้นระทึกว่าปีนี้เราจะได้อะไรกลับบ้านกันน๊า..แต่ เชื่อเถอะค่ะ ว่าจะต้องมีคนที่ได้ของที่ตัวเองไม่อยากได้กลับไปครอง โดยวันนี้ทางทีมงาน Toptenthailand จึงได้นำเอา 10 ของจับฉลากที่คนไม่อยากได้มากที่สุดมาฝากกัน หวังว่าคงไม่มีอะไรที่คุณคิดจะซื้อนะคะ!!

อันดับ 1 คุกกี้กล่องแดง!!

อันดับ 1 ของเราคงหนีไม่พ้นขนมสุดฮิตที่คนมักจะนำมาจับฉลากกันก็คือคุกกี้นั่นเอง โดยเฉพาะตราสีแดงๆ ที่มีทหารยืนอยู่เต็มไปหมด รับรองว่าแค่เห็นรูปลักษณ์ของของที่ได้คุณก็เดาออกแล้วว่ามันเป็นอะไร เพราะทุกปีจะต้องมีคนเอาเจ้าคุกกี้นี้มาจับ แล้วก็กลายเป็นว่ากินกันจนเบื่อเลยทั้งที่บ้านและที่ทำงาน..ปีนี้ถ้าใครจะซื้อก็ช่วยห่อแบบให้ความหวังกันด้วยละกัน อย่ามาแบบเดาออกนะจ๊ะไม่งั้นโดนกล่องคุกกี้ฝาดหัวแน่!!
  
อันดับ 2 เครื่องชามเซรามิก/กระเบื้องตั้งโชว์

สำหรับอันดับที่ 2 ของเราคงหนีไม่พ้นพวกของเซรามิกทั้งหลายที่เอาไว้ตั้งโชว์ อาจจะรวมพวกถ้วยชามสังคโลกไปด้วย ที่ต้องเบื่อหน่ายให้กับของพวกนี้ก็เพราะว่ามันเอาไปใช้งานอะไรไม่ได้นอกจาก เอาไว้ตั้งโชว์เฉยๆ แล้วลองคิดดูสิว่าในชีวิตการทำงานของคุณถ้าต้องจับฉลาก 10 ครั้งแล้วได้ถ้วยชามพวกนี้ไป คงได้เอาไปประดับบ้านกันจนเบื่อพอดี!! ดีไม่ดีพอเอากลับบ้านก็แทบไม่ได้แกะออกมาจากห่อเลย


อันดับ 3 ตุ๊กตากุ๊กกิ๊ก

ถ้าเป็นงานจับฉลากของโรงเรียนอนุบาลล่ะก็คงมีมีใครว่าอะไร แต่ถ้านี่เป็นการจับฉลากของที่ทำงานล่ะก็..มันโอเคนะจ๊ะ ก็ดูอายุอานามไม่ใช่น้อยๆ กันแล้ว และลองคิดดูว่าถ้าคนที่จับได้เป็นคุณป้าแก่ประจำแผนกแล้วล่ะก็ แกจะกลายเป็นคนที่น่าสงสารขนาดไหนที่ต้องหอบตุ๊กตากลับบ้าน หรือแม้กระทั่งผู้ชายทั้งแท่ง ถ้าจับได้จะเอาตุ๊กตาไปทำอะไรดีล่ะ
  
อันดับ 4 กระปุกออมสิน

ถ้าเป็นตอนที่เราๆ ยังเด็กกันเนี่ยการจับได้กระปุกออมสินลายน่ารักๆ เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ล่ะก็ คงแทบจะอยากปาทิ้ง!! ก็แหม เดี๋ยวนี้ใครๆ เค้าก็ออมเงินด้วยการฝากธนาคารกันหมดแล้ว ส่วนเหรียญทั้งหลายเนี่ยก็คงหยอดใส่ขวดน้ำยังได้เลย..จริงมั้ยคะ
  
อันดับ 5 กรอบรูป

ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 5-10 ปีก่อนเนี่ย คงเป็นของขวัญที่ใครๆ ก็อยากจะได้ แต่ตอนนี้น่ะหรอคะ ไม่มีใครเค้าถ่ายรูปแล้วไปล้างออกมากันเป็นแผ่นๆแล้วล่ะค่ะ เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีมันก้าวไกลมากแล้ว รูปทั้งหมดส่วนใหญ่ถ้าไม่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ ก็จะอยู่ในคอมพิวเตอร์ซะหมด ฉะนั้นตอนนี้กรอบรูปมันไม่มีความหมายแล้วล่ะค่ะ
  
อันดับ 6 นาฬิกา

อีกหนึ่งไอเทมสุดฮิตที่ชอบเอามาจับฉลากกันซะเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะเป็นการบอกเป็นนัยๆ รึเปล่า ว่ามาทำงานตรงเวลาด้วยนะ!! แต่จริงๆ ทุกวันนี้เค้าก็ใช้โทรศัพท์ทำแทนนาฬิกากันไปแล้วล่ะคุณ..บางคนเนี่ย จับได้บ่อยจนต้องเก็บไว้เพื่อเอาไปจับฉลากต่อเลยก็มี เอ๊ะ!! หรือทุกวันนี้ที่ยังมีนาฬิกามาจับฉลากกันอยู่ก็อาจจะเป็นของค้างจากปีก่อนๆ ก็ได้นะ
  
อันดับ 7 โคมไฟ

ข้อนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้ามันเป็นโคมไฟคุณภาพดี ใครๆ ก็ต้องอยากได้กันทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่ที่เอามาจับกันเนี่ย บ้างก็เปิดไม่ติด บ้างก็แตก มีตำหนิเต็มไปหมด ดีไม่ดีเป็นโคมไฟเด็กน้อยซะงั้น แล้วแบบนี้ใครจะกล้าเอาไปใช้งานกันล่ะเนี่ย..ดังนั้นก็ช่วยตรวจสภาพก่อนห่อใส่กล่องกันด้วยนะจ๊ะ
  
อันดับ 8 ผ้าเช็ดตัว

เคยสงสัยมั้ยคะว่าทำไมคุณถึงไม่เคยจะได้ซื้อผ้าเช็ดตัวสีที่ตัวเองชอบ หรือลายที่ตัวเองชอบเลย ก็เพราะมันมักจะมาเป็นห่อของขวัญอย่างเยอะที่แทบจะได้กันทุกปี จนทำให้คุณไม่ต้องเสียเงินซื้อเลยล่ะ ใครที่จับได้กล่องเบาๆหน่อยนะ ใจจะเสียทันทีเพราะ 100 ทั้ง 100 มักจะเป็นผ้าขนหนู และถ้ามันคุณภาพดีจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ใช้ไปแล้วขนหลุดตรึม!!
  
อันดับ 9 แก้ว จาน ชามสารพัด

ไม่ใช่ว่าของพวกนี้มันไม่มีประโยชน์นะคะ แต่บางทีคนก็เอามาจับฉลากกันเยอะจนน่าเบื่อ บางคนที่จับได้เนี่ยก็แทบจะไม่ต้องซื้อจาน ชาม หรือแก้วกาแฟเข้าบ้านเลยทีเดียว!! เพราะทุกปีก็มีความเสี่ยงว่าจะจับได้ของพวกนี้..ระวังให้ดีเถอะถ้าจับได้ของหนักๆที่ห่อมาหลายๆ ชั้นเนี่ย หนีไม่พ้นพวกนี้แน่นอน
  
อันดับ 10 อาหารบำรุงกำลังทั้งหลาย

เชื่อว่าทุกที่ในการจับฉลากจะต้องมีไอ้กล่องอาหารเสริมทั้งหลายนี่อย่างน้อย 1 กล่อง!! และสังเกตง่ายๆเลยจากรูปทรงสี่เหลี่ยม น้ำหนักที่หนักอึ้ง คนจับได้คงจะดีใจในตอนแรกที่เห็นว่ามันน่าจะเป็นของมีค่าแน่ๆ แต่พอเปิดมาก็ต้องถอนหายใจกันไปตามๆกัน เพราะบางคนเค้าก็ไม่กินของนี้นะคุณ!! ทั้งซุปไก่สกัด รังนกทั้งหลาย ดีไม่ดีเค้าจะคิดว่าคุณเอาของที่คนอื่นซื้อมาให้มาจับฉลากแน่ๆ

  
ขอบคุณที่มา : ToptenThailand, http://board.postjung.com/839303.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/277041814550578947/ 

Monday, December 29, 2014

10 วิธีง่าย ๆ ฝึกตัวเองให้เป็นคนคิดบวก


        ลองมาดูกันหน่อยดีไหมว่าจะเริ่มเป็นคนคิดบวกได้อย่างไร จากคำแนะนำของผลการวิจัยเรื่องการเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวก ที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Psychology เมื่อปี 2006 ที่เผยว่า คนบนโลกนี้มีอยู่สองประเภทใหญ่ ๆ คือ พวกที่คิดมาก กับพวกที่ไม่ค่อยคิดอะไร ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนักวิจัยได้ลองวิเคราะห์นิสัยของคนทั้งสองกลุ่มแล้วกลับค้นพบว่าพวก เขามีวิธีจัดการอารมณ์ด้านลบที่คล้าย ๆ กัน นั่นคือ หาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น ดังนั้นเรามาลองเรียนรู้วิธีเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกจากกลุ่มอาสาสมัครเหล่า นี้กันดู ว่ามีวิธีไหนที่เราสามารถทำตามได้บ้าง  

ไม่ทำตัวโลกสวยเกินไป
               
          การคิดบวกและการมองโลกในแง่ดีในที่นี้ไม่หมายความว่าให้เราทำตัวโลกสวย มองอะไรโรยด้วยกลีบกุหลาบไปทุกอย่าง แต่เป็นการปรับมุมมองของเรา อะไรที่คิดติดลบมากเกินไปก็ปรับให้เป็นกลางขึ้นหน่อย  และอะไรที่คิดบวกมากเกินไปก็ปรับให้พอดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีคนเข้ามาจีบ เราก็อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีว่าเขาเป็นคนดี จริงใจกับเรา ให้เผื่อใจเอาไว้บ้าง เป็นต้น

ไม่ตัดสินอะไรง่าย ๆ เพียงแค่ตาเห็น
               
          การเริ่มต้นคิดบวกควรมาจากความคิดที่เป็นกลาง ดังนั้นเวลาที่เห็นอะไรไม่ถูกใจ ก็อย่าเพิ่งเหมารวมไม่ว่ามันไม่ดี ให้เข้าใจไปตามสิ่งที่เห็นอย่าใส่ความรู้สึกส่วนตัว อย่าลืมว่าการคิดบวกไม่มีถูกผิดนะจ๊ะ

ผูกมิตรกับเพื่อนที่นิสัยร่าเริง คิดบวกเข้าไว้ 

          ความรู้สึกที่ดี จะนำมาซึ่งความคิดดี ๆ ดังนั้นควรมองหามิตรแท้ที่นิสัยร่าเริงแจ่มใสไว้สักคน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดด้านดี หากอยู่กับคนซีเรียส จริงจังกับชีวิตมากไป เราก็คิดบวกไม่ได้สักที จากผลการวิจัยส่วนใหญ่เผยว่า ความเครียดเป็นอารมณ์ติดต่อจากอีกคนหนึ่งได้ โดยที่ตัวเรามักไม่รู้ตัวเลยว่าทัศนคติของตัวเองจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละนิด จนกระทั่งพฤติกรรมแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่านิสัยเปลี่ยนไป ดังนั้นหากอยากเริ่มเป็นคนคิดบวก ก็ให้เดินเข้าไปผูกมิตรกับคนที่มองโลกในแง่ดี เพราะคนเหล่านั้นจะมีมุมมองความคิดที่เปิดกว้างกว่าพวกซีเรียส จริงจังกับชีวิต  

หมั่นคุยกับตัวเอง

          คนที่คิดบวกมักจะคุยกับตัวเองอยู่เสมอ ในที่นี้หมายถึงการพิจารณาตัวเองว่ามีด้านลบกับเรื่องอะไร แล้วในแต่ละวันรู้สึกแย่อะไรบ้าง เมื่อเขาเรียงลำดับความคิดด้านลบได้ ก็จะทำการเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ บอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องมองโลกในแง่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และฝึกพูดประโยคเชิงบวก เช่น ฉันสามารถเรียนรู้ได้ ฉันจะต้องลองทำดูก่อน หรือ ฉันคิดว่าปัญหานี้ต้องมีทางออก เป็นต้น

เขียนถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

          เป็นวิธีที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากขึ้น เพียงแค่สละเวลา 5 นาทีก่อนนอน ทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด แล้วเขียนบันทึกลงไปสั้น ๆ เช่น วันนี้จับฉลากปีใหม่ได้ของที่อยากได้อยู่พอดี เป็นต้น จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Research in Personality เผยว่า การเขียนบันทึกส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา โดยเฉพาะการบันทึกประสบการณ์ที่ดี ๆ เพราะเมื่อไรที่เราเขียนบันทึกเรื่องราวลงบนหน้ากระดาษได้ ก็แสดงว่าสมองของเรามีการจดจำแต่สิ่งที่ดี ๆ แล้วยิ่งถ้าจดบันทึกเป็นประจำทุกวัน สมองของเราก็จะเก็บเกี่ยวเรื่องราวดี ๆ เอาไว้เพื่อมาเขียนบันทึกโดยอัตโนมัติเลยล่ะ

หัวเราะ
           
          หลายคนไม่เคยสังเกตตัวเองว่าวันหนึ่ง ๆ หัวเราะมากน้อยเท่าไร ทั้งที่ความจริงแล้วการหัวเราะเป็นสิ่งที่สะท้อนอารมณ์ได้ดีว่ากำลังมีความสุขอยู่หรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการปรับอารมณ์ด้านลบให้ดีขึ้นด้วย  ดังนั้น ถ้าหากงานเครียดมากทั้งวัน ลองสละเวลาสัก 20 นาทีให้กับสิ่งบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หนังตลก หนังสือการ์ตูน พูดคุยกับเพื่อนสนิท วาดภาพ ร้องเพลง เป็นต้น หากทำให้ได้ทุกวันแบบนี้รับรองว่าความเครียดไม่สะสมอยู่ในจิตใจแน่นอน
 
นั่งสมาธิ
           
          ผลการวิจัยล่าสุดเผยว่า คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันมีแนวโน้มเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากกว่าคนที่ไม่เคยนั่งเลย ส่วนหนึ่งมาจากประโยชน์ของการนั่งสมาธินั่นเอง เพราะการนั่งสมาธิเป็นการฝึกจิตใจให้ปล่อยวางความคิด ฝึกสมองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน เราก็จะรู้ทันอารมณ์ของตัวเองว่ากำลังสุขหรือทุกข์ และถ้านั่งสมาธิเป็นประจำทุกวันร่างกายและจิตใจของเราก็จะไม่เก็บอารมณ์แย่ ๆ หรือเรื่องราวไม่ดีมาจำฝังใจ ผลคือเรามีความสุข จิตใจแจ่มใส นั่นเอง ดังนั้นลองทำดูนะคะ สละเวลาวันละ 5-10 นาทีก็ยังดี ใครที่ไม่ถนัดการนั่งสมาธิก็ใช้วิธีทำโยคะก็ได้

เปลี่ยนนิสัยเป็นคนยืดหยุ่น ออมชอมกับผู้อื่นให้มากขึ้น 

          การจะเปลี่ยนตัวเองให้คิดบวกได้ ส่วนหนึ่งต้องเริ่มมาจากตัวเองเสียก่อน คือ เปลี่ยนความคิดที่ทุกอย่างต้องเป๊ะ มาเป็นคิดยืดหยุ่นบ้าง เพราะความคาดหวังคือสิ่งอาจทำให้เราเสียใจ มองโลกในแง่ร้ายขึ้นมาได้ ดังนั้นลองฝึกให้ตัวเองมีความคิดที่ยืดหยุ่นบ้าง จะได้ไม่รู้สึกเครียดว่าอะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ

อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด

          ความกลัวก็เป็นอุปสรรคที่ทำให้เรามองโลกในแง่ดีไม่ได้ เพราะสมองยังยึดติดอยู่กับความรู้สึกที่ว่า กลัวว่าจะ…” ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่เกิดตามที่เราคิดก็ได้ ดังนั้นเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้ปล่อยวางกับเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
 
ฝึกตัวเองให้ยิ้มง่ายขึ้น

          การยิ้มเป็นสิ่งพื้นฐานที่ช่วยให้ตัวเราเองรู้สึกมีความสุข ดังนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องที่ทำให้ยิ้มไม่ออกก็ตาม ยังไงก็ขอให้ยิ้มแย้มเอาไว้ก่อน แทนที่จะระบายด้วยการปล่อยคำพูดแย่ ๆ ออกมา

          เห็นไหมละคะว่าพลังของการคิดบวกน่ะสุดยอดแค่ไหนสามารถทำให้สุขภาพกายและใจ ของเราแข็งแรงอยู่เสมอ  แต่ถึงแม้ว่าวันคิดบวกโลกจะผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อ 13 กันยายนที่ผ่านมานี้ เราก็ยังสามารถทำทุก ๆ วันให้เป็นวันคิดบวกได้ แค่ลองเปิดใจให้กว้างใส่ใจกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็เราก็มีความสุขในทุก ๆ วันแล้ว 



Sunday, December 28, 2014

ตัวช่วยของคนอยากผอม




         โปรตีนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ใครรู้บ้างว่าโปรตีนช่วยให้ผอมได้ด้วย...อยากรู้กันแล้วซิท่าว่าโปรตีนช่วยให้ผอมได้อย่างไร งั้นก็ไม่รอช้าไปติดตามกันเลย

          คนที่กินโปรตีนสูง จะมีแนวโน้มที่จะลดน้ำหนักได้มากกว่ากลุ่มที่กินโปรตีนน้อย หรือไม่กินเลย เพราะโปรตีนมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึ่มให้กับร่างกาย ซึ่งจะช่วยในการเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น

          นอกจากนี้ โปรตีนยังช่วยทําให้ระดับไนโตรเจนในร่างกายเกิดความสมดุล มีผลให้มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ช่วยให้อัตราการดูดซึมกลูโคสในกระแสเลือดช้าลง ทำให้ไม่ค่อยหิว และช่วยลดระดับอินซูลิน ทําให้การเผาผลาญไขมันเป็นไปได้ง่ายขึ้นอีกด้วย โดยปกติร่างกายจะสามารถสร้างกรดอะมิโนขึ้นมาเองได้ 80% ที่เหลืออีก 20% จะต้องรับจากการกินเข้าไป กรดอะมิโนเหล่านี้หาได้จากอาหารที่มีโปรตีนสูง อย่างเช่น

         
เคซีน โปรตีนจากนม ซึ่งช่วยทําให้กล้ามเนื้อกระชับ เพิ่มการสังเคราะห์และยับยั้งการย่อยสลายโปรตีน หากกินอาหารที่มีเคซีนเข้าไป มันจะไปเกาะกันเป็นก้อนอยู่ในรูปของวุ้นที่กระเพาะ ทําให้อาหารเคลื่อนตัวช้าลง เป็นเหตุให้กรดอะมิโนถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เพิ่มระดับ HDL และช่วยคลายอาการปวดของกล้ามเนื้อ และข้อต่อ

 
         
ถั่วเหลือง มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 34 ซึ่งมีความสําคัญต่อสุขภาพมาก ๆ เพราะในเมล็ดถั่วเหลืองโดยเฉพาะผิวหุ้มของมันจะมีสารเลซิธิน (Lecithin) ซึ่งเป็นสารบํารุงสมอง ช่วยในด้านการเพิ่มความจํา ลดไขมันและคอเรสเตอรอลในร่างกายได้

 
         
ไข่ เป็นแหล่งโปรตีน ที่ดีและราคาถูก การกินไข่เป็นการช่วยป้องกันโรคหัวใจ และมีบทบาทในเรื่องของการลดน้ำหนัก เพราะไข่ 1 ฟอง นอกจากจะให้แคลอรี่ต่ำแล้ว ยังทําให้รู้สึกอิ่มได้นานกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ให้แคลอรี่เท่ากัน จึงทำให้กินได้น้อยลง และไม่อ้วนได้ง่าย ๆ

 
          ใครอยากผอม ก็หันมาบริโภคโปรตีนที่มีประโยชน์กันนะคะ จะได้ผอมสมใจซะที

แหล่งที่มา  woman's story, http://health.kapook.com/view12042.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, December 27, 2014

9 สัญญาณเตือน ที่บ่งบอกว่าคุณกินเยอะเกินไปแล้วนะ !




          สัญญาณเตือนอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าเรากำลังกินเยอะเกินไปแล้ว! สำหรับสาว ๆ ที่ไม่อยากอ้วน รีบมาศึกษาอาการและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันแบบด่วน ๆ เลยจ้า

          สาว ๆ กับเรื่องอาหารการกิน ถือเป็นเรื่องที่ขาดกันไม่ได้ เพราะการกินอาหารอร่อย ๆ นอกจากจะทำให้คลายเครียดได้แล้ว ยังถือเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างหนึ่ง แต่ทว่ามันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้ถ้าหากกินเยอะจนเกินพอดี หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "กินจุ" ซึ่งสาว ๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำไปว่าเป็นคนกินเยอะแค่ไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกินแก้ ต้องหาขนาดไซส์เสื้อผ้าที่ใหญ่ขึ้นกว่ามาใส่ซะแล้ว ซึ่งปัญหานี้ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้เลยนะคะสาว ๆ เพราะนานไปคุณอาจจะเป็นคนอ้วนตุ๊ต๊ะได้โดยไม่รู้ตัว ว่าแต่... อาการของโรคกินเยอะนั้นเป็นอย่างไรนะ? สำหรับใครที่อยากรู้ ลองมาศึกษากันเลยค่ะ เผื่อใครที่มีอาการแบบนี้จะได้รู้ตัวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ


1)  เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด อาหารที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยั่วยวนใจซะเหลือเกิน โน่นก็อยากกิน นี่ก็อยากกิน สุดท้ายก็ต้องตักอาหารทั้งหมดมาวางกองไว้อยู่ตรงหน้าทุกทีไป

2)  รู้สึกว่ากินอาหารอร่อยทุกคำ กินอาหารในทุก ๆ คำแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยสุด ๆ จนทำให้หยุดกินไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็อิ่มจนพุงกางซะแล้ว

3)  รู้สึกอิ่มแล้วแต่ก็ยังกินต่อ ในความเป็นจริงเราควรจะหยุดกินตั้งแต่ที่เรารู้สึกอิ่มแล้ว แต่หลายคนทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่าอิ่มแล้วแต่ก็ยังพยายามจะกินหรือยัดอาหารเข้าไปต่อ ราวกับว่ามีสองกระเพาะซะอย่างนั้น

4)  กินจนเหนื่อย หลังจากที่กินมาราธอนจนรู้สึกว่าเหนื่อยหรือหายใจไม่ออก นั่นแสดงว่าร่างกายกำลังสั่งให้หยุดกินได้แล้ว หากยังฝืนกินต่อไป มีหวังลุกเดินไปไหนไม่ได้แน่ ๆ

5)  เหงื่อออกตอนกินข้าว เพราะเวลาร่างกายย่อยอาหารมันจะใช้พลังงานมากจนทำให้เรารู้สึกร้อนขึ้น ถ้าสาว ๆ เหงื่อออกทั้ง ๆ ที่ยังกินไม่เสร็จ นั่นก็แสดงว่าคุณกินเยอะเกินไปแล้ว

6)  กางเกงคับขึ้น ถือเป็นตัวชี้วัดได้อย่างดีเลยว่าในแต่ละวันคุณกินเยอะเกินไปหรือไม่ หากตอนเช้ากางเกงยังใส่ได้พอดี แต่อยู่ ๆ สังเกตเห็นว่ามันกำลังจะปริออกมา นั่นก็แสดงว่าคุณกินเยอะจนเกินขีดจำกัดแล้วละ

7)  จานเดียวไม่เคยพอ เติมแล้วก็เติมอีก ประหนึ่งว่า กินเท่าไรก็ไม่รู้สึกอิ่มเสียที!

8)  รู้สึกเหมือนจะตายหลังกินเสร็จ เมื่อไรที่คุณรู้สึกว่าอึดอัดไปหมด ไม่มีแรงลุก ลุกไม่ไหว อยากจะนอนมันซะตรงนั้นเลย คงไม่ต้องบอกนะจ๊ะว่ากินเยอะเกินไปแล้ว

9)  กินเสร็จเป็นคนสุดท้าย ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนกินช้า นั่นก็แสดงว่าคุณเป็นคนกินเยอะแล้วละ


          สำหรับสาว ๆ ที่มีพฤติกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ถือว่าคุณกำลังเข้าขั้นกินเยอะเกินพอดีแล้วล่ะค่ะ และให้รู้ตัวไว้เลยว่าคุณกำลังเสี่ยงที่จะอ้วนซะแล้ว ดังนั้นจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าปล่อยให้เป็นปัญหาลุกลามจนแก้ไม่ได้แล้วมานั่งเสียใจภายหลัง อย่าหาว่าไม่เตือนนะคะสาว ๆ

  
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/393361348674017972/

Friday, December 26, 2014

10 ผลิตภัณฑ์ใกล้ตัว ที่น่ากลัวกว่าที่คิด




         ใครจะเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน มีอันตรายมากกว่าที่เราคิด เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันออกมาว่า สิ่งของที่เราใช้ ๆ กันอยู่บางชิ้น สามารถทำอันตรายกับสุขภาพเราได้ ถ้าอย่างนั้นลองมาดู 10 ผลิตภัณฑ์ใกล้ตัวดังต่อไปนี้ ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่ามีสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่วนจะมีอะไรกันบ้าง ลองเก็บข้อมูลจาก เว็บไซต์ housebeautiful ไปดูเป็นแนวทางป้องกันตัวเองกันเลยจ้า

1. กระทะ non-stick

          กระทะที่เคลือบผิวลื่น อย่างกระทะ non-stick แม้จะเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ที่ช่วยให้เราไม่ต้องหัวเสียกับอาหารไหม้ติดกระทะจนแงะไม่ออก แต่สาร PTFE ที่เคลือบอยู่บนผิวกระทะ ก็จะปล่อยก๊าซออกมาทุกครั้งที่โดนความร้อนสูง ๆ เป็นสาเหตุของการก่อมะเร็งและโรคร้ายอื่น ๆ ได้ ฟังดูน่าสยองนิด ๆ เนอะ ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรระวังไว้จะดีกว่า

 
2. ยากำจัดเห็บหมัด

          ยากำจัดเห็บหมัดอาจแก้ปัญหากวนใจให้กับสัตว์เลี้ยงแสนรัก แต่สารเคมีที่ใช้ฆ่าแมลงที่มีอยู่ในส่วนผสม เช่น สารไอเวอร์เมกติน สารอะมิทราช อาจทำให้สุนัขหรือแมวตัวโปรดของคุณป่วย จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นปรึกษาสัตวแพทย์ใกล้บ้านก่อนซื้อมาใช้จะดีที่สุด

 
  3. ลูกเหม็น

          บางบ้านอาจใช้ลูกเหม็นกำจัดกลิ่นห้องน้ำ แต่รู้หรือไม่ว่าสารแนพทาลีนที่เป็นส่วนประกอบหลักในลูกเหม็น เป็นสาเหตุสำคัญของโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งยังทำลายเม็ดเลือดแดงในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นหาที่มาของกลิ่นในห้องน้ำแล้วแก้ให้ตรงจุดกันดีกว่า จะได้ไม่ต้องใช้ลูกเหม็นดับกลิ่นให้เสี่ยง

 
4. น้ำหอมปรับอากาศ

          มีรายงานการวิจัยออกมาแล้วว่า สารพิษในน้ำหอมปรับอากาศหากสูดดมเข้าบ่อย ๆ จะสะสมอยู่ในร่างกาย และส่งผลต่อฮอร์โมนและระบบสืบพันธุ์โดยเฉพาะในเด็ก ดังนั้นถึงจะติดกลิ่นหอมแค่ไหน แต่หลีกเลี่ยงไม่ใช้จะดีกว่านะจ๊ะ

 
5. ผลิตภัณฑ์เคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์

          ผลิตภัณฑ์เคลือบเงาเฟอร์นิเจอร์นอกจากจะติดไฟได้ง่ายแล้ว ยังมีสารเคมีฟีนอลและไนโตรเบนซีน ซึ่งหากสัมผัสโดนจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวัง และปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนใช้ดีที่สุด

 
6.  น้ำยาล้างห้องน้ำ

          สารกัดกร่อนที่ช่วยให้ห้องน้ำสะอาดปิ๊งในพริบตา อาจส่งผลให้ผิวหนังและดวงตาไหม้ได้ ดังนั้นสวมถุงมือยางก่อนล้างห้องน้ำทุกครั้ง และระวังอย่าให้ผลิตภัณฑ์กระเด็นเข้าตา เพราะหากห้องน้ำสะอาดเนี้ยบ แต่เราต้องนอนโรงพยาบาลคงไม่คุ้มกันแน่ ๆ

 
7. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ

          ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ อันตรายกว่าที่คิด เพราะเคมีที่ผสมอยู่มักมีสารพิษที่ต้องระมัดระวัง แต่กลับไม่ถูกระบุลงในฉลากให้ครบ ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ จึงต้องเสี่ยงรับชะตากรรมด้วยตัวเอง ถึงจะไม่ทุกยี่ห้อแต่ก็ควรตรวจสอบให้ดีก่อนนะ

8. เต้ารับไฟ

          เชื่อว่าหลายคนเสียบสารพัดปลั๊กลงบนเต้ารับไฟ โดยไม่คำนวณจำนวนโวลต์ รวมถึงยังลากสายไฟยาว ๆ ไปซ่อนไว้หลังเฟอร์นิเจอร์หรือใต้พรมเพื่อความสวยงาม โดยหารู้ไม่ว่านี่คือสาเหตุหลักของอัคคีภัยในหลาย ๆ ประเทศเลยล่ะ

 
9. สบู่กำจัดแบคทีเรีย

          สบู่กำจัดแบคทีเรียถูกยอมรับว่าช่วยให้ร่างกายสะอาดปลอดจากแบคทีเรียได้จริง แต่มีผลวิจัยรายงานออกมาว่า สารฆ่าเชื้อไตรโคลซานและไตรโคลคาร์บานที่ผสมอยู่ จะทำให้แบคทีเรียดื้อยา และยังไม่ย่อยสลายทางชีวภาพอีกด้วย ดังนั้นหันมาใช้สบู่ธรรมดากันดีกว่า ถึงสะอาดน้อยหน่อย แต่ก็มั่นใจได้มากกว่า

10. สีแตกร่อนบนผนัง

          อาคารบ้านเรือนเก่า ๆ ที่สีแตกร่อนก็ทำอันตรายกับเราได้เหมือนกัน เพราะสีทาบ้านสมัยก่อน จะมีส่วนผสมของสารตะกั่วเพื่อช่วยเรื่องความสดและคงทนของสี ดังนั้นหากเราสูดเอาละอองเหล่านี้เข้าไป มันก็จะสะสมในร่างกาย และทำอันตรายถึงชีวิตได้


          เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น หรือหากชิ้นไหนที่หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ หรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดีกว่า เพื่อที่ร่างกายของเราไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากสิ่งเหล่านี้จ้า


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/489555421978260335/