Tuesday, May 31, 2016

9 อาหารเช้าที่คิดว่าแบบนี้แหละดี แต่ที่จริงแล้วทำให้อ้วน !




อาหารเช้าที่เคยคิดว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ช่วยลดน้ำหนักได้ไม่มากก็น้อย แต่แท้จริงแล้วกินแบบนี้อาจทำให้ยิ่งอ้วนขึ้นก็ได้ อย่าทำเป็นเล่นไป

        เรายังคงต้องย้ำค่ะว่าอาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญ และการกินอาหารเช้าเป็นประจำมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ เนื่องจากหากเราอดมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญเริ่มต้นช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ร่างกายก็จะรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา และลงท้ายด้วยการหิวจัด กินได้เยอะขึ้นในมื้อถัด ๆ ไป แต่จะกินอาหารเช้าเพื่อสุขภาพและเพื่อให้เป็นอาหารเช้าลดน้ำหนักจริง ๆ บอกเลยว่าต้องไม่ใช่ 9 สไตล์อาหารเช้าพาอ้วนต่อไปนี้เด็ดขาด !

1. อาหารเช้าสำเร็จรูป

        เข้าใจว่าความสะดวกรวดเร็วก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในทุก ๆ เช้า แต่เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้อาหารเช้าของคุณ
ๆ กลายเป็นอาหารพาอ้วนไป เนื่องจากอาหารที่ปรุงสำเร็จมาแล้ว แน่นอนว่าเราไม่สามารถควบคุมปริมาณสารอาหารและเครื่องปรุงได้ โดย เฉพาะอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด เบอร์เกอร์ แซนด์วิช หรือโจ๊กกระป๋อง อาหารที่มาพร้อมกับความสะดวกรวดเร็วแบบนี้แหละที่จะทำให้ร่างกายคุณได้รับ แคลอรีเกินความจำเป็น และทำให้อ้วนได้ง่าย

2. กินอาหารเช้าน้อยเกินไป

        สำหรับคนที่ตั้งใจลดน้ำหนักจริง ๆ อาจกังวลว่ากินอาหารในแต่ละมื้อในจำนวนมากอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเกิน ความจำเป็น แต่สำหรับมื้อเช้า การกินอาหารที่ทำให้รู้สึกอิ่มอยู่ท้อง อย่างการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนและไขมันชนิดดีอย่างไขมันจากปลา ถั่ว ไข่ เมล็ดพืชต่าง ๆ จะทำให้รู้สึกอิ่มไปได้ยาว ๆ และไม่รู้สึกหิวจุบจิบนะคะ

        ดังนั้นมื้อเช้าอย่าไปกังวล จัดไปเน้น ๆ ให้อิ่มเลย เพียงแต่ก็ต้องเลือกกินอาหารที่ถูกหลักไดเอตด้วย เช่น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อย่างโฮลวีท โฮลเกรน ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โปรตีนจากปลา ไข่ ถั่ว และเมล็ดพืช และวิตามินจากผัก-ผลไม้ เป็นต้น

3. กินบ้างอดบ้าง

        อย่างที่บอกไปแหละค่ะว่า มื้อเช้าสำคัญต่อร่างกายและสุขภาพ และ การอดมื้อเช้าก็ทำให้มีโอกาสอ้วนได้ง่ายขึ้น เพราะระบบเผาผลาญจะรู้สึกขี้เกียจทำงาน ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะต่ำ ทำให้จิตใจไขว้เขวไปกับอาหารแคลอรีสูงได้ทั้งวัน ดังนั้นหากคุณเป็นคน ที่พลาดมื้อเช้าบ่อย ๆ เพราะตื่นสายบ้าง ต้องรีบไปทำงานหรือไปเรียนบ้าง บอกเลยว่าพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับความอ้วนโดยไม่รู้ตัว

4. กินอาหารเช้าที่มีแต่แป้งเน้น ๆ

        เช้าขึ้นมาก็มีขนมปังกับนมเป็นอาหารเช้าคู่ใจ หรือบางทีก็จัดใหญ่ กินข้าว 1 จาน ตบท้ายด้วยขนมปังอีกหน่อย แหม...อันนี้ก็หนักแป้งมากไปค่ะ อยากกินให้อิ่มอยู่ท้องก็ถูกล่ะ แต่ถ้าเน้นหนักที่อาหารประเภทแป้งก็คง ไม่แคล้วร่างกายจะเผาผลาญไม่หมด สุดท้ายจากแป้งก็เปลี่ยนเป็นน้ำตาลสะสมในร่างกาย กลายเป็นความอ้วนที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาทีละเล็กละน้อย

5. กินไข่มื้อเช้า แต่เป็นไข่ทอดอมน้ำมันซะส่วนใหญ่ !

        ไข่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม เหมาะจะกินเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพและอาหารเช้าลดน้ำหนักในคราวเดียวกัน แต่ถ้าใครเกิดนิยมกินไข่ดาวทอดด้วยน้ำมันเยอะ ๆ หรือไข่เจียวอมน้ำมันเป็นมื้อเช้า ความผอมคงไม่มาเยือนง่าย ๆ หรอกนะคะ ดังนั้นหากไม่อยากอ้วน แนะนำเป็นไข่ต้มหรือไข่ดาวน้ำ จะดีกว่า

6. ดื่มกาแฟที่เข้มข้นไปด้วยความหวานและความมัน

        กาแฟดำคือนิพพาน อยากให้ท่องจำติดตัวไว้เลยค่ะ แต่ถ้าไม่ไหวกับกาแฟดำเพียว ๆ จริง ๆ อาจลดหย่อนให้เติมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลลงไปสักนิดก็ได้ เพราะถ้ากาแฟที่คุณดื่มทุกวันเป็นกาแฟที่เข้มข้นไปด้วยความหวานและความมัน จากครีมเทียมและวิปปิ้งครีม อันนี้ฟันธงได้เลยว่าน้ำหนักจะพุ่งขึ้นแน่ ๆ

7. กินมื้อเช้าทีไร ขาดน้ำหวานด้วยไม่ได้สักที

        นอกจากกาแฟแล้ว ใครที่ต้องมีน้ำหวานคู่ใจด้วยทุกเช้าก็เสี่ยงน้ำหนักพุ่งพรวดขึ้นได้เหมือน กันนะคะ โดยเฉพาะสาวกชาเย็น ชาเขียว โกโก้ นมเย็น ที่ขอรสชาติเข้มข้นหวานมัน อ้วนง่าย ๆ แบบไม่ต้องเสียเวลาสืบสาเหตุเลยล่ะ !

8. กินแต่โยเกิร์ตเพียว ๆ

        แม้จะเป็นโยเกิร์ตไขมันต่ำ แต่อย่าลืมว่าโยเกิร์ตเพียว ๆ มีแต่โปรตีน หาได้มีไฟเบอร์ที่ตรงไหน ดังนั้นแม้จะกินโยเกิร์ตเป็นมื้อเช้า ก็อาจรู้สึกหิวขึ้นมาตะหงิด ๆ ในช่วงสาย ๆ ได้ และนำไปสู่การรับประทานอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจในมื้อถัด ๆ ไป ดังนั้น เพื่อป้องกันภาวะเสี่ยงความอ้วนดังที่กล่าวมา ควรผสมผลไม้สด ๆ อย่างเนื้อส้ม แอปเปิล กล้วย หรือผลไม้ชนิดอื่น ๆ เข้าไปในโยเกิร์ตถ้วยเดิมของคุณด้วย ให้โปรตีนช่วยพยุงระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนไฟเบอร์ในผลไม้ก็จัดการเติมความอิ่มในท้องของเรายาว ๆ ไป

9. น้ำผลไม้ก็ตัวดี

        น้ำผลไม้คั้น โดยเฉพาะน้ำส้มคั้น น้ำแอปเปิล หรือน้ำสับปะรด ในแบบสำเร็จรูป จริง ๆ แล้วมีปริมาณแคลอรีและน้ำตาลค่อนข้างสูงเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้นหากใครคิดว่าน้ำผลไม้คั้นสดเป็นอาหารเช้าที่คลีนพอตัว อยากให้ลองเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หรือถ้าจะดีให้ก็ทำสมูทตี้ดื่มเอง โดยไม่ต้องผสมน้ำตาลหรือปรุงรสใด ๆ เพิ่มเติมเข้าไปอีก

        อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่อยากให้รับประทานกันทุกวัน และอาหารเช้าก็จะช่วยลดน้ำหนักให้คุณได้ง่าย ๆ เพียงแต่ควรเลือกกินอาหารที่ไม่พาอ้วนอย่างอาหารเช้า 9 ชนิดนี้ก็พอ ส่วนใครอยากรู้ต่อไปอีกว่าควรเลือกทานอาหารเช้าแบบไหนถึงจะดีกับสุขภาพ ลองอ่านตามนี้เลย

          - อาหารเช้าลดน้ำหนัก ผอมเพรียวได้ดั่งใจ ต้องลองสูตรนี้สิ
          - 10 อาหารเช้าเพื่อสุขภาพที่เฮลท์ตี้ อย่างนี้ต้องมีไว้ติดบ้าน ! 
          - 6 เมนูอาหารเช้าเปี่ยมประโยชน์ รู้แล้วห้ามอด !

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักโภชนาการ กรมอนามัย, self, popsugar, allwomenstalk
http://health.kapook.com/view148877.html

Monday, May 30, 2016

ต้นกระบองเพชรกับ 10 ความลับน่าทึ่งที่ซ่อนไว้ใต้หนามแหลม




   ต้นกระบองเพชรกับ 10 ความลับและประโยชน์ของต้นกระบองเพชร ที่มีดีมากกว่าเป็นแค่ต้นไม้จัดสวนหรือต้นไม้วางประดับบนโต๊ะทำงาน ไปดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เรายังไม่เคยรู้

          ต้น กระบองเพชร หรือ แคคตัส (Cactus) เป็นพืชอวบน้ำที่มีรูปร่างสวยงามและหลากหลาย เลี้ยงง่าย ทนต่อทุกสภาพแวดล้อม เลยทำให้ได้รับความนิยมในการตกแต่งสวนหรือปลูกใส่กระถางเล็ก ๆ ไว้ประดับบ้านและวางบนโต๊ะทำงาน แต่รู้หรือไม่ว่าต้นกระบองเพชรหรือแคคตัสที่คุณเลี้ยงอยู่เป็นต้นไม้ มหัศจรรย์ที่มีความลับและประโยชน์มากมายเกิดคาดเลยล่ะ

1. มีมากกว่า 2,000 สายพันธุ์

        ต้นกระบองเพชรถือเป็นพืชมีความหลากหลายทางสายพันธุ์อีกชนิดหนึ่ง ที่มีมากกว่า 2,000 สายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธู์ก็มีรูปร่างและขนาดต่างกันออกไป เช่น กระบองเพชรคัลเดราที่พบในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาสูงกว่า 20 เมตร ในขณะที่กระบองเพชรสายพันธุ์รีบูเทียจากประเทศโบลิเวียและอาร์เจนตินานั้นมี ความสูงแค่ไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น

2. มีรากขนาดใหญ่

        รากของกระบองเพชรไม่ว่าจะสายพันธุ์เล็กหรือใหญ่ ต่างก็มีรากที่มีขนาดใหญ่และมีความแข็งแรง เนื่องจากพวกมันต้องใช้รากแทงลึกลงในดิน เพื่อดูดซึมและกักเก็บน้ำจากใต้ดิน

3. หนามมีพิษ

        หนามของกระบองเพชรที่พบทั่วไปมีขนาดเล็กและเรียวแหลม หากถูกผิวหนังจะแค่รู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่หนามของกระบองเพชรบางสายพันธุ์นั้นมีพิษ เมื่อโดนผิวหนังอาจทำให้มีอาการปวดและเป็นหนองไปหลายวัน ถึงแม้ว่าจะเอาหนามออกจากผิวหนังแล้วก็ตาม

4. ออกดอกต่างเวลา
       
        สีของดอกกระบองเพชรมีหลากหลายขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ทั้งสีขาว เหลือง แดง ชมพู และม่วง อีกทั้งดอกของกระบองเพชรบางสายพันธุ์สามารถอยู่ได้หลายวัน ในขณะที่ดอกกระบองเพชรบางสายพันธุ์บานเช้า-เย็นร่วง บานเฉพาะตอนกลางคืน หรือบานเฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น

5. ดอกจะส่งกลิ่นเหม็นเน่าเพื่อล่อแมลง


        เช่นเดียวกับดอกไม้ทั่ว ๆ ไป ดอกกระบองเพชรจะผสมเกสรผ่านทางแมลงและนกฮัมมิ่งเบิร์ด โดยดอกกระบองเพชรสีแดงบางชนิด จะส่งกลิ่นคล้ายเนื้อเน่าเพื่อล่อแมลงและนกให้เข้ามาหานั่นเอง 

6. รากมีฤทธิ์กดประสาท

        รากของกระบองเพชรสายพันธุ์ปีโยเต (Peyote Cactus) สายพันธุ์ท้องถิ่นของเม็กซิโก ถูกนำไปใช้ในทางการแพทย์ในยุคก่อนการค้นพบของโคลัมบัส โดยจะใช้ในการผ่าตัด เนื่องจากรากกระบองเพชรชนิดนี้มีฤทธิ์กดประสาท ช่วยระงับอาการเจ็บปวดได้

7. ผู้ช่วยชีวิตกลางทะเลทราย

        ถึงแม้ว่าน้ำในลำต้นของกระบองเพชรจะมีลักษณะเหนียวข้นและไม่ได้ใสสะอาดน่า ดื่ม แต่มีผู้พิสูจน์มาแล้วว่าสามารถดื่มได้ เป็นผู้ช่วยชีวิตสัตว์จากความกระหายในท้องทะเลทรายอันแห้งแล้งมาเยอะแล้ว

8. หนามใช้เย็บแผลได้

        เนื่องจากหนามของกระบองเพชรมีลักษณะเรียวแหลมและแข็งคล้ายกับเข็ม จึงสามารถนำไปเย็บแผลได้ แต่ทั้งนี้ต้องผ่านการฆ่าเชื้อก่อน ซึ่งการฆ่าเชื้อก็ทำได้โดยการวางบนถ่านหรือหินร้อน ๆ นอกจากนั้นแล้วชนเผ่าในสมัยก่อนยังใช้หนามของกระบองเพชรในการสักอีกด้วย

9. เยียวยาบาดแผลให้ตนเอง

        กระบองเพชรเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์หลายชนิด ถึงแม้ว่าจะมีการสร้างหนามเพื่อป้องกันแล้ว แต่ก็ยังโดนนกและแมลงตัวเล็ก ๆ กัดกินเนื้อและดูดน้ำ ทำให้เกิดรอยขีดข่วนตามลำต้น แต่บาดแผลและรอยขีดข่วนจะหายได้เอง โดยต้นกระบองเพชรจะสร้างเนื้อเยื่อไปแทนที่ส่วนที่แหว่งไป

10. อายุยืนกว่าร้อยปี !

        เนื่องจากกระบองเพชรเป็นพืชทนร้อน เลยทำให้ต้นกระบองเพชรป่าสามารถอยู่ได้ถึง 100 ปี ส่วนกระบองเพชรที่นิยมเลี้ยงกันนั้นก็มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปเลยทีเดียวถ้าได้รับการดูแลที่ถูกต้อง แต่ประสิทธิภาพในการรักษาบาดแผลจะลดลงเมื่อกระบองเพชรมีอายุมากขึ้น โดยรอยขีดข่วนจะอยู่กับกระบองเพชรนาน อาจจะทำให้ไม่ค่อยสวยเหมือนตอนกระบองเพชรยังอายุน้อย ๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Wonderhowto, softpedia, AIHDP และ housebeautiful
http://home.kapook.com/view147816.html

Sunday, May 29, 2016

เหงื่อบอกสุขภาพได้ ป่วยบ้างไหม เช็คได้รู้แน่ !




เหงื่อบอกโรคได้หลายชนิด ลองมาเช็กกันสิว่า หยาดเหงื่อที่ออกมาจากร่างกายบ่งบอกปัญหาสุขภาพอะไรได้บ้าง

          เรา อาจจะคิดกันว่าอากาศร้อนคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เหงื่อออก ซึ่งนั่นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะการที่ของเหลวในร่างกายถูกกลั่นออกมาเป็นเหงื่อนั้นอาจเกิดจากสาเหตุ อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ อย่างเช่นที่เราได้หยิบเอาเรื่องของเหงื่อบอกโรคมาฝากกัน ลองมาดูกันดีกว่าเหงื่อจะบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพของเราได้บ้าง


1. เหงื่อเค็ม - ร่างกายขับโซเดียม

          โดยปกติแล้วเหงื่อของคนเราที่ออกมาจากร่างกายไม่ได้เป็นเพียงแค่น้ำใส ๆ ธรรมดา แต่จะมีรสชาติที่แตกต่างกันไป ที่เห็นได้บ่อยก็คือรสชาติเค็มของเหงื่อ ขอบอกว่ารสชาติเค็ม ๆ จนทำให้เกิดเป็นคราบเกลือขึ้นเมื่อสวมใส่เสื้อผ้า ไม่ใช่เรื่องอันตรายค่ะ เพราะนั่นแปลว่าร่างกายกำลังขับโซเดียมและสารอาหารบางชนิดออกมาตามปกติของ ร่างกาย จึงไม่ใช่เรื่องต้องกังวลค่ะ


2. เหงื่อออกเยอะ - ภาวะหลั่งเหงื่อมาก (Hyperhidrosis)

          สำหรับ คนที่มักจะมีเหงื่อท่วมอยู่เป็นประจำละก็ อย่าคิดว่าเป็นเพราะร่างกายระบายความร้อนได้มากนะคะ เพราะบางที่นั่นอาจจะเป็นความผิดปกติของต่อมเหงื่อที่เรียกว่า ภาวะหลั่งเหงื่อมาก (Hyperhidrosis) โดยเหงื่อสามารถออกมาได้ทั่วร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่มือหรือเท้า ทั้งนี้ภาวะหลั่งเหงื่อมากจะเกิดขึ้นได้ 2 แบบ ได้แก่

          - เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ (Primary hyperhidrosis)

          แม้ว่าภาวะเหงื่อท่วมโดยไม่มีสาเหตุอาจจะดูเหมือนผิดปกติ แต่เหงื่อที่ออกนั้นก็อาจไม่ได้เป็นสัญญาณของสุขภาพที่อันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นแต่ว่าหากเหงื่อนั้นเกิดขึ้นแบบไร้สาเหตุพร้อมกับอาการข้างเคียง นั่นก็อาจจะกลายเป็นความผิดปกติได้

          - เกิดขึ้นโดยทราบสาเหตุ (Secondary hyperhidrosis)

          อาการ เหงื่อออกเยอะที่มีสาเหตุนั้นส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความผิดปกติของระบบการทำ งานของร่างกาย หรือโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามนี้ค่ะ

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)

          โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการเหงื่อออกมากผิดปกติได้ แต่ถึงกระนั้นเองก็ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเพราะอะไรผู้ป่วยโรคมะเร็ง ต่อมน้ำเหลืองจึงมีเหงื่อออกมากผิดปกติ ซึ่งโดยปกติแล้วอาการเหงื่อออกเยอะในผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการไข้เรื้อรังร่วม ด้วย

โรคเบาหวาน

          สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าหากมีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ หรือเหงื่อออกทั้ง ๆ ที่อากาศไม่ได้ร้อน นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยล่ะค่ะ เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าระดับน้ำตาลในเลือดกำลังลดต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายเพราะอาจจะทำให้เป็นลมหรือหมดสติได้ ทางที่ดีหากรู้ว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวานก็ควรพกของหวานติดตัวไว้ค่ะ

โรคอ้วน

          น้ำหนักตัวที่มากผิดปกติจนเกินไปจนกลายเป็นโรคอ้วน ก็เป็นสาเหตุของอาการเหงื่อออกบ่อย ๆ ได้ เพราะเมื่อน้ำหนักมากขึ้น ร่างกายก็จะต้องทำงานหนักขึ้น และร่างกายก็จำเป็นจะต้องระบายความร้อนภายในร่างกายออกมาเป็นเหงื่อ จึงจะสังเกตได้ว่าคนที่น้ำหนักมาก ๆ จะเหงื่อออกง่ายกว่าปกตินั่นเอง

โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ

          เมื่อร่างกายติดเชื้อโรคบางชนิดซึ่งก่อให้เกิดอาการไข้ขึ้นสูง ก็จะส่งผลให้มีเหงื่อออกมามากขึ้น เนื่องจากร่างกายจะต้องระบายความร้อนที่เกิดจากอาการไข้ออกมาทางเหงื่อ ซึงจะทำให้ร่างกายเย็นลงและอาการไข้ลดลงค่ะ

โรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์

          การทำงานที่ผิดปกติของต่อมไทรอยด์ไม่ว่าจะในภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน ไป (Hyperthyroidism) หรือไทรอยด์เป็นพิษ ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน และทำให้เหงื่อออกมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูที่อาการอื่น ๆ ร่วมด้วย หากมีน้ำหนักลดผิดปกติ กินจุ มืออุ่นและชื้นตลอดเวลา หรือมือสั่น ใจสั่น แปลว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ค่ะ

โรคพาร์กินสัน

          หากมีเหงื่อออกเยอะ ควบคู่กับอาการมือสั่น แต่ไม่มีอาการอื่น ๆ ของโรคไทรอยด์ร่วมด้วยก็อย่าชะล่าใจไปเพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณของโรคอีก ชนิดหนึ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามา โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ นั่นก็คือโรคพาร์กินสันซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการทำงานของระบบประสาทได้ ดังนั้นถ้าหากมีเหงื่อออกมากและเกิดอาการมือสั่นละก็ ไม่ควรนิ่งเฉย ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจดีกว่านะคะ

ภาวะหัวใจล้มเหลว

          อีกหนึ่งโรคอันตรายที่อาจมีสัญญาณเป็นอาการเหงื่อออกมากผิดปกตินั่นก็คือ ภาวะหัวใจล้มเหลว ที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการนี้จะทำให้เกิดเหงื่อออกมากผิดปกติ ซึ่งถ้าหากมีอาการดังกล่าวร่วมกับอาการปวดและแน่นบริเวณหน้าอก หรืออาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นลมด้วยละก็ รีบไปโรงพยาบาลอย่างด่วนเลยค่ะ

ตั้งครรภ์

          การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายผู้หญิงที่เกิดมาจากการตั้งครรภ์ก็เป็น สาเหตุที่ทำให้คุณสาว ๆ มีเหงื่อออกมากว่าปกติได้ แต่ไม่ใช่เรื่องอันตรายแต่อย่างใด เพียงแต่ควรดูแลตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เพราะในช่วงตั้งครรภ์จะมีอาการข้างเคียงต่าง ๆ ตามมาด้วย ทั้งอาการเหนื่อยง่าย แพ้ท้อง หรืออารมณ์แปรปรวน เป็นต้น ทว่าถ้าหากคุณสาว ๆ ไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่มีเหงื่อออกเยอะร่วมกับภาวะอารมณ์แปรปรวน นั่นอาจจะเป็นความผิดปกติของฮอร์โมนก็เป็นได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหน่อยดีกว่าค่ะ


3. เหงื่อไม่ออก - เสี่ยงฮีทสโตรก (Heat Stroke)

          โดยปกติแล้วเมื่อร่างกายเจอกับอากาศร้อน ๆ ร่างกายก็จะคลายความร้อนด้วยการผลิตเหงื่อออกมา แต่ถ้าหากคุณอยู่ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว แล้วเกิดเหงื่อไม่ไหล แถมมีอาการหน้ามืดด้วย ขอบอกว่านั่นเป็นสัญญาณของภาวะฮีทสโตรกหรือโรคลมแดดแล้วล่ะค่ะ ซึ่งเจ้าโรคนี้ถือได้ว่าเป็นอันตรายอย่างมากเพราะสามารถทำให้เป็นลม หมดสติ และเสียชีวิตได้เลย
 

4. เหงื่อมีกลิ่น - ความเครียดกำลังพุ่ง !

          ปกติแล้วเหงื่อของคนเราจะมีลักษณะใส ไม่มีกลิ่นและสี คล้ายกับน้ำธรรมดา แต่ถ้าหากอยู่ดี ๆ เหงื่อของคุณเกิดมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็อย่าได้ตกใจไปค่ะ เพราะร่างกายกำลังบอกว่าคุณน่ะเครียดมากจนเกินไปแล้ว โดยสาเหตุที่ทำให้เหงื่อมีกลิ่นก็เป็นเพราะว่าร่างกายของคนเราจะมีต่อม เหงื่ออยู่ 2 ชนิด คือ ต่อมเอ็กไครน์ (Eccrine glands) ที่อยู่ตามผิวหนังและทำหน้าที่สร้างเหงื่อในช่วงเวลาปกติ ซึ่งจะไม่มีกลิ่น กับต่อมอะโพไครน์ (Apocrine glands) ที่อยู่ลึกกว่าต่อมชนิดแรก ต่อมชนิดนี้จะอยู่บริเวณซอกหลืบต่าง ๆ ในร่างกาย และจะทำงานเมื่อร่างกายเกิดความเครียด เหงื่อที่ออกมาจากต่อมนี้จะมีไขมัน โปรตีนและแบคทีเรียบางชนิดออกมาด้วยจึงทำให้เกิดกลิ่น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาที่เราเครียดเหงื่อจึงเหม็นนั่นเอง


5. เหงื่อออกตอนกลางคืน - ภาวะหมดประจำเดือน

          สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังก้าวสู่วัยหมดประจำเดือน ไม่ต้องแปลกใจถ้าหากมีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืนค่ะ เพราะอาการเหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งนอกจากเหงื่อที่ออกมาในตอนกลางคืนแล้ว ก็ยังอาจมีอาการร้อนวูบวาบ และอารมณ์แปรปรวนร่วมด้วย ซึ่งอาการนี้จะดีขึ้นหากมีการปรับระดับฮอร์โมนให้เป็นปกติค่ะ

          เห็นไหมคะว่าเหงื่อก็ถือเป็นสัญญาณสุขภาพที่สำคัญเช่นกัน ฉะนั้นก็อย่ามองข้ามและเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญเลยดีกว่าเนอะ ลองสังเกตเหงื่อ และอาการผิดปกติของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหน่อย หากเป็นอะไรจะได้รีบรักษาได้อย่างทันท่วงทีค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
prevention.com 
positivemed.com 
webmd.com 
sweatblock.com
antiperspirantsinfo.com
http://health.kapook.com/view148971.html
เครดิตภาพ  https://in.pinterest.com/pin/469641067361353484/

Saturday, May 28, 2016

ใช้หลัก 3 ป. ตัดสินใจก่อนซื้ออาหารถุง




กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะแม่บ้านยุคใหม่ที่พึ่งอาหารถุงหรืออาหารปรุงสำเร็จให้เน้นหลัก 3 ป. และให้สังเกตอาหารด้วยการดูและดมกลิ่นในการเลือกซื้อ โดยคำนึงถึงประโยชน์ ปลอดภัย และประหยัด ใช้การดูและดมเพื่อดูความผิดปกติของอาหาร พร้อมเน้นย้ำให้มองหาร้านที่มีสัญลักษณ์อาหารสะอาด รสชาติอร่อย หรือ Clean Food Good Taste เพื่อสร้างความมั่นใจในการเลือกซื้อ

นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงการซื้ออาหารสำเร็จรูปอย่างปลอดภัยว่า แม่บ้านสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่มีเวลาปรุงอาหารเอง ต้องพึงอาหารถุงหรืออาหารสำเร็จรูปเพราะสะดวกสบาย อาจไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะอันตายจากเชื้อโรคและสารเคมีต่างๆ ที่ปนเปื้อนมากับอาหาร หรือแม้แต่พิษภัยที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น เห็ดป่า ปลาปักเป้า 

ดังนั้น การเลือกซื้ออาหารเพื่อบริโภคจึงต้องใส่ใจมากขึ้น โดยต้องยึดหลัก 3 ป. ได้แก่

1)  ป. ประโยชน์ คือ เลือกอาหารที่มีความสดและคุณค่าทางโภชนาการ

2)  ป. ปลอดภัย คือ เลือกอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ผลิตจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ทำให้เกิดโรคและสารพิษ

3)  ป. ประหยัด คือ เลือกอาหารที่มีในท้องถิ่น มีตามฤดูกาล เพราะจะได้อาหารคุณภาพ ราคาถูก 

และการเลือกอาหารนั้นควรใช้หลักการดู โดยดูสภาพว่ามีสภาพเปลี่ยนไปจากปกติหรือไม่ เช่น มีฟองก๊าซ สี เปลี่ยนแปลงไป หากสามารถดมได้ควรดมกลิ่นผิดปกติจากอาหารนั้นๆ หากมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เหม็นบูด ไม่ควรซื้อมารับประทาน โดยเลือกซื้อจากร้านอาหาร แผงลอยที่สะอาด ปลอดภัย โดยพิจารณาตามข้อสังเกตตั้งแต่สภาพทั่วไป สะอาด เป็นระเบียบ ไม่อับทึบ หรืออยู่ในบริเวณที่สกปรก เช่น ใกล้ห้องส้วม บริเวณที่พักขยะ อาหารปรุงสุก และผักสด เก็บในภาชนะสะอาด มีการปกปิดและวางสูงจากพื้น 60 เซนติเมตร เพื่อป้องกันฝุ่นละออง แมลงนำโรค 

อาหารปรุงสุกที่จำหน่าย ควรอุ่นให้ร้อนเป็นระยะๆ เพื่อทำลายเชื้อโรค ไม่ใช้เขียงปะปนกันระหว่างอาหารสุกและอาหารดิบ เครื่องปรุงรสมีเลทะเบียนตำรับอาหาร (อย.) บรรจุในภาชนะแก้ว กระเบื้องเคลือบขาวที่สะอาด มีฝาปิด เพื่อป้องกันการกัดกร่อน

นายแพทย์ดนัย กล่าวต่อไปว่า น้ำดื่ม หรือเครื่องดื่ม ต้องบรรจุในภาชนะที่มีการปกปิด และมีที่ตักด้ามยาวหรือทางเทริน น้ำแข็งต้องสะอาด มีที่ตัก ไม่แช่อาหารหรือสิ่งอื่นๆ ปะปน ภาชนะจาน ชาม ช้อน ตะเกียบ ล้างและคว่ำเก็บในที่สะอาด เป็นระเบียบ หยิบจับง่าย เก็บสูงจากพื้น 60 เซนติเมตร 

คนปรุง คนขาย คนเสิร์ฟ ต้องแต่งกายให้สะอาด สวมผ้ากันเปื้อน หมวกคลุมผม ไม่มีบาดแผลที่มือ และไม่ใช้มือหยิบจับอาหารที่พร้อมรับประทาน แต่ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ช้อน ทัพพี ที่คีบ 

ส่วนถังขยะและเศษอาหาร ต้องมีฝาปิดและไม่รั่วซึม และต้องไม่มีสัตว์ แมลงนำโรค เช่น หนู แมลงสาบ แมลงวัน บริเวณที่เตรียมปรุงอาหาร ทั้งนี้ ก่อน เลือกซื้ออาหารให้สังเกตป้ายสัญญลักษณ์อาหารและสะอาด รสชาติอร่อย หรือ Clean Food Good Taste เพื่อเป็นการยืนยันถึงความสะอาดและปลอดภัย

"ที่สำคัญให้ยึดหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ คือ กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หรือหากเป็นอาหารค้างมื้อต้องเก็บไว้ในตู้เย็นและนำมาอุ่นความร้อนอย่างทั่วถึง ใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานและหลังใช้ส้วมเพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากอาหารและน้ำเป็นสื่อ อาทิ โรคท้องร่วง อาหารเป็นพิษ บิด ไทฟอยด์ และอหิวาตกโรค เป็นต้นรองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

ที่มา : สำนักสื่อสารและตอบโต้ความเสี่ยง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
http://www.thaihealth.or.th/Content/31434-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%203%20%E0%B8%9B.%20%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/IslandInfo/market-street-food-in-thailand/