Monday, December 30, 2013

6 อันดับ มื้อเช้าที่มีประโยชน์มากที่สุด




เป็นที่ทราบกันดีว่า มื้อเช้า ถือเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุด จะสดใสร่าเริง สมองแล่นทั้งวันหรือไม่ ก็อยู่ที่มื้อเช้านี่แหละ เมื่ออาหารเช้าสำคัญขนาดนี้ มาสำรวจกันหน่อยดีมั้ย ว่าอาหารจานโปรดที่คุณๆ ทานกันทุกเช้านั้น เมนูใดเปี่ยมประโยชน์ เมนูไหนสมควรเลี่ยง !
 
กฎของอาหารเช้า

การทานอาหารเช้าที่ดี คือ ให้กินอย่างราชา แต่จะต้องมีหลักนิดนึงคือ ถ้าเรากินอย่างราชาแต่หนักแป้งก็ไม่ดี เพราะมันจะทำให้เราหิวเร็ว 



ดังนั้น กฎข้อแรก ของการกินอาหารเช้าคือ พยายามทานแป้งกับน้ำตาลให้น้อยที่สุด เพราะแป้งและน้ำตาลดูดซึมได้เร็ว เมื่อไหร่ที่ดูดซึมเร็ว อินซูลิน จะมาควบคุมไม่ให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูง เมื่ออินซูลินมากดนานเข้า ก็จะทำให้น้ำตาลเราต่ำ เมื่อน้ำตาลต่ำ เราก็จะหิวเร็ว ดังนั้นอาหารเช้าไม่ควรขาดเลย แต่ควรจะงดแป้งและน้ำตาล
กฎข้อที่สอง คือ อาหารเช้ามื้อนั้นๆ ไม่ควรจะรสจัดเกินไป เพราะในตอนเช้ายังไม่มีน้ำย่อยเยอะ และกระเพาะอาหารยังไม่ขยับเต็มที่ หากเราทานอาหารที่มีความมัน หรือเผ็ดเกินไป มันจะทำให้เกิดข้อเสียมากกว่าดังนั้นในมื้อเช้าจึงไม่ควรจะทานอาหารที่มัน และเผ็ดเกินไปคุณหมอกฤษดา อธิบายถึงหลักการรับประทานอาหารมื้อเช้าที่ดีต่อสุขภาพ 


หลังบอกถึงหลักการทานอาหารเช้าที่เหมาะสมแล้ว เรามาดูกันเลยค่ะว่า อาหารเช้าที่หลายท่านนิยมชมชอบ ด้วยเพราะคุ้นเคยดี แต่ละเมนูมีประโยชน์แค่ไหน เหมาะจะเป็นมื้อเช้าที่ดีของคุณๆ หรือไม่ และคุณหมอฟันธงมาว่าเมนูไหนเยี่ยมสุด
6 อันดับ มื้อเช้าทรงคุณค่า

อันดับ 1 ต้มเลือดหมู


เมนูอันดับหนึ่ง คุณหมอผู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging ยกนิ้วให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพสุดๆ ทว่าจะให้ทานแล้วดีต่อร่างกายอย่างแท้จริงก็ต้องมีเทคนิคในการทาน

ต้มเลือดหมูเป็นอาหารที่เรียกได้ว่า เป็น perfect combination หรือเป็นคู่ที่สมกันมากเลย เพราะในเลือดหมูมีธาตุเหล็ก และในผัก เช่น ใบตำลึง จะมีวิตามินซีเยอะ ธาตุเหล็กต้องมีวิตามินซี มันถึงจะดูดซึมได้ดี เช่นเดียวกับที่วิตามินซี ก็ต้องมีธาตุเหล็กมันถึงจะดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี ฉะนั้นมันเป็นคู่ที่เพอร์เฟคเลย

แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากใครเป็นเก๊าท์ ต้องระวังหน่อย เพราะน้ำซุปต้มเลือดหมูทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริค (Uric Acid) เยอะ ส่วนเครื่องในก็มีกรดยูริคสูงเหมือนกัน อันนี้อาจต้องระวังสักนิด นอกจากนี้คนอีกกลุ่มที่ต้องระวัง คือ คนที่เป็นธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เพราะคนที่เป็นธาลัสซีเมีย ไม่ควรกินธาตุเหล็กเยอะ แต่ต้มเลือดหมู มีทั้งเลือดหมู, เครื่องใน, ใบตำลึง เหล่านี้มีธาตุเหล็กทั้งนั้นเลย แต่ถ้าในคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นธาลัสซีเมีย ต้มเลือดหมูคือต้มที่ดี เป็นต้มที่เปี่ยม คอลลาเจน (Collagen) เพราะในเลือดหมูมีคอลลาเจน ในน้ำต้มกระดูกก็มีคอลลาเจน ทั้งยังมีผักเขียวที่มีวิตามินซี ก็ยิ่งทำให้คอลลาเจน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีอีกด้วย

ดังนั้นต้มเลือดหมู ถือว่าเป็นซุปสวยได้เลย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง ผมว่าดีกว่าปาท่องโก๋จิ้มนมนะ แต่มันจะกลายเป็นอาหารที่ไม่สุขภาพไปได้ เช่น หากเราใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ ใส่หมูติดมัน หรือบางเจ้าใส่หมูสามชั้น หรือหมูกรอบเข้าไป แล้วปรุงให้รสจัดเกินไป หรือหวานไป

อันดับ 2 ขนมปัง + ไข่ดาว

สำหรับอับดับสองเป็นเมนูอาหารเช้า ทำง่ายทานง่าย อย่าง ขนมปัง-ไข่ดาว ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ยกให้เป็นอาหารเช้าเปี่ยมประโยชน์ที่เหมาะนักสำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน และน้องๆ วัยเรียน จะต้องเป็นขนมปังโฮลวีท (whole wheat) และไข่ดาวน้ำ หรือไข่ต้ม (ที่ไร้น้ำมัน) นะคะ

ในช่วงเช้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ (office) ที่ต้องไปทำงาน หรือเด็กในวัยเรียน การเพิ่มอาหารจำพวกโปรตีนเข้าไปก็ถือว่าเหมาะมาก เพราะโปรตีนจะกระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ดังนั้นการทานอาหารที่มีโปรตีนอย่าง ไข่ ก็เป็นอาหารเช้าที่ดีมาก ราคาไม่แพง และมีโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นสมองด้วย สำหรับไข่ทอดอาจจะมีปัญหาเรื่องของน้ำมัน ดังนั้นหากทานเป็นไข่ต้มได้ก็ยิ่งดี โดยอาจทานไข่ต้ม, ไข่ลวก, ไข่ดาวน้ำ โรยซีอิ้วขาว โรยพริกไทยก็ยิ่งดี เพราะพริกไทยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และลดไขมันได้ด้วย

หรือไข่ต้มอย่างเดียวอาจไม่อิ่ม การทานคู่กับขนมปังโฮลวีท ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะขนมปังโฮลวีท เป็นแป้งที่มีคุณภาพ คือ แป้งมีกาก มีธัญพืชทั้งหลาย โดยอาจนำขนมปังโฮลวีท มาทำเป็นแซนวิช (sandwich) ไข่ เพิ่มผักอีกสักหน่อย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ทานกับนมอีกนิด เพอร์เฟค (perfect) เลย เพราะนมก็มีโปรตีน และกรดอะมิโน (Amino acid) ที่ช่วยกระตุ้นสมอง ถ้าผู้ใหญ่บางท่านแพ้นมวัว ทานแล้วท้องเสีย ก็สามารถทานโยเกิร์ต (Yoghurt) แทนได้ เพราะโยเกิร์ตคือ นมที่ย่อยแล้ว และไม่ทำให้ห้องเสีย ถือว่าเป็นอาหารชูกำลัง แทนที่เราจะกระตุ้นด้วยกาแฟ เรากระตุ้นด้วยอาหารชูกำลังอย่าง นม หรือโยเกิร์ตดีกว่า

อันดับ 3 ขนมครก + กาแฟ


ขนมครกนั้น จะมีปัญหาตรงที่มันมีแป้ง ถ้าเจ้าไหนใส่แป้งเยอะ ก็ไม่ต่างจากปาท่องโก๋เท่าไหร่ ดีกว่านิดหน่อยตรงที่มันใช้การปิ้ง เป็นการทำให้สุกด้วยความร้อนแทนการทอด แต่ข้อดีของมันคือ มีกะทิ ซึ่งกะทิเป็นไขมันดี เป็นกลุ่มของไขมัน มีเดียม-เชน ไตรกลีเซอไรด์ (Medium-chain triglycerides) เป็นไขมันที่ร่างกายขับออกได้ดี ก็เลยไม่ค่อยถูกเก็บสะสมในร่างกาย ซึ่งเรามักเข้าใจว่ากะทิก่อให้เกิดอันตราย แต่จริงๆ แล้ว กะทิถือเป็นของดีเลย อันนี้เป็นอีกหน้าฉากหนึ่งและในมะพร้าวก็ยังมีวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงผิวด้วย และส่วนใหญ่แล้ว หน้าของขนมครก ก็จะเป็นหน้าเพื่อสุขภาพ คือโรยด้วยเผือก, ต้นหอม, ข้าวโพด, ก็จะมีวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเอ ต้องอาศัยไขมันจากกะทิ ในการดูดซึมดังนั้นก็เข้ากันพอดี
ยิ่งทานขนมครกกับชา หรือกาแฟ ก็ถือว่าเหมาะสม เพราะในกาแฟจะมีคาเฟอีน (Caffeine) เยอะ ซึ่งถ้าเราได้ อาหารอย่างขนมครกเข้าไปรองท้องก็จะดี เพราะร่างกายจะได้ไม่ต้องดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งมันอาจจะมากเกินไปสำหรับร่างกาย ดังนั้นขนมครกก็ไม่ถึงกับเป็นอาหารเช้าที่เลวร้ายนัก แต่ก็ต้องระวังไว้นิด เพราะบางเจ้าอาจมีการใส่น้ำตาลเยอะ รสหวานเกินไป อันนี้ก็ต้องระวังไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะได้รับน้ำตาลมากเกินไปเหมือนกัน

อันดับ 4 โจ๊กหมู


โจ๊กหมู จะมีปลายข้าว รำข้าว ถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้งที่ทำให้เราหิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับโจ๊กหมูคือ ขิง และต้นหอม เพราะขิงจะช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย และทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ต้นหอม ช่วยในเรื่องลดไขมัน และควบคุมน้ำตาล

ส่วนประโยชน์นั้น หากเราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันจะทำให้เราได้วิตามินอี และ แกมมา ออริซานอล ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะยิ่งดีมาก เพราะมันจะมี กาบา ที่ทำให้สมองร่าเริง ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊กที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหาซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น

ข้อควรระวังคือ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะนั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของกรดยูริค ที่ทำให้เกิดเก๊าท์ และในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริคมากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกมันก็จะได้กรดยูริคมากเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอลมากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้คอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากเกินไป

อันดับ 5 ข้าวเหนียว+ หมูปิ้ง


เมนูอับดับห้านี้ แม้จะอร่อย ทานง่าย แถมพกพาสะดวก ทว่าก็ต้องระมัดระวังเลือกร้านที่ไว้ใจได้ และเลี่ยงทานส่วนที่ มันไว้ด้วย

ในเรื่องของพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร เราอาจได้รับแคลอรี่เยอะอยู่ แต่ถ้าเทียบกับโจ๊กแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็เป็นตัวที่สลับกันทานกับโจ๊กได้ เพราะอย่างน้อยในข้าวเหนียว ก็จะมีกลูเตน หรือไฟเบอร์เยอะกว่าข้าวขัด จะดีขึ้นมาระดับหนึ่ง และถ้ายิ่งได้ทานหมูปิ้งกับข้าวเหนียวดำ มันก็จะมี โอพีซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยู่ในข้าวเหนียวดำด้วย

ส่วนหมูปิ้งมีเทคนิคการทานคือ ให้เลือกหมูปิ้งในส่วนที่มีมันค่อนข้างน้อย เพราะเมื่อไหร่ไขมันไปสัมผัสกับความร้อน มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดสารก่อมะเร็งขึ้น ดังนั้นให้เลือกมันน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมันที่แทรกอยู่ในเนื้อหมู หรือมันที่ติดอยู่โคนไม้เหล่านี้ก็ต้องเลี่ยง นอกจากนี้เรื่องถ่านที่ปิ้งหมู ก็ต้องระวังเรื่องของสารปนเปื้อนที่มาจากถ่านที่ไม่ได้คุณภาพด้วย เพราะไม้พวกนี้เขามีการพ่นปลวก พ่นสารเคมีเอาไว้ อาจจะทำให้เราได้รับสารเคมีได้


อันดับ 6 น้ำเต้าหู้ + ปาท่องโก๋


สำหรับเมนูอันดับสุดท้าย อย่างน้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋นี้ คุณหมอฟันธงออกมาให้เราทราบกันชัดๆเลยว่า ปาท่องโก๋นั้น ถือเป็นอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้คุณอ้วนได้ง่าย เพราะทานแล้วหิวเร็ว ส่วนน้ำเต้าหู้นั้น ถือเป็น อาหารล้างบาปให้กับปาท่องโก๋ที่คุณทานเข้าไป

ถ้าคนเราทานปาท่องโก๋ วันละ 1 คู่ ทุกวัน ภายในเวลา 1 ปี น้ำหนักจะขึ้นเป็นกิโลกรัมเลย เพราะปาท่องโก๋เป็นอาหารที่มีแป้ง แต่น้ำเต้าหู้ เป็นตัวล้างบาปที่ดี นี่คือภูมิปัญญาของคนไทย เพราะน้ำเต้าหู้ มันมีสารอาหารที่ช่วยเรื่องสุขภาพ ทั้งโปรตีน แอนตี้ออกซิแดนท์ เปปไทด์ หรือถ้ายิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ใส่ธัญพืช ก็จะมีไฟเบอร์ ที่ช่วยไล่ไขมันในปาท่องโก๋ได้

อีกสิ่งที่ต้องระวังจากตัวปาท่องโก๋คือ มันอาจจะมีสารตัวหนึ่งที่ก่อมะเร็งได้ ซึ่งจะเกิดในพวกของทอด อาหารที่ต้องทอดด้วยน้ำมันชุ่มๆ และอาหารทอดซ้ำ ดังนั้นถ้าเราจะทานปาท่องโก๋ ก็ต้องพยายามเว้นวันบ้าง อย่าทานทุกวัน หรือควรจะทานน้ำเต้าหู้ที่มีธัญพืชเยอะๆ ร่วมด้วย จะได้ช่วยไม่ให้แป้งในปาท่องโก๋ ดูดซึมเร็วเกินไป จนทำให้หิวง่าย

ก็ทราบกันไปแล้ว ถึง 6 เมนู สุดยอดมื้อเช้าที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และอย่างที่ทราบกันดีว่า อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญ สำหรับการทำงานของร่างกาย เพราะฉะนั้นการเลือกเมนูมื้อเช้า ด้วยเมนูที่เป็นประโยชน์ ก็จะช่วยเสริมให้อาหารมื้อเช้าของเรานั้น ทรงคุณค่าและสำคัญมากๆ มากขึ้นไปอีก รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเลือกทานข้าวเช้ากันนะคะ


ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, December 28, 2013

7 วิธีทำให้ชีวิตมีความสุข



1. ต้องรู้จักเป็นผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ความรู้ น้ำใจ ข้อแนะนำ หรือสิ่งอื่นใดก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับ พระพุทธเจ้าบอกว่า "ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้" นั่นก็หมายความว่า ใครก็ตามเป็น "ผู้ให้" ย่อมสร้างไมตรีให้เกิดขึ้นในใจของผู้รับ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีและเป็นมิตรต่อกัน

2. กัลยาณมิตร การมีเพื่อนที่ดีย่อมทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ดั่งในยุทธจักรเขาว่า "ท่ามกลางลมหนาวและพายุร้าย หากที่นั่นมีสหายทั้งหมดจะกลายเป็นลมหายใจอันอบอุ่นที่ซึ่งมิตรแท้จะอบอุ่น และเจิดจ้าตลอดกาล"

3. ดำรงชีวิตแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ รู้จักความเพียงพออย่าตกเป็นทาสลัทธิบริโภคนิยม ที่ต้องวิ่งไล่ตามโลกไม่ได้หยุดหย่อน ดั่งในยุทธจักรเขาบอกว่า "ในโลกนี้มีแต่คนรู้จักพอ จึงสามารถได้ลิ้มรสความเบิกบานที่แท้จริง"

4. อย่าหวังมากเกินไป จงตั้ง "ความหวัง" ในสิ่งที่เป็นไปได้และไม่ยากจนเกินความสามารถของเรา และหากไม่ได้ดั่งหวังก็ต้อง "หัดปลง" เสียบ้าง ในยุทธภพจึงสอนว่า "คนผู้หนึ่งขอเพียงปลงได้ตก ในโลกก็ไม่มีเรื่องใดควรดูให้ปวดร้าวกลัดกลุ้มอีก"

5. ละความโกรธ เกลียด ลงบ้าง ให้ใช้หลักเมตตาและให้อภัยโดยเฉพาะกับคน หรือสัตว์ หรือหากยังทำใจเมตตาไม่ได้ อย่างน้อยก็วางเฉย คิดเสมอว่าอย่าให้สิ่งเหล่านี้มามีอิทธิพลเหนือจิตใจเรา

6. รักและพอใจในงานที่ทำ เพราะมันเป็นส่วนสำคัญและกินเวลาเกือบครึ่งค่อนของชีวิตเรา หากเราไม่ "รักงาน" ของเราแล้ว ชีวิตที่เหลือคงเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นและเราก็ต้องจมปลักกับความเบื่อที่ยาวนาน

7. ทำตน "ใฝ่รู้" อยู่เสมอ เช่น อ่านหนังสือทุกชนิด เรียนคอมพิวเตอร์ อบรมภาษา ฯลฯ เพราะจะทำให้เราไม่ล้าสมัย หรือตกยุค แต่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นคนอมทุกข์ เหงาหงอย เพราะมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเข้ากับใครก็ได้ 

เคล็ดลับง่ายๆ ในการทำให้ชีวิตมีความสุขไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย



ทวี มีเงิน

ข่าวสด

Wednesday, December 25, 2013

10 ทริคเด็ดควบคุมน้ำหนักช่วงวันหยุด




         ในช่วงวันหยุดนี้หลายคนคงหาร้าน อาหาร หรือร้านขนมอร่อย ๆ เตรียมเอาไว้เฉลิมฉลองช่วงเทศกาลส่งท้ายปี หรือเป็นของขวัญสุดพิเศษให้กับตัวเองกันแล้ว ตอนนี้เราอยากจะให้คุณหยุด แผนนั้นเอาไว้สักนิดแล้วทบทวนดูสักหน่อย ก่อนที่อาหารเหล่านั้นจะทำให้คุณเครียด เพราะน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นหลังการฉลอง ถ้าหากคุณไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้กันก่อนดีกว่า 

 1. เพิ่มปริมาณโปรตีน

          ก่อนทานอาหารชนิดอื่น ๆ ควรรองท้องด้วยอาหารประเภทโปรตีนก่อนเสมอ อย่างเช่น ไข่ไก่ เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพราะอาหารเหล่านี้ช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้น และทานอาหารได้น้อยลง ทั้งนี้ในแต่ละมื้อควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง อาทิ เฟรนช์ฟรายส์ ขนมหวาน รวมไปถึงเครื่องปรุงเพิ่มรสชาติ เช่น ชีส ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก เป็นต้น

2. เพิ่มจำนวนผักและผลไม้

          ควรเพิ่มจำนวนผักให้มากขึ้นในอาหารแต่ละมื้อที่คุณทานเข้าไปด้วย เพราะผักอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมากมาย ซึ่งนอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานระบบต่าง ๆ ของร่ายกายอีกด้วย และถ้าหากคุณอยากจะทานของหวาน ควรเปลี่ยนจากขนมต่าง ๆ เป็นผลไม้แทนดีกว่า เพราะความหวานไม่ต่างกันเลย แถมผลไม้ยังมีประโยชน์กับร่างกายมากกว่าด้วยล่ะ


3. ทานอย่างละนิด

          ในกรณีที่คุณมีอาหารที่อยากจะกินเต็มไปหมดก็สามารถทานได้ แค่เปลี่ยนวิธีกินให้ถูกต้อง คือ จากการกินอาหารทั้งหมด ปรับเป็นการกินอย่างละนิดอย่างละหน่อยแทน เช่น หากคุณอยากกินเค้ก กินแค่คำสองคำให้ความอยากหายไปก็พอ ส่วนที่เหลือเก็บเอาไว้กินวันอื่น หรือแบ่งให้คนอื่นไปบ้างก็ได้ วิธีนี้นอกจากคุณจะได้กินทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดีเลย 

4. อย่าลืมอาหารเช้า

          อาหารเช้าเป็นมื้อหลักที่คุณไม่ควรลืมอย่างยิ่ง เพราะเป็นมื้อแรกของวันที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ นอกจากนี้อาหารเช้ายังช่วยให้คุณทานอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลงอีกด้วย ทั้งนี้อาหารที่คุณเลือกทานควรเป็นอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เพราะเป็นสารอาหารที่ร่างกายสามารถดูดซับได้ง่ายและสามารถนำไปใช้เป็น พลังงานได้ทันที อย่างเช่น ข้าวโอ๊ต ซีเรียล ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น

5. ดื่มน้ำให้มาก ๆ

          การดื่มน้ำนอกจากจะช่วยให้ผิวของคุณเปล่งปลั่งสวยงามแล้ว ยังช่วงลดความเสี่ยงของสภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งยังช่วยลดความอยากอาหารในแต่ละมื้อได้อีกด้วย ดังนั้นก่อนจะไปปาร์ตี้ฉลองกับเพื่อน ๆ หรือคนในครอบครัว ดื่มน้ำรองท้องไปก่อนสักแก้วสองแก้ว ช่วยให้คุณควบคุมความอยากอาหารได้เยอะเลยล่ะ

 
6. ออกกำลังกาย

          หากคุณไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลยเพราะไม่มีเวลา วันหยุดนี้เป็นโอกาสที่ดีและเหมาะสมกับการเริ่มต้นออกกำลังกายมาก ๆ ส่วนคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว ควรหาเวลาไปออกกำลังกายบ้าง เพราะหากทิ้งระยะไปอาจทำให้คุณขี้เกียจและไม่อยากไปออกกำลังกายอีกเลย ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงวันหยุดนี้นอกจากจะทำให้ร่างกายของคุณแข็งแรงขึ้น แล้ว ยังเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วย

 
7. จำกัดเครื่องปรุง

          อาหารทั่วไปมักจะมีเครื่องเคียงหรือซอสต่าง ๆ มาให้เสมอ อย่างเช่น น้ำสลัด ซอสมะเขือเทศ มายองเนส หรืออื่น ๆ ส่วนขนมหวานก็จะมีท็อปปิ้งหลากสีสันยั่วตายั่วใจให้เพิ่มมากมาย ทั้งนี้คุณไม่ควรหลงใหลและเผลอใจไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะจะทำน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากคุณต้องการจะเพิ่มรสชาติควรเลือกเครื่องปรุงที่มีไขมันต่ำ หรือน้ำตาลน้อยจะดีกว่า

8. งดขนมและของหวาน

          ขนมและของหวานถือเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้คุณควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงหรืองดไปเลย สำหรับคนที่ไปปาร์ตี้คงหลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นควรทานอาหารรองท้องทุกครั้งก่อนจะไปถึงงาน ช่วยลดความอยากอาหารไปได้มากเลยทีเดียว ทีนี้ไม่ว่าอาหารในงานจะน่ากินแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้แน่นอน

9. ผสมเครื่องดื่มทานเอง

          เครื่องดื่มทั่วไปมักจะเต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มซอฟต์ดริ๊งก์ และน้ำผลไม้สำเร็จรูป ทางที่ดีคุณควรทำเครื่องดื่มทานเองดีกว่า เพราะคุณสามารถควบคุมส่วนประกอบต่าง ๆ เองได้ อย่างเช่น น้ำผลไม้สด ที่คุณสามารถจำกัดปริมาณน้ำเชื่อมได้เอง จะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่เลยก็ได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกดื่มได้ตามใจ อีกทั้งช่วยประหยัดเงินด้วย

10. นอนหลับให้เพียงพอ

          ในช่วงวันหยุดผู้คนส่วนมากมักจะเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมในแต่ละวันจนลืมเวลา นอน ซึ่งพฤติกรรมการนอนดึก หรือนอนหลับไม่เพียงพอนี้ทำให้ร่างกายของคุณอ่อนเพลียและรู้สึกหิวมากกว่า ปกติ ทำให้อาหารมื้อดึกที่คุณทานเข้าไปนั้นกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ฉะนั้นเพื่อหุ่นสวยสุขภาพดีของคุณ ควรนอนหลับให้เพียงพอดีกว่า  

          สิ่งที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวันหยุดหรือเทศกาลเท่านั้น แต่คุณยังสามารถนำไปใช้ช่วงชีวิตประจำวันของคุณได้ด้วย ทั้งในวันทำงาน หรือวันที่มีเรียน ซึ่งประโยชน์ที่คุณจะได้รับไม่ใช่แค่เพียงการมีสุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่ยังได้ผิวสวย ๆ หุ่นดี ๆ กลับมาเป็นของขวัญต้อนรับเทศกาลปีใหม่อีกด้วย รู้แบบนี้แล้วอย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, December 24, 2013

7 เคล็ดลับดี ๆ กำราบอาการปวดหัว ในช่วงเทศกาลปีใหม่



       เชื่อไหมว่าช่วงเวลาแห่งความสุขสนุกสนานอย่างปีใหม่นี้สามารถทำให้คุณปวดศีรษะได้ เอ้า...ลอง คิดดูสิคะ การเดินทางที่แสนจะแออัด การเฉลิมฉลองที่แสนดึกดื่น หรือแม้แต่การออกไปช้อปปิ้งเผชิญกับผู้คนมากหน้าหลายตา และต่อแถวจ่ายเงินอันแสนยาวเหยียด เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ก็กระตุ้นอาการปวดหัวของคุณได้แล้ว

          เพราะฉะนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดอันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมึนตึ้บเอาได้ง่าย ๆ ทาง The National Headache Foundation จึงได้แนะนำเคล็ดลับเด็ด ๆ ที่จะช่วยให้คุณไม่ต้องเผชิญกับอาการปวดหัวในช่วงเทศกาลแสนสุขแบบนี้ มาอ่านกันเลย

1. เข้านอน-ตื่นนอนตามเวลาปกติ

          ช่วงปีใหม่แสนสุขอาจทำให้หลายคนเพลิดเพลินไปกับงานปาร์ตี้จนดึกจนดื่น จากปกติที่เคยนอน 4-5 ทุ่ม เที่ยงคืน พอไปเที่ยวปาร์ตี้ก็แบบนี้กว่าจะกลับถึงบ้าน เข้านอนก็เลยไปถึงตี 2-ตี 3 ซะแล้ว กว่าจะตื่นอีกทีก็เกือบ 10-11 โมง (บางคนแฮงก์หนักนอนยาวไปถึงเย็นเลย ><) บางคนนอนไม่หลับอีกต่างหาก อดหลับอดนอนเช่นนี้แล้วอาการปวดหัวเรื้อรังไปจนกระทั่งไมเกรนก็คงจะถามหาเอาได้ง่าย ๆ โดย เฉพาะกับคนที่เคยมีอาการแบบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น พยายามจัดสรรเวลานอน และตื่นให้ใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติที่สุด อย่าให้ดึกเกินไปกว่าที่คุณเข้านอนเป็นประจำ หรืออย่าตื่นสายจนผิดปกติจากที่คุ้นเคย

2. จัดตารางเวลาอาหารให้ตรง

          นอกจากการนอนและตื่นที่ควรจะตรงตามเวลาเดิมแล้ว การรับประทานอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันนะจ๊ะ เพราะในช่วงเทศกาลแบบนี้ หลายครอบครัวเดินทางไปท่องเที่ยวเผชิญกับการจราจรที่ติดขัดบนท้องแน่น ร้านอาหารก็คนแน่น รวมทั้งสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างทริปของคุณจนทำให้คุณพลาดอาหารในบางมื้อไป หรือกว่าจะได้ทานก็เลยเวลาปกติที่ต้องทานไปหลายชั่วโมงซะแล้ว แบบนี้อาการปวดหัวถามหาเอาได้เหมือนกันนะ

          ถ้าใครคิดว่าน่าจะเจอปัญหาเช่นนี้ระหว่างทาง แนะนำให้พกอาหารว่าง ของทานเล่นที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพติดตัวไปด้วย ถึงเวลาเมื่อไหร่ถ้าไม่มีวี่แววได้ทานอาหารมื้อใหญ่ก็หยิบขึ้นมารองท้องก่อนดีกว่า จะได้ไม่โมโห (หิว) จนอาการปวดศีรษะมาเยือนไงล่ะ

3. ระวังเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่ก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้คุณปวดหัวเอาได้ง่าย ๆ เช่นกัน ยิ่งช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองแบบนี้ หลายคนลืมตัวดื่มเสียเยอะจนเมาค้าง เอาเถอะค่ะ เราเข้าใจว่าช่วงเทศกาลแบบนี้ก็คงต้องมีดื่มสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง แต่ขอให้นึกไว้เสมอว่า ดื่มได้นะแต่ต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ หรือค่อย ๆ จิบเครื่องดื่มนั้นอย่างช้า ๆ มันจะช่วยให้คุณดื่มน้อยลง

          อ้อ...นอกจากนี้ คุณอาจเลือกเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของผัก หรือผลไม้ลงไปด้วยก็เข้าท่า (อย่างพวกบลัดดีแมรี) จะช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นได้มากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียว ๆ และสำหรับคนที่มักเป็นไมเกรน ควรเลี่ยงไวน์แดงซะ แต่ถ้าต้องดื่ม ก็อาจเลือกดื่มไวน์ขาวแทนดีกว่า

4. อาหารก็ทำให้ปวดหัวได้

          อาหารแต่ละจานในงานปาร์ตี้ช่างเย้ายวนใจเป็นที่สุด แต่รู้ไหมว่าอาหารที่น่าชิมพวกนั้นบางชนิดกระตุ้นอาการปวดศีรษะได้ด้วย อย่างเช่น ripened cheese (เนยที่ผ่านการบ่ม), ช็อกโกแลต และเนื้อแปรรูปทั้งหลาย นอกจากนี้อาหารที่ใส่ผงชูรส และสารให้ความหวานจำพวกแอสปาร์แตม รวมทั้งกาแฟ ชา และน้ำอัดลมก็ทำให้คุณรู้สึกปวดศีรษะได้เช่นกัน ดังนั้น คิดให้ดีก่อนจะทานอะไร

5. สารพัดกลิ่นชวนปวดหัว

          เมื่อยืนอยู่ในฝูงชนคนมาก ๆ แน่นอนว่า "กลิ่น" ก็เป็นอีกสิ่งที่กระตุ้นอาการปวดหัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของสารพัดน้ำหอมที่พัดมาปะทะจมูกของเรา กลิ่นยางไม้จากต้นไม้ในฤดูหนาว รวมทั้งกลิ่นบุหรี่ที่เชื่อเถอะว่าต้องมีคนสูบภายในงานปาร์ตี้แน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนแพ้เหล่านี้ก็พยายามเลี่ยงอยู่ในกลุ่มคนมาก ๆ ซะ โดยเฉพาะกลิ่นบุหรี่ที่เพียงลมโชยมาเข้าจมูกเรานิดเดียวก็ทำให้คนแพ้บุหรี่ ปวดหัวได้แล้ว ดังนั้น ยืนอยู่ในพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่ หรือไปยืนให้ไกล ๆ จากโซนที่อนุญาตให้สูบบุหรี่จะดีกว่า

6. พกยาแก้ปวดหัวติดตัวบ้าง

          ใครที่วางแผนจะไปท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ เตรียมใจไว้เลยว่าคุณกำลังจะไปเผชิญกับคนหมู่มาก และสภาพการจราจรที่แออัด ซึ่งจะทำให้แผนการเดินทางของคุณต้องล่าช้าออกไป แม้กระทั่งเครื่องบิน เรือ รถก็อาจดีเลย์ได้อย่างไม่น่าแปลกใจ ยิ่งบางคนจัดตารางเวลาแสนกระชั้นชิด กลัวว่าถ้าจุดนี้ช้า จุดต่อไปก็ต้องช้า เวลาช้าไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ทำเอาหลายคนเครียดจนปวดหัวได้เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น พกยาแก้ปวดติดตัวไว้บ้างก็ดี เกิดเจอสถานการณ์แบบนี้ขึ้นจะได้ไม่ปวดหัวจนเสียอารมณ์อยากเที่ยวไงล่ะ

7. ใช้เวลาพักผ่อนที่บ้านกับครอบครัวแทน

          หากการเดินทางในช่วงปีใหม่ หรือไปสังสรรค์ยามดึกอาจทำให้คุณรู้สึกปวดหัว ถ้าเช่นนั้นก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านดีกว่าค่ะ ใช้ เวลาว่าง ๆ พักผ่อนกับครอบครัว เล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด นอกจากจะไม่ปวดหัวแล้ว ยังดีต่อสุขภาพจิตด้วย หรือใครจะหากิจกรรมอะไรทำร่วมกับครอบครัว เช่น ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูจัดบ้านต้อนรับปีใหม่ ช่วยกันทำอาหารในมื้อพิเศษ หรือออกไปเดินเล่น ไปปั่นจักรยานด้วยกันในละแวกบ้านแบบที่ไม่ต้องไปเจอกับผู้คนมากมายที่อยากท่องเที่ยวพร้อม ๆ กัน เท่านี้ คุณก็ไม่ต้องปวดหัวแล้วล่ะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


Monday, December 23, 2013

7 วิธี ทำให้ตื่นเช้า ไม่ไปทำงานสาย




วิธีการฝึกให้คนตื่นเช้า
 
            1. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม อย่าเปลี่ยนเวลานอนอย่างฮวบฮาบ ลองตื่นให้เร็วขึ้นกว่าเดิมสัก 15 นาที เป็นเวลา 2-3 วันก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยตื่นให้เร็วขึ้นอีก 15 นาที ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะสามารถตื่นได้ตามเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้
 
            2. นอนให้เร็วกว่าเดิมสักนิด หลายๆคนคงจะชินกับการนอนดึกๆ เนื่องจากติดทีวี หรือไม่ก็ติดอินเตอร์เน็ต แต่การกระทำเช่นนี้ควบคู่ไปกับการตื่นเช้ากว่าเดิม จะทำให้ไม่ไหว สุดท้าย อาจจะถึงขั้นต้องกลับไปเริ่มต้นฝึกตื่นเช้ากันใหม่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ง่วง ผมขอแนะนำให้ลองเข้านอนไปก่อน และถ้ายังไม่หลับ ก็ให้อ่านหนังสือไปด้วยเลย แล้วคุณจะพบว่ามันช่วยให้หลับง่ายขึ้นเยอะ
 
            3. ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ไกลๆ ถ้าวางนาฬิกาปลุกไว้ใกล้ๆ เวลามันดัง เราก็จะปิดมันได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเราลองวางไว้ให้ไกลจากเตียงสักหน่อย เราก็ต้องลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปกดปุ่มปิด ในเมื่อลุกขึ้นมาแล้ว คนส่วนใหญ่ก็คงไม่คิดจะกลับไปนอนอีก (อาจจะมีข้อยกเว้นนะครับ)

 
            4. ออกจากห้องนอนให้เร็วที่สุดหลังจากปิดนาฬิกาปลุกแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวคุณเริ่มคิดได้ว่า \"เออ! ไปนอนดีกว่า\" โดย ส่วนตัวแล้ว ต่อให้ต้องคลาน ผมก็จะทำและควรจะทำให้มันเป็นอัตโนมัติซะ ผมจะรีบออกจากห้องนอนแล้วไปเข้าห้องน้ำให้เร็วที่สุด หลังจากที่ได้ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน เรียบร้อย ผมก็จะพบว่าตัวเองได้ตื่นเต็มที่เรียบร้อย
 
             5. หาเหตุผลดีๆ สักข้อ กำหนดอะไรบางอย่างสำคัญๆ ที่จะต้องทำในเวลาพิเศษที่ได้รับ มันจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นจากเตียงได้ โดยส่วนตัวแล้ว เหตุผลของการตื่นนอนเช้าๆ ของผม คือ การได้ใช้เวลาเขียนหนังสือ และเท่าที่ผ่านมา มันทำให้ผมตื่นเช้าได้ทุกวันเลยทีเดียว
 
             6. ใช้เวลาที่ได้รับเพิ่มนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าใช้เวลาที่เยอะแยะนี้ทำอะไรแค่อย่างเดียว หลังจากนั้นก็นั่งอยู่เฉยๆ (ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี) เพราะมันจะทำให้กลับไปนอนอีกครั้ง ตัวผมเอง นอกจากจะเขียนหนังสือแล้ว ผมยังใช้เวลาในตอนเช้าวางแผนสิ่งที่ผมคิดจะทำในวันนี้ เตรียมอาหารให้ลูกๆ ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ฯลฯ หลังจากที่ตื่นมาจนถึง 6 โมงครึ่ง ผมได้ใช้เวลาทำอะไรเยอะแยะมากมายมากกว่าตัวผมในอดีต (ตอนที่ยังตื่นสาย) ใช้เวลาทำงานทั้งวันซะอีก

          
             7. ให้รางวัลตัวเองกับการตื่นนอนตอนเช้า ตอนแรกๆ มันอาจจะดูเหมือนกับว่าการตื่นเช้าเป็นการบังคับตัวเองให้ทำอะไรที่ยากแสนยาก แต่มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป ถ้าเรากำหนดรางวัลให้กับความพยายามนี้ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนอาจจะได้ใช้เวลานี้อ่านนิยายที่ตัวเองชอบ บางคนอาจจะได้ใช้เวลานี้ทำอาหารเช้าระดับพระราชาให้ตัวเอง บางคนอาจจะใช้เวลานี้นั่งสมาธิ ไม่นานหรอกครับ การตื่นเช้าก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันได้อย่างสบายๆ


แหล่งที่มา  กองแผนงาน สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, http://plan.msu.ac.th/kmplan/KMDetails.php?stat=read&kmid=225&group=1
 เครดิตภาพ  https://uk.pinterest.com/pin/547961479639309685/