Wednesday, April 30, 2014

ทำอย่างไรให้รู้สึกประทับใจ เมื่อแรกพบ


         คนโบราณชอบพูดคำว่า "ถูกชะตา" ประมาณว่าแค่ได้เห็นหน้าก็รู้สึกสนิทสนมชอบพอ สมัยนี้มีคำว่า First Impression หรือ "ความรู้สึกประทับใจเมื่อแรกพบ" เป็นคำคำเดียวกัน และมีความหมายที่อธิบายได้ไม่แตกต่างกัน

          ใคร ๆ ก็ต้องการเช่นนี้ไม่ใช่หรือคะ เมื่อต้องไปเจอใครก็อยากให้เขาชอบเรา และหากชอบเสียตั้งแต่แรก ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสานความประทับใจนั้นให้ยืนยาวและแน่นแฟ้นต่อไป มีความหมายต่อการดำรงชีพ อาชีพ และการได้พบกับมิตรแท้ในชีวิต เราจะสร้างความน่าประทับใจในยามแรกพบ (กับผู้อื่น หรือผู้อื่นมาพบ) ได้อย่างไร ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำง่าย ๆ ค่ะ

1. สร้างความประทับใจผ่านการสื่อสาร

          คือ การใช้คำพูด อากัปกิริยา สีหน้า และท่าทีที่ดีต่อคนอื่น เพื่อการสื่อสารที่ดี มีความหมาย ให้เกียรติ และมีเสน่ห์ โดยการใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม ถูกจังหวะ เวลา และรู้ว่ากำลังพูดเพื่ออะไร เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และเพื่อสร้างสัมพันธ์

          ความสำคัญของการพูดจาให้เกิด First Impression อยู่ที่ประโยคแรกคือ การทักทาย หรือประโยคเปิดบทสนทนา  เช่น "สวัสดีครับ" ในน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง ก็ทำให้ผู้ที่ได้รับฟังแล้วรู้สึกดี หรือ "ขอโทษครับที่ต้องรบกวน" ซึ่งผู้ฟังจะรู้สึกได้ถึงการเข้าหาอย่างอ่อนน้อม และความมีมารยาทของผู้พูด หากประกอบไปกับสีหน้าที่เป็นมิตร เปิดเผย จริงใจ และความยิ้มแย้มแจ่มใส คุณก็จะโกยคะแนนนิยมไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว ทำให้ประโยคเป้าหมายที่จะพูดต่อไปบรรลุวัตถุประสงค์ได้ง่ายขึ้น คนที่ฟังคุณอยู่ก็รู้สึกดีที่จะพูดด้วยหรือฟังคุณต่อไป

2. สร้างความประทับใจผ่านการปรับตัว

          คือ การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นให้ได้ ซึ่งวิธีง่ายที่สุดก็คือ เพิ่มรอยยิ้มบนใบหน้า การยิ้มให้ก่อน เป็นการเปิดทาง และเปิดโอกาสให้กับตนเอง รวมไปถึงเป็นการเปิดใจหรือเปิดพื้นที่ให้แก่อีกฝ่ายได้เข้ามาพบกันครึ่งทาง ด้วยรอยยิ้มนับเป็นสัญลักษณ์ของความรู้สึกดี ๆ และเป็นสิ่งแรกที่คนเราจะหยิบยื่นให้แก่กันได้ โดยไม่ต้องลงทุน แต่ให้ผลตอบแทนสูง เพราะแสดงออกถึงความเป็นมิตร ทำให้คนอยากพูดคุย อยากคบหาด้วย

          สำหรับคู่หนุ่มสาวแล้ว รอยยิ้มของชายหนุ่มที่มอบให้หญิงสาวก่อน ยังถือว่าเป็นการเปิดฉากสัมพันธภาพที่ดีที่สุด เท่ากับได้แง้มประตูหัวใจเธอเอาไว้แล้ว โอกาสต่อจากนี้ย่อมขึ้นอยู่กับวาทศิลป์ และความสามารถเฉพาะตัว ส่วนหญิงสาวก็เปิดยิ้มแก่หนุ่ม ๆ ได้ แต่ต้องระมัดระวังว่ายิ้มนั้นมีความหมายใด เพราะง่ายต่อการถูกตีความไปในทางไม่สมควร จึงควรยิ้มแบบปกติธรรมดาที่สุด ยิ้มทายทัก มิใช่ยิ้มบอกรักนะคะ

          เมื่อเริ่มต้นจากการที่คนสองคนปรับตัว เปิดประตูเข้าหากันแล้ว การปรับตัวในระยะถัดมาก็ยังนับว่ามีความสำคัญอยู่ และสำคัญยิ่ง เป็นสิ่งที่ต้องสานต่อด้วยนะคะ

3. สร้างความประทับใจผ่านการแต่งกาย

          การแต่งกายให้เหมาะสมกาลเทศะนับเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราจะต้องแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ คำนึงถึงความสะอาดของเสื้อผ้า การให้เกียรติกับกิจกรรมที่เข้าร่วม ให้เกียรติกับเจ้าของงาน ให้เกียรติกับสถานที่ เช่น เมื่อคุณไปสมัครงาน หรือพบลูกค้า ก็ควรแต่งกายสุภาพกับตำแหน่งอาชีพที่ไปสมัคร ตัวอย่าง งานด้านการขาย หรืองานเกี่ยวกับธุรกิจ คุณสุภาพบุรุษควรเลือกเสื้อเชิ้ตสีอ่อน หรือ ฟ้าอ่อน กางเกงสีเข้มเข้ากับเสื้อสีดำ น้ำเงิน น้ำตาลเป็นพื้นฐาน ผูกเนคไทที่สีสันไม่ฉูดฉาดเกินไป หรือนัดหมายลูกค้าก็สมควรเน้นการแต่งกายสุภาพ ภูมิฐาน น่าเชื่อถือ

          งานสังสรรค์เพื่อนฝูงก็แต่งสบาย ๆ ผ่อนคลายเป็นกันเอง หรือจะไปจีบหญิงก็อย่าปล่อยตัวแบบ "ผมเป็นผมเอง" จนเกินไปนัก แทนที่จะได้สมรักเธออาจพลันหายไปในเวลาต่อมาก็เป็นได้ เป็นต้น การแต่งกายจึงเป็นภาษากายที่มีความหมายลึกซึ้ง และมีส่วนสำคัญในการสร้างความประทับใจในยามแรกพบด้วยเช่นเดียวกัน

4. สร้างความประทับใจผ่านการเดินและการเคลื่อนไหว

          การเดินอย่างสง่างาม เป็นเรื่องที่ดี และเป็นภาพที่แสนจะดึงดูดใจทั้งในสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี แต่เท่าที่พบมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ไม่สนใจกับท่าทางการเดินของตัวเอง ตรงข้ามกับผู้หญิงที่ค่อนข้างจะระมัดระวังกิริยาท่าทาง การวางตัว เมื่อเกิดเป็นผู้ชายก็ควรผึ่งผาย สวมมาดชายชาตรีให้สมศักดิ์ศรี เวลาเดินก็ควรอกผายไหล่ผึ่ง บางคนกังวลกับความสูงของตนเองเวลาเดินเลยหลังค่อม ห่อไหล่ ไม่น่าดู

          ส่วนลักษณะการเดินก็ควรเดินในระดับความเร็วพอดี ๆ ไม่ใช่เดินเร็วจนคนที่เดินด้วยต้องวิ่งตาม หรือเดินช้าจนน่ารำคาญ อย่าลืมว่าเดินให้สมาร์ทมักจะเป็นที่จับตาของผู้คนมาแต่ไกล และต้องไม่ลืมอีกด้วยว่าท่าทางการเดินสามารถเผยถึงบุคลิกของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี  เช่น คนเดินช้า ก้มหน้าก้มตา แสดงว่าเป็นคนที่ขาดการตัดสินใจ คนเดินเร็วและขาห่างกัน มักจะเป็นคนเปิดเผย คิดเร็วทำเร็ว ขาดความรอบคอบ คนที่เดินอย่างมีมาดสง่างาม ส่วนใหญ่สุขุมนุ่มลึก ส่วนใหญ่จะพบเห็นได้เสมอในหมู่นักบริหาร

5. สร้างความประทับใจผ่านการพูดจา

          เมื่อได้ทักทายได้รู้จักกันแล้ว แน่นอนทีเดียวว่าการสนทนา การพูดจา แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกันย่อมเกิดขึ้น ใครต่อใครหลายคนชอบเป็นคนพูดมากกว่าเป็นคนฟัง และเขามักอยากให้อีกคนสนุกที่จะฟังและพูดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ โปรดใช้ธรรมชาติข้อนี้ของความเป็นปุถุชนให้เป็นประโยชน์ในการสร้างความประทับใจเถิดค่ะ

          พยายามชวนคุยด้วยคำถามปลายเปิด ซึ่งเขาสามารถตอบและขยายความได้มากมาย เช่น การงานที่เขาทำ คุณอาจแสดงความอ่อนน้อม ถ่อมตัวว่าคุณยังต้องการเรียนรู้และฝึกฝนประสบการณ์อีกมาก ขอคำแนะนำจากเขา  แสดงความกระตือรือร้นที่จะได้ฟังประสบการณ์ในการเป็นนักทำงานของเขา เช่นนี้แล้วการสนทนาก็ย่อมจะออกรสชาติ ฝ่ายหนึ่งได้เล่าเรื่องอย่างภูมิใจ อีกฝ่ายก็เป็นผู้ฟังที่น่ารัก กระตือรือร้นต่อการฟังและซักถามประปรายอย่างผู้ใส่ใจต่อการเรียนรู้จริงๆ  ทั้งประโยชน์และความสุขก็เกิดขึ้นจริงในวงสนทนา

          ทั้ง 5 ประการ ที่ว่ามานี้ เป็นพื้นฐานขั้นต้นในการสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่เราทุกคนต้องพบปะ หรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่เราสามารถปฏิบัติได้ง่ายมาก ๆ จริงไหมคะ แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดไม่ถึงเรื่องการเสริมเสน่ห์ในบุคลิกภาพที่น่าสนใจนั้นยังมีอีกมาก ขอเพียงท่านผู้อ่านเห็นความสำคัญ ติดตาม และฝึกฝนอย่างละเอียดอ่อน ไม่นานหรอกค่ะ คุณจะเป็นผู้หนึ่งที่ทุกคนกล่าว ถึงในทางชื่นชมว่าเป็นแบบอย่างของคนที่มีบุคลิกภาพดีเป็นเลิศ


แหล่งที่มา  First, http://women.kapook.com/view13693.html



Saturday, April 26, 2014

อากาศร้อน อย่าร้อนใจ ดูแลสุขภาพจิต-กาย กันเถอะ




         อากาศร้อน ๆ ทำคนเครียดง่ายขึ้น ถ้าไม่อยากร้อนใจตาม ต้องหาทางจัดการความเครียด รับมือปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพใจด่วนเลย

          ร้อน ร้อน ร้อน...ทำไมอากาศถึงได้ร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาอบขนาดนี้เน้อ ยิ่งร้อนกายขึ้นมากเท่าไร ปัญหาสุขภาพก็ตามมาเป็นโขยง ที่ต้องระวังให้มากที่สุดก็คือ โรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก (Heat Stroke) เพราะเป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิตจากความร้อนได้เลย แต่ไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพทางกายเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากความร้อน เพราะปัญหาสุขภาพจิตสุขภาพใจก็ต้องระวังไม่แพ้กัน

          โดย นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้ข้อมูลว่า นอกจากความร้อนจะกระทบต่อสุขภาพกายแล้ว อากาศร้อนยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอีกด้วย ที่เห็นได้ชัด คือ จะทำให้หงุดหงิดง่ายขึ้น ส่งผลให้มีความทนทานต่อความเครียดน้อยลง เมื่อมีอะไรมากระตุ้นกับจิตใจก็จะทำให้เครียดง่ายกว่าปกติ และอาจเกิดการตัดสินใจที่ไม่ได้ยั้งคิดต่าง ๆ ตามมา เกิดการกระทบกระทั่ง ทะเลาะเบาะแว้ง และเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น ผู้ที่มีประวัติการใช้ความรุนแรง จึงต้องให้ความระวังเป็นพิเศษ

          อย่างไรก็ตาม อากาศร้อนไม่มีผลต่อจำนวนการเจ็บป่วยทางจิตที่มากขึ้น เป็นเพียงตัวกระตุ้นหรือเพิ่มความเครียดเดิมที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้นมากกว่า ซึ่งหากจัดการความเครียดที่มีอยู่รอบตัวไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว การทำงาน ความรัก เมื่อมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศร้อนย่อมจะเพิ่มความเครียดให้สูงขึ้นได้

 
          สำหรับวิธีการรับมือปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพใจที่เกิดจากสภาพอากาศที่ร้อนนั้น กรมสุขภาพจิต ก็มีคำแนะนำต่อไปนี้

         
ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำเป็นระยะเวลานาน ๆ ควรดื่มน้ำให้มากเพียงพอต่อวัน รวมทั้งระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหาร ทานอาหารที่ทำสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดร้อน หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

         
หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดด หรืออยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนสูง โดยเฉพาะเวลา 11 โมงเช้า บ่าย 3 โมง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน

         
สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก สวมหมวก/กางร่ม ใช้ครีมกันแดด เมื่อออกสู่ที่แจ้ง เพื่อลดการเผาไหม้ของแสงแดดสู่ผิวหนัง

         
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากสภาพอากาศในตอนกลางวันจะทำให้เหนื่อยง่าย เสียเหงื่อ และเสียพลังงาน ทำให้ไม่ค่อยสดชื่น สมองไม่ปลอดโปร่ง

         
รู้เท่าทันความเครียดของตนเอง โดยสังเกตได้จากการเริ่มมีอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หายใจไม่ค่อยอิ่ม อาการทางจิตใจ เช่น ว้าวุ้น สมาธิไม่ค่อยดี หงุดหงิด สับสน คิดอะไรไม่ออก ถ้ามีอาการเหล่านี้อยู่ แสดงว่ามีความเครียด จำเป็นต้องหาทางจัดการความเครียดให้ได้ เช่น การออกกำลังกาย ทำสมาธิ  โยคะ ทำงานอดิเรก ปลูกต้นไม้ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่เพลิดเพลิน เพื่อพักสมองจากความเครียดต่าง ๆ ยิ่งเครียดมากเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิตได้

         
ฝึกคิดบวก เช่น มองว่าอากาศร้อนทำให้ครอบครัวมีความสุข เนื่องจากไม่มีใครอยากออกไปรับสภาพอากาศที่ร้อนนอกบ้านโดยไม่จำเป็น ทำให้มีเวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น ได้พบปะพูดคุย ทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกในครอบครัวมากขึ้นกว่าปกติ ฯลฯ

         
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้ร้อนข้างในร่างกาย แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็ว และจะเพิ่มแรงดันเลือดให้สูงขึ้นกว่าช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นหรือในช่วงที่มีอากาศปกติ โดยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำรุนแรง อาจทำให้ช็อกหมดสติ และมีโอกาสเสียชีวิตได้ รวมทั้งทำให้ควบคุมสติไม่อยู่และอาจทำให้มีอาการประสาทหลอนตามมาได้

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Friday, April 25, 2014

ยิ่งช้อปปิ้ง ยิ่งมีความสุข ! เรื่องจริงที่คุณคาดไม่ถึง




          พอใกล้สิ้นเดือนเข้ามาทุกที สาว ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอเงินเดือนกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะได้เตรียมแฟชั่นใหม่ เทรนด์ใหม่ สำหรับการช้อปปิ้งในเดือนนี้เอาไว้แล้ว เรียกว่าสืบมาหมดว่าอะไรอิน อะไรเอาท์ อย่างนี้เรียกว่า สาวนักช้อปตัวจริงเลยก็ว่าได้

          แต่พอพูดถึงการช้อปปิ้ง สาว ๆ รู้ไหมคะ ว่าจริง ๆ แล้วการช้อปปิ้งถือเป็นเครื่องมือสุขภาพอย่างหนึ่งของเรา เพราะการช้อปปิ้งนั้น ส่งผลไปถึงทางด้านจิตใจอีกด้วย จะมีอะไรบ้างเราลองมาดูกัน

รู้สึกเหมือนถูกรางวัล

          ยังไงน่ะหรือ...สาว ๆ เคยเดินผ่านร้านแบรนด์เนมที่แปะป้าย SALE กันไหมล่ะคะ ยิ่ง SALE เยอะเท่าไหร่ เหมือนกับถูกแม่เหล็กจากร้านเหล่านั้นดูดวิญญาณเข้าไปเลยทีเดียว

          ยังค่ะ ยังไม่พอแค่นั้น แล้วเมื่อเราเดินหาของที่ถูกใจ เห็นจากราคาเต็มแล้วจะรู้สึกเหมือนถูกรางวัล มันช่างถูกอะไรอย่างนี้ ยิ่งสภาพดีเกือบ 100% ด้วยแล้ว เรียกว่าพอจ่ายเงินเสร็จ เดินออกมาจากร้านก็เชิด ๆ ได้เลยค่ะ เพราะเราได้ของชิ้นโปรดที่ถูกมาก ๆ ไปแล้ว ส่วนสาว ๆ คนอื่นที่รอต่อคิวอยู่ด้านนอก ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

จิตใจพองโต

          สาว ๆ จะรู้สึกอิ่มเอมไปกับการช้อปปิ้ง ยิ่งถ้าได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรืออะไรก็ตามที่ถูกใจ ยิ่งใส่ก็ยิ่งสวย ยิ่งใส่ก็ยิ่งดูดีแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าเราจะมีความสุขไปกับมันอย่างคาดไม่ถึง จะรู้สึกภูมิใจ ว่าเราช่างเหมาะกับชุดนี้เสียเหลือเกิน ยิ่งใส่ก็ยิ่งสวย คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ซื้อมา เป็นต้นค่ะ

แถมสุขภาพดี มิตรสัมพันธ์อันสดใส

          การช้อปปิ้งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง สาว ๆ รู้ไหมคะว่าช่วยเผาผลาญไขมันได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งสาว ๆ คนไหนเดินได้นาน พอออกมาจากแหล่งช้อปปิ้งนั้น เรียกว่า หุ่นดีกันเลยทีเดียว พอสุขภาพดีแล้ว แน่นอนส่งผลถึงจิตใจเป็นแน่

          นอกจากนั้น หากสาว ๆ ได้ไปช้อปปิ้งกับเพื่อน ๆ ก็ยิ่งสานสัมพันธ์ให้ยาวนานอีกด้วย มีกิจกรรมทำร่วมกัน ช่วยกันแชร์ความคิด ประสบการณ์ และเทคนิคต่าง ๆ ให้กัน

ได้ผ่อนคลายความเครียด

          สาว ๆ อย่างเราย่อมมีเรื่องทุกข์ใจบ้าง จะอกหัก เจ้านายไม่รัก เพื่อนทิ้ง หรืออะไรก็ตาม เพียงแต่ได้ออกมาช้อปปิ้ง ก็เปรียบเสมือนออกมาเจอโลกอีกใบ เปลี่ยนสภาพจิตใจตัวเองให้สนุก ลืมความทุกข์ และเรื่องเครียดไปได้มากเหมือนกัน

  
          มีข้อมูลจากหนังสือ Sheconomics พลิกชีวิตการเงินแบบเศรษฐศาสตร์ ที่ได้นำเสนอกฎ 7 ข้อเพื่อการควบคุมการใช้จ่ายเงินด้วยอารมณ์ของคุณผู้หญิง

         
1. รู้จักควบคุมอารมณ์ (Take Emotional Control) เพราะหากเราตระหนักและเข้าใจถึงบทบาทของอารมณ์ เราจะเริ่มควบคุมมันได้

         
2. ก้าวข้ามความเชื่อเดิม ๆ (Go beyond Beliefs) ที่ว่าการช้อปปิ้งจะช่วยให้รู้สึกดีกับเรื่องต่าง ๆ ขึ้นได้

         
3. คุมเงิน และอย่าให้เงินคุมเรา (Spend with Power) ตัดสินใจทางการเงินโดยยึดหลักเหตุผล และไม่ต้องพยายามตอบสนองความต้องการของผู้อื่น

         
4. มีเป้าหมาย (Have Goals) ตั้งเป้าในการใช้จ่ายเงินกับของใหญ่ ๆ เช่น วางแผนท่องเที่ยว จะเป็นกำไรชีวิตที่ดีกว่า

         
5. เผชิญหน้ากับหนี้ (Look Debt in the Face) กล้าเผชิญความจริง และวางแผนระยะยาวเพื่อจ่ายคืนให้หมด

         
6. หาเพื่อนคู่คิดทางการเงิน (Share Financial Intimacies) เพื่อปรึกษา แลกเปลี่ยนหรือพูดคุย เพื่อปรึกษาและระบาย

         
7. ตระหนักถึงวันพรุ่งนี้ (Know Tomorrow Comes) ใช้จ่ายอะไรก็ตาม อย่าลืมคิดถึงวันพรุ่งนี้ด้วย

 
          เห็นแบบนี้แล้วบอกได้ว่า ใครว่าการช้อปปิ้งไร้ประโยชน์ สิ้นเปลือง แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ได้มา ก็คุ้มเหมือนกันนะคะ แต่อย่างไรก็ดี รู้จักใช้ รู้จักประมาณตนในการช้อปปิ้งก็สำคัญที่สุดค่ะ หากวันไหน เวลาใดสภาพการเงินเรายังไม่พร้อม ก็พักบ้างนะคะ ทุกอย่างล้วนมีคุณและโทษ อยู่ที่เราจะเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษนั่นเอง

แหล่งที่มา  Womanplus, http://health.kapook.com/view86636.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Thursday, April 24, 2014

7 ประโยชน์ดี ๆ ของการตื่นเช้า ที่คุณอาจคาดไม่ถึง !




         การตื่นเช้าดีอย่างไร เราจะได้ประโยชน์อะไรจากการตื่นเช้าเป็นประจำบ้าง เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้กันคร่าว ๆ บ้างแล้ว แต่วันนี้ขอย้ำให้คุณ ๆ รู้ชัด ๆ อีกทีค่ะ
           
          เคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมบางคนถึงชอบนอนดึก ตื่นสาย แต่กับบางคนก็มักจะนอนตั้งแต่หัวค่ำ และสะดุ้งตื่นตอนเช้าเป็นประจำ นั่นก็เพราะว่า ในร่างกายของเรานั้นมีนาฬิกาชีวิตซ่อนอยู่ และนาฬิกาชีวิตที่ว่านี่ล่ะค่ะ ที่เป็นตัวกำหนดให้ร่างกายมีจังหวะเวลาสำหรับทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเวลาไม่เท่ากัน บ้างมีมากกว่า 24 ชั่วโมง หรือบางคนอาจจะมีน้อยกว่า 24 ชั่วโมงในแต่ละวัน เป็นเหตุให้เวลานอนหลับ เวลาตื่น เวลาทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไป

          และไม่ใช่แค่กิจวัตรประจำวันเท่านั้นนะคะที่ไม่เหมือนกัน แต่ผลวิจัยจากหลายสถาบันที่เว็บไซต์ Huffington Post เขานำมาบอกต่อ ก็ยังบอกอีกด้วยว่า คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำ จะได้ประโยชน์ดี ๆ ในชีวิตอีกตั้ง 7 ข้อ ซึ่งคนนอนดึกตื่นสายไม่มีเอี่ยวในเรื่องดี ๆ เหล่านี้เลยสักนิดจ้า

 
 

1. คนตื่นเช้ามีแนวโน้มแฮปปี้มากกว่า
           
          มีการวิจัยที่สามารถตั้งเป็นข้อสังเกตได้ว่า คนที่ตื่นเช้า (ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุไหนก็ตาม) มีแนวโน้มจะอารมณ์ดี มีความสุขมากกว่าคนที่นอนดึกตื่นสาย ด้วยคำอธิบายที่ว่า ระยะเวลาตั้งแต่ 9.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปสำหรับคนที่นอนดึก ร่างกายของคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จะไม่สามารถคงความตื่นตัว และกระปรี้กระเปร่าได้ไหว ผิดกับคนที่เข้านอนเร็ว และตื่นเช้าเสมอ บุคคลกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตในช่วงเวลา 9.00-17.00 น. ได้อย่างรื่นเริง และเต็มประสิทธิภาพมากกว่าเยอะเลยล่ะค่ะ

 
 
2. ผลการเรียน และคุณภาพของงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
           
          จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเท็กซัสแสดงให้เห็นว่า เด็กนักเรียนอาสาสมัครกลุ่มที่ตื่นเช้าเป็นประจำ จะสามารถทำแบบทดสอบและมีผลการเรียนที่กระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากนักเรียนกลุ่มที่นอนดึกตื่นสาย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็อธิบายง่าย ๆ เลยว่า ร่างกาย และสมองของเราต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อการทำงานที่เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้นคนที่นอนเร็ว ตื่นเช้า (นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ตามระบบนาฬิกาชีวิตในร่างกาย) จึงมีสมองและร่างกายที่พร้อมรับข้อมูลข่าวสาร และสามารถประมวลผลได้ดีกว่าคนที่นอนหลับไม่พอนั่นเอง

 
 
3. รู้สึกตัวตื่นได้เองโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก
          
          กิจวัตรประจำวันของหลายคนอาจจะเป็นการกดปุ่มเลื่อนเวลาปลุกของนาฬิกาใช่ไหม คะ ซึ่งเหตุการณ์ต่อมาก็คงไม่พ้นตื่นสาย ต้องรีบร้อนอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน หรือทำงาน แถมพลาดอาหารเช้ามื้อสำคัญเป็นประจำ เป็นสัญญาณสุขภาพที่ไม่ดีเลยจริง ๆ  แต่ถ้าคุณเปลี่ยนพฤติกรรมมานอนให้เร็วขึ้น ตื่นให้เช้ากว่าเดิมจนเคยชิน เช้าวันไหน ๆ ก็ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกให้แสบหูอีกเลยล่ะ นอกจากนี้คุณก็จะรู้สึกมีพลัง กระฉับกระเฉงขึ้นด้วยจ้า


4. สมองปลอดโปร่ง พร้อมรับทุกสถานการณ์
           
          ในขณะที่คนขี้เซานอนคลุมโปงหลบแสงอาทิตย์อยู่บนเตียง คนที่ตื่นเช้ามักจะได้เริ่มต้นกิจวัตรประจำวัน พร้อมทั้งทำกิจกรรมต่าง ๆ ไปได้หลายรายการแล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่า คนที่ตื่นเช้าได้กำไรชีวิตมากกว่าเห็น ๆ แถมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังแอบกระซิบมาด้วยนะ ว่าคนที่ตื่นมารับอากาศบริสุทธิ์ในตอนเช้า จะมีสมองที่ปลอดโปร่ง เพราะร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่ อีกทั้งยังมีเวลาเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าคนนอนตื่นสายตั้งเยอะ

 
 
5. พัฒนาทัศนคติด้านดี
           
          มีผลงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติกลุ่มอาสาสมัครที่ตื่นเช้า โดยนักวิจัยพบว่า คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำ จะมีสมองที่พร้อมประมวลข้อมูลอย่างเต็มที่มากกว่า รวมทั้งความกระฉับกระเฉง และความกระตือรือร้นต่อสิ่งต่าง ๆ ก็จะกระเตื้องขึ้นด้วย เป็นผลให้สามารถแก้ไขปัญหาที่พบเจอได้อย่างชาญฉลาด สุขุม และมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งรุมเร้ามากขึ้นอีกด้วย

 
 
6. ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า
           
          ผลการศึกษา และการวิจัยของหลายสถาบันบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่เข้านอนเร็ว และตื่นเช้าจะมีอัตราความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าน้อยมากถึงมากที่สุด ด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ระบบต่าง ๆ ทำงานตามรอบเวลาที่นาฬิกาชีวิตกำหนดมา สุขภาพก็จะแข็งแรง และพอไม่เจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพจิตก็จะดีตามไปด้วย คราวนี้โรคซึมเศร้าก็คงไม่ได้แอ้มเราง่าย ๆ แน่

 
 
7. ชีวิตโดยรวมจะดีขึ้นมาก
           
          งานวิจัยเล็ก ๆ ในปี 2013 ชิ้นหนึ่งได้แสดงผลการศึกษาไว้ว่า คนที่เข้านอนเร็ว จะหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยุ (อบายมุข และสถานที่อโคจรยามค่ำคืน) ไปได้โดยปริยาย แถมยังมีเวลาทำสิ่งดี ๆ ในตอนเช้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายในตอนเช้า รับประทานอาหารเช้ากับเมนูเพื่อสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบกว่าที่เคย ไม่ต้องเร่งรีบ และมีเวลาชีวิตที่มากขึ้นอีกด้วยค่ะ
 
            จริง ๆ แล้วถึงไม่มีงานวิจัย หรือผู้เชี่ยวชาญคนไหนมาบอก เราก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การตื่นเช้าให้อะไรเราได้มากมายเกินกว่าที่จะนับได้ถ้วน อย่างน้อย ๆ เราก็ได้เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามเป็นประจำทุกวัน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ได้สัมผัสน้ำค้างบนยอดหญ้า ที่สำคัญได้เห็นถนนโล่ง ๆ และการจราจรที่ไม่ติดขัดอย่างตอนสายด้วยเนอะ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/178595941449750868/

Wednesday, April 23, 2014

วิธีดูผู้ชายเจ้าชู้






1.  สำรวจตัวคุณก่อน ประเมินให้ได้ว่าคุณน่ะสวยระดับไหน นึกถึงบรรดาผู้ชายทั้งหมดที่เคยเข้ามาจีบแล้วหาค่าเฉลี่ยความหน้าตาดีและนิสัยของผู้ชายเหล่านั้นจนได้ค่ามาตรฐานของตัว

แล้วเมื่อไหร่ที่มีผู้ชายซึ่งมาตรฐานสูงกว่าที่เราเคยหาค่าไว้ เมื่อนั้นก็ให้สังวรณ์ไว้เลยว่า ไอ้นี่มาไม่ดี แต่ยังไม่ต้องปักใจ 100% ค่ะ ต้องใช้อีกหลายข้อพิจารณา

2.  เจอผู้ชายที่เที่ยว 90% เจ้าชู้ทั้งนั้น อย่าพยายามเข้าข้างว่าผู้ชายที่คุณเจอจะเป็น 10% ที่เหลือ เพราะคุณจะเข้าข้างเขาเกินไปจนไม่ได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน

3.  ผู้ชายที่หน้าตาดี ต้องระวังเป็นพิเศษสุดๆ พวกหน้าตาดีแล้วไม่เจ้าชู้ เกิดมาดิฉันไม่เคยเจอค่ะ ไม่เคยจริงๆ สาบานได้ เพราะผู้หญิงย่อมติดพันเขาตั้งแต่เด็กๆ และสั่งสมความกะล่อนมาเนิ่นนาน จนสุดท้ายความเจ้าชู้ก็ติดเข้ากระดูกดำ

พวกนี้ เนียนนัก ระวังไว้ ยิ่งมีตำแหน่งดาวเดือนคณะ ผ่านเวทีประกวดรั้งท้าย ทำใจไว้เลย เจ้าชู้แน่ๆ

4.  ผู้ชายเจ้าชู้มักจะแต่งตัวเนี้ยบ เนี้ยบมากกกกกกก เสื้อไม่มียับ เนคไทด์ไม่กระดิก ผมไม่ชี้ฟูสักเส้น เข้าสมัยอย่างที่สุด ดูดีทุกมุม ปากไม่แตกลอก ผิวพรรณดีไม่แห้ง เล็บตัดสั้นสะอาด

นิสัยจะเจ้าระเบียบ เห็นได้อย่างชัดเจน สังเกตเวลาไปกินข้าวกัน เขาจะไม่ทิ้งกระดาษหกเลอะ ถ้ามีน้ำนองที่ก้นแก้ว ก็จะหากระดาษมาเช็ด กวาดจานเก็บช้อนส้อมเรียบร้อย

คำเตือน....ระวังสับสนกับพวกแอบนะ พวกแอบก็จะมีอาการนี้เช่นกัน

5.  ถ้าเขาพูดเพราะ ระวังไว้....ผู้ชายโดยธรรมชาติจะไม่พูดเพราะ อย่างมากก็สุภาพ แต่ไม่พูดเพราะถึงขั้นคะขา เมื่อไหร่เขามาพูด "คะ,นะคะ,ขา" กับเรา ให้ถามไปทันทีว่า

"เธอมีพี่น้องเป็นผู้หญิงปะ"

ถ้าเขาตอบว่าไม่มี ก็จงรู้ไว้เลยว่า เขาฝึกพูดนะคะกับผู้หญิงคนอื่นมา ผู้ชายที่มีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวพันเยอะหรือเกี่ยวพันกันเป็นเวลานานเท่านั้น ถึงจะติดนิสัยพูดคะมาได้

ถ้าเขาตอบว่ามี ข้อนี้ก็อาจจะตกไป

7.  การวางตัว ผู้ชายเจ้าชู้จะค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เพื่อนเยอะแน่ๆ เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อน เขาจะไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น แต่จะเป็นคนที่นั่งเงียบอยู่ในซอกหลืบของกลุ่ม ถึงจะเงียบแต่ก็เป็นคนที่กลุ่มขาดไม่ได้

6.  ผู้ชายเจ้าชู้จะเป็นชายมารยาทงาม เทคแคร์ดีเลิศประเสิฐศรี จนโอเวอร์ ถ้าน้ำเราพร่องไปจากแก้ว เขาจะเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นและเติมให้ทันที จะถามตลอดว่าเราอยากได้ อยากกินอะไร

ผู้หญิงเราอย่าหลงดีใจไปว่าเขาเป็นคนดี แต่ควรสงสัยไว้ว่า เขาไปเรียนรู้วิธีบริการผู้หญิงมาจากไหนวะ?

7.  เจ้าชู้มักคู่กับปลาหมึก มีงูบนหัวแล้วต้องมีปลาหมึกที่มือ แต่อาการนี้ไม่เสมอไป ผู้ชายบางคนที่เจอแรกๆ จะไม่ปลาหมึก แต่จะมาออกอาการเอาตอนช่วงกลางๆ ที่คบกัน หรือมั่นใจแล้วว่า การที่เขาเป็นปลาหมึก จะไม่ทำให้เรารู้สึกรังเกียจหนีไปเสียก่อน

แต่จากที่เคยเจอมา เจ้าชู้ 5 คน จะปลาหมึกไปแล้ว 4

8.  มักแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเราอย่างรวดเร็วเพราะต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า ข้าจีบผู้หญิงคนนี้ติดแล้ว พวกนี้จะไม่ค่อยเกรงใจผู้หญิงในการประกาศศักดา จะทำแต้มเข้าว่า

ดังนั้นจะไม่มีคำว่า "รอดูไปก่อนแล้วค่อยบอกทุกคนว่าเราคบกัน" จากปากผู้ชายประเภทนี้ ผู้หญิงจึงหลงกลได้เร็วยิ่งนัก เพราะคิดว่าเขาดูจริงจังจังเลย

9.   คำว่า....รัก.....หลุดจากปากเขาบ่อยกว่าคำว่า หิว เสียอีกและบอกรักเราเร็วซะด้วย

ถ้าเจออาการนี้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เจอกัน ฟันธง 100% ไอ้นี่หัวงู

มันจะมารักอะไรฉันวะ หน้าฉันเธอจำได้ยังฮะ มาบอกว่ารักเนี่ย เดี๋ยวปัดตบหัวหลุดเลย

ผู้ชายพวกนี้มักจะตอบที่ผู้หญิงถามว่า

"รักเราจริงเหรอ"

"จริงสิจ๊ะ"

"เราเพิ่งเจอกันนะ"

"ทำไมล่ะ ทำไมเพิ่งเจอจะรักไม่ได้ เรารู้ตัวเราเองดี เราไม่เคยโกหก"

มันจะมาเป็นแพทเทิร์นครับ...ไอ้คำพูดแบบนี้

10.  เป็นผู้ชายโรแมนติกมาก ประเภทซื้อดอกไม้ให้ตั้งแต่วันแรกที่เจอ พยายามถามและจำวันเกิดเราให้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน พยายามทำให้เราประทับใจ พยายามทำว่าตัวเองแมน พยายาม....พยายาม...และพยายามอีกมากมาย จนเราต้องคิดในใจ

มันจะเวอร์ไปไหนเนี่ย

11.  ผู้ชายเจ้าชู้ จะตอบคำถามได้โดนใจเราสุดๆ ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเราจะถาม และเตรียมคำตอบไว้อย่างหวานซึ้งหยดย้อย เป็นคำตอบที่เราอยากฟังเหลือเกิ๊นนนนนน

ผู้ชายบื้อๆ จีบผู้หญิงไม่เป็น จะไม่มีเซ็นส์ในการตอบคำถามผู้หญิงเท่าไหร่

เวลาผู้หญิงถามอะไร มักจะถามไม่ตรงกับใจ ถ้าผู้ชายดีๆ บื้อๆ จะตอบไม่ตรงกับใจเราหรอก เพราะเขาไม่เชี่ยวด้านจีบหญิง

แต่พวกเจ้าชู้ จะตอบมาเป็นฉากๆ แต่ละคำพูดช่างกัดกินหัวใจเสียนี่กระไร เช่น

คำถาม "มาชอบเราได้ไงฮะ เพิ่งเจอกันครั้งแรก แน่ใจแล้วเหรอว่าชอบ"

ผู้ชายดีๆ "ไม่รู้สิ ก็ชอบอะ อยากลองคบกันดู อยากรู้ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่า"

ผู้ชายเจ้าชู้ "ชอบเพราะเธอน่ารัก เวลายิ้มเราชอบมากๆ เลย ไม่รู้เหรอ ว่าแอบมองมาตั้งนานแล้ว"

คำถาม "มีแฟนหรือยัง มาจีบเราแบบนี้แฟนไม่ว่าเหรอ"

ผู้ชายดีๆ "เพิ่งเลิกไปอะ" , "ไม่มีแฟน จีบผู้หญิงไม่ค่อยเป็น เลยไม่เคยจีบติด"

ผู้ชายเจ้าชู้ "ถ้ามีเราจะมาจีบเหรอ" , "เราไม่มีแฟน" , "เลิกไปนานมากแล้ว ที่ผ่านมาเคยมีแฟน....คน (จะจำนวนไม่เกิน 3 คน)"
 
สังเกตว่า พวกเจ้าชู้จะตอบคำถามนี้เป็น negative ทันที จะไม่มีคำว่า เพิ่งเลิก หรือบอกจำนวนแฟนที่เยอะกว่าสามแน่นอน มันดูไม่ดี และเสี่ยงต่อการให้ผู้หญิงสงสัยมากเกินไป

ย้ำอีกครั้ง....ผู้ชายที่พูดจาเข้าหูน่าฟัง ตอบคำถามแบบหวานซึ้งหยดย้อย โดนใจ เล่นเอาเราตัวแทบลอย เจ้าชู้100% เพราะคนพวกนี้คบผู้หญิงมามากพอ จนรู้ว่า ผู้หญิงต้องการอะไร

12.  ตาเป็นประกาย รอยยิ้มเยือกเย็น....
มันเป็นลักษณะเฉพาะของผู้ชายเจ้าชู้จริงๆ เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองมี แต่ถ้าเราสังเกตดีๆ ผู้ชายพวกนี้จะมีแววตาและรอยยิ้มต่างจากผู้ชายไม่เจ้าชู้

ไม่รู้จะบรรยายยังไง เอาเป็นว่า เขาจะจ้องเราด้วยดวงตาวาววับ สังเกตตาของเด็กที่เดินอยู่ในแผนกของเล่นสิ สายตาแบบนั้นเลย พยายามจ้องจนเราเก้อเขินได้ และจ้องอย่างไม่หลบสายตา ไม่อายเราด้วย พอเราหันไปสบตากลับ เขาก็จะยิ่งจ้องๆๆๆๆๆ

รอยยิ้มจะเป็นยิ้มมุมปาก ทำหน้าแบบยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลา จะไม่ฉีกยิ้มเห็นฟันนะคะ รอยยิ้มนั้นจะเหมือนกำลังยิ้มเยาะอยู่ในที....ว่ายัยนี่เสร็จข้าแน่

ทั้งสายตาและรอยยิ้มนั้น ทำให้ผู้หญิงละลายมานักต่อนักแล้ว

แหล่งที่มา  http://www.thaithesims3.com/topic.php?topic=75446
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต