Saturday, August 31, 2013

หงุดหงิดใจนอนไม่หลับซะที!!!




          เรื่องนอนไม่หลับมีสาเหตุมาจากหลายอย่าง แล้วถ้าหากอยากนอนหลับสบาย ตื่นเช้าสดชื่น ทำอย่างไรดี ลองปฏิบัติวิธีเหล่านี้กันดู

อาบน้ำก่อนนอน

          การแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

จัดห้องให้น่านอน

          ให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นาน ๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ ทำห้องให้มีกลิ่นหอมด้วยการวางถุงกลิ่นลาเวนเดอร์ และแจกันดอกไม้สด จัดห้องนอนให้มีแสงสลัว ๆ โปร่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี หาอะไรปิดส่วนที่เรืองแสงของนาฬิกาปลุก ซึ่งนอกจากจะให้แสงสว่างเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เราหันความสนใจไปที่นาฬิกาตลอดทั้งคืน ตั้งเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิพอเหมาะ ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นสบายกำลังดี

สมุนไพรต่าง ๆ

          อย่างเช่น สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้ง่วง เช่น ลาเวนเดอร์ ดอกมะนาว คาโมไมล์เลมอน และบาล์ม ใส่ไว้ในปลอกหมอน หรือทำถุงผ้าเล็ก ๆ ใส่สมุนไพรเหล่านี้ แล้ววางไว้ข้างศีรษะเพื่อสูดดมกลิ่นหอมขณะนอน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ระเหยออกมาจากหมอน จะช่วยให้คลายเครียดและหลับสบาย มีสมุนไพรหลายตัว โดยเฉพาะสมุนไพรจีนช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับได้ดี เช่น

          ถั่งเฉ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ มีสีเหลืองเป็นมันเงา ประกอบด้วยวิตามินบี 12 โปรตีน กรดไขมัน ทั้งอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว มีสรรพคุณช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสนิท

          พุทราจีน เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของคนจีน สามารถกินได้ทั้งสดและแห้ง แก้อาการนอนไม่หลับ เนื้อในเมล็ดช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้นอนหลับสบาย

          โสม จัดเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้รักษาโรคมากกว่า 2,000 ปี สารไบโอแอคทีฟ (bioactive) ในโสมช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ และรักษาโรคความจำเสื่อม ลดความเครียด

          ดอกไม้จีน เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ เกสรดอกไม้จีนมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สดชื่น และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ จึงช่วยให้หลับสบาย

คนที่เคลื่อนไหวร่างกายขณะทำงานในระหว่างวัน

          จะมีปัญหาในการนอนน้อยกว่าคนที่นั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะทำงาน การออกกำลังกายแค่วันละ 15 นาที จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น ระหว่างวันควรออกไปเดินเล่นในสวน หรือเดินยืดเส้นยืดสายหลังอาหารเย็น หลังเดินออกกำลังแล้ว ให้พักประมาณครึ่งชั่วโมง จึงค่อยเข้านอน ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจ และร่างกายทำงานช้าลงก่อนถึงจะสามารถเข้านอนได้ วิ่งหรือเดินก่อนนอนเป็นประจำวันละ 40 นาที จะหลับลึกนานกว่าคนทั่วไป

แช่น้ำอุ่น

          ก่อนเข้านอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายแล้วปล่อยให้เย็นลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้สึกว่าถึงเวลานอนแล้ว

หากิจกรรมทำก่อนนอน

          การทำกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายก่อนเข้านอนทุกคืน จะช่วยให้นอนหลับสนิท เช่น ฟังเพลงเบา ๆ สบาย ๆ เขียนบันทึกประจำวัน เป็นต้น และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เปิดเพลงทำนองเบา ๆ ฟังสบาย ๆ ขณะนอน หรือจะเปิดเทปบันทึกเสียงธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เช่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปิดไฟในห้องนอน นอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ปล่อยให้เสียงนั้นขับกล่อมคุณ จากนั้นหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพ่งสมาธิไปที่แขนขาแต่ละข้าง โดยเริ่มจากที่เท้า จินตนาการว่าแขนขานั้นจมหายลงไปในเตียง ควรใช้เครื่องเล่นเทป หรือซีดีที่ปิดเองอัตโนมัติ เพราะจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาปิดเวลาเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ

กินอาหารประเภทข้าวกล้อง

          ขนมปังโฮลวีต มัน เผือก กล้วย และอินทผลัม เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้สมองสามารถนำทริปโตเฟนไปใช้ประโยชน์ในการ สร้างสารที่ช่วยให้นอนหลับได้ กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จำพวกถั่วชนิดต่าง ๆ ผักใบเขียวเข้ม และผลไม้แห้ง จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ไม่ควรเข้านอน เมื่อยังหิวหรืออิ่มเกินไป นอกจากนี้การกินอาหารมัน ๆ หรือเผ็ดร้อนมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการนอนหลับเช่นเดียวกัน ลองชงน้ำผึ้งเล็กน้อยผสมในน้ำอุ่น หรือชาสมุนไพร เพราะสมัยโบราณใช้น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อน ๆ

งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน

          เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม รวมถึงขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัวการเข้านอนขณะท้องหิว หรืออิ่มแปล้จะไปรบกวนการนอน ซึ่งรวมถึงการกินอาหารก่อนนอนด้วย ไม่ควรกินอาหารเย็นหลัง 2 ทุ่ม และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะจะเป็นเหมือนยาชูกำลังที่ไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมน ที่ทำให้ร่างกายเกิดความคึกคัก กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อาหารเย็นควรเป็นข้าว มันฝรั่ง พาสต้า ผัก ที่มีรากเป็นลำต้นใต้ดิน ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ ทำให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ที่ช่วยในการนอนหลับ

ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอน

          ในนมมีกรดอะมิโนที่เรียกว่าทรัยป์โตฟาน ช่วยให้นอนหลับสบาย และยังมีแคลเซียมสูง ช่วยผ่อนคลายประสาททำให้จิตใจสบาย บางคนบอกว่าการดื่มนมอุ่น ๆ ช่วยคลายเครียด และหายอ่อนเพลีย

แหล่งที่มา  ภาพยนตร์บันเทิง, กระปุกดอทคอม

Tuesday, August 27, 2013

“หัวเราะ” ทุกวัน สร้างภูมิคุ้มกันโรค




เสียงหัวเราะขำขันที่ เราได้ยินกันนั้นแสดงถึงอารมณ์ของเจ้าของเสียงว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ที่แจ่มใสเบิกบาน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า การหัวเราะนอกจากจะ ทำให้สุขภาพจิตได้ผ่อนคลายแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายมหาศาลทีเดียว

พญ. อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า การหัวเราะบำบัดในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ 

1)  หัวเราะแบบธรรมชาติมาจากใจ ซึ่งเกิดจากการถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขันอันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน 

2)  หัวเราะเพื่อการบำบัดรักษา 

ซึ่งการหัวเราะทั้ง 2 รูปแบบล้วนมีประโยชน์ คือ ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนประเภทปลุกเร้าเพื่อบำบัดจิตใจและฟื้นฟูร่างกาย ทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบหายใจ ช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญของออกซิเจน ระบบขับถ่าย ช่วยทำให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ ระบบการย่อยอาหาร ระบบกล้ามเนื้อบนใบหน้า ระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ผิวพรรณดี เป็นต้น

จากผลการศึกษาหลายชิ้น แสดงให้เห็นว่า การหัวเราะขำขันจากความรู้สึกลึกๆ จากภายในอย่างแท้จริง โดยไม่เสแสร้งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์ ออกมาส่งผลดีต่อระบบร่างกายในส่วนต่างๆ ได้แก่ ช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด (กรณีคนไข้ที่เป็นเบาหวาน) ทำให้ระบบคุ้มกันทำงานดีขึ้น มีประสิทธิภาพ นอนหลับสบาย คลายความวิตกกังวล

นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยพบอีกว่า การหัวเราะบำบัดยังช่วยลดอาการปวดและสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้โดยไม่ต้องอดอาหาร เพราะการหัวเราะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เวลาเราหัวเราะมากๆ จะทำให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างเต็มที่จนบางครั้งเกิดอาการเจ็บหน้าท้องหรือที่เราเรียกกันว่า ท้องแข็ง จึงถือเป็นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี 

โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ซึมซับความเครียดของผู้ใหญ่และไม่สามารถระบายออกได้ จึงควรกระตุ้นให้เด็กได้หัวเราะบ่อยๆ เพราะการหัวเราะจะทำให้หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ส่งผลให้เด็กๆ มีการพัฒนาการทางสมองที่ดีอีกด้วย

ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการหัวเราะ เพราะเสียงหัวเราะเป็นกุญแจสู่การมีสุขภาพดี โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ใหญ่ควรหัวเราะให้ได้ 17 ครั้งต่อวัน ส่วนเด็กๆ ถ้าหัวเราะ 400 ครั้งต่อวัน จะยิ่งดีมาก ๆ 

สำหรับที่มาของอารมณ์ขันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง คุณหมอ แนะนำว่า เพียงแค่เราหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผลเป็นความน่ารักของธรรมชาติที่จะทำให้เรารู้สึกขำตัวเองว่าหัวเราะทำไม วิธีนี้จะช่วยให้เกิดอารมณ์ขันอย่างแท้จริงได้เช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าการหัวเราะจะมีประโยชน์มากมายเช่นนี้ใช่ไหมคะการที่เรามีสุขภาพจิตดีจะช่วยนำไปสู่สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตามมา แถมใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้ชิดเพราะเป็นคนอารมณ์ดี ถือเป็นการสร้างเสน่ห์ไปในตัว

แหล่งที่มา  http://women.kapook.com, เดลินิวส์
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/sarahhickey7/flower-arrangements/

Saturday, August 24, 2013

ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน




การทำงานมันก็ต้องมีบ้างที่ รู้สึกเบื่อ เหนื่อยล้า และเกิดอาการเซ็งกับการงานที่ต้องทำซ้ำๆ ซากๆ อยู่ทุกวัน นอกจากงานที่น่าเบื่อ บางครั้งยังเจอเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง และเจ้านายที่ไม่ได้เรื่อง งานนี้ความสนุกในการทำงานยิ่งหมดเราลองมาปรับความคิด ปรับพฤติกรรม เพื่อให้เราสนุกกับงานกันบ้างดีกว่าไหม แล้วเรื่องสนุกๆ กับการทำงานจะไม่หมดอย่างแน่นอน
 
 ปล่อยวาง 
การที่เราเอาแต่เคร่งเครียดกับการทำงานไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ต้องรู้จักที่จะปล่อยวางการงานตรงหน้าลงบ้าง อาจจะไปเที่ยวดูหนัง ฟังเพลง ทานอาหารนอกบ้าน กับเพื่อน กับครอบครัว กับคนสนิท คนรู้ใจ ทางที่ดีก็ชักชวนกันไปเที่ยวพักผ่อนที่ต่างจังหวัดในวันหยุดบ้างก็ได้

 อย่าให้ตนเองเป็นหลักคนอื่น 
การที่เราเอาตัวเองไปเป็นหลักให้คนอื่นต้องคอยยึดนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเสมอไปหรอกนะ ยิ่ง เราเป็นหลักให้คนอื่นมากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องแบกรับภาระหนักมากขึ้นเท่านั้น ทางที่ดีที่สุด ลองปล่อยให้คนอื่นเขาทำอะไรด้วยตัวเขาเองบ้าง ยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือก็ค่อยยืนมือเข้าไปช่วยในบางส่วน แต่อย่าไปรับมาทำเองทั้งหมดล่ะ ไม่งั้น เราเองนั่นเแหละที่จะน็อตหลุดไปซะก่อน

 สร้างสรรค์จินตนาการ 
ยามที่เราต้องเจอเรื่องเครียด หรือต้องทำงานจนเกิดอาการเครียดขึ้นมา ให้หยุดงานตรงหน้าเอาไว้สักพักแล้วเดินออกไปสูดอากาศ มองฟ้า มองเดือน มองดาว มองอะไรต่อมิอะไรที่มีมากมายให้มอง หรือจะเปิดเพลงฟัง อ่านนิยายสักเรื่อง เพื่อสร้างจินตนาการ หรือมีเวลามากพอก็วาดภาพสักรูป จะจัดห้องใหม่ จัดบ้านใหม่ หรือจัดสวนก็ได้ ลองทำอะไรที่หนีห่างจากงานที่เครียด เพื่อสร้างจินตนาการบ้าง บางทีก็สร้างจินตนาการของเราก็จะช่วยให้เกิดความคิดดีๆ ในงานที่ทำก็ได้นะ

 นินทาบ้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย 
การนินทานั้นบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก เชื่อเถอะว่าทุกที่ย่อมมีการนินทากาเลกันทั้งนั้น เนื่อง จากการนินทาเป็นการเริ่มต้นที่ดีของการได้ระบายความไม่พอใจ ความอึดอัดคับอกคับใจในเรื่องต่างๆ ทำให้ได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะได้เพื่อนร่วมงานที่มีแนวความคิดคล้ายๆ กัน และเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน อย่างน้อยๆ ในบางเรื่องเราก็จะได้ไม่รู้สึกว่าเราแย่หรือเราทำผิดอยู่คนเดียว

 มีอารมณ์ขันเป็นประจำ
เรื่องขำๆ เกิดขึ้นได้เสมอหากเราทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใส การที่เรามีอารมณ์ขัน มีอารมณ์ดีตลอดเวลานั้นจะไม่ทำให้ชีวิตของเราหดหู่จนเกินไป ช่วยทำให้สุขภาพเราดีด้วย บุคลิกของเราก็ดูดี ไม่น่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อย่างแน่นอน สุด ท้ายยังส่งผลให้สมอง จิตใจของเราปลอดโปร่งโล่งสบาย และเริ่มที่จะมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ยามเคร่งเครียดก็หาหนังสนุกๆ หรือตลกมาดูแก้เครียดกันเถอะ การที่เราจะทำงานให้สนุกนั้น เราต้องรู้จักมองโลกในแง่ดี ยามเบื่อก็ลองท่องเอาไว้ โลกนี้หนอช่างโสภา ท้องฟ้าสดใสแสนโสภี เรื่องง่ายๆ แบบนี้ไม่ยากเกินไปใช่ไหม ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงานกันดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  อสมท / กระปุกดอทคอม
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/219409813070252666/

Monday, August 19, 2013

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง




หน้าที่ของสมองยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหวและความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอ ยังทำร้ายสมองด้วย

1. ไม่ทานอาหารเช้า
  หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2.  กินอาหารมากเกินไป  การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้น

3.  การสูบบุหรี่
  เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์

4.  ทานของหวานมากเกินไป  การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง


5.  มลภาวะ  สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง

6.  การอดนอน  การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตาย

7.  การนอนคลุมโปง  การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8.  ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย  การทำงานหรือเรียนในขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9.  ขาดการใช้ความคิด  การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ 


10. เป็นคนไม่ค่อยพูด  ทักษะการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

รู้หรือยังคะ ว่าสมองมีความสำคัญแค่ไหน  ดังนั้นเราควรจะหันมาบำรุงสมองกันดีกว่าการทำร้ายสมองนะคะ
 
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/