Tuesday, June 30, 2015

3 ข้อง่าย ๆ ในการลดน้ำหนักแต่ได้ผลจริง




         วิธีลดน้ำหนัก สำหรับสาวอ้วนทั้งหลายที่กำลังมองหาวิธีลดน้ำหนัก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนหรือต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมมีเคล็ดลับที่ทำแล้วได้ผลจริงมาฝากกันค่ะ

          หลายครั้งที่รู้สึกว่าอ้วนเกินไปแล้วอยากลดน้ำหนัก ทำเอาสาว ๆ หลายคนต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหนดี ทั้งนี้สำหรับใครที่อยากรู้คำตอบ วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีลดน้ำหนักจากคุณ the Holiday สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม พร้อมกับเคล็ดลับ 3 วิธีที่เธอคนนี้เคยลองทำแล้วได้ผลจริงมาฝากกัน โดยเธอได้เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนวิธีคิด เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และสุดท้ายก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เคล็ดลับทั้ง 3 วิธีของเธอคนนี้ หากใครที่อยากจะรู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง รีบตามมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ


           จริง ๆ แล้วการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเราปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่ยึดติดกับการลดน้ำหนักแบบผิด ๆ หรือถ้าคุณเคยอดอาหารหรือกินยาลดความอ้วนมาแล้ว ลองเปิดใจใช้วิธีนี้ดูบ้างก็ได้ค่ะ

3 ข้อง่าย ๆ ในการลดน้ำหนักแต่ได้ผลจริง


ข้อ 1 ปรับเปลี่ยนความคิด

อยากผอมไม่มีทางลัด ยอมรับว่าการลดน้ำหนักต้องใช้เวลา

          กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ลดความอ้วนก็ไม่ได้ใช้เวลาเป็นวันหรืออาทิตย์ ไขมันที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต จะสลัดให้หลุดภายในไม่กี่วันเป็นไม่ได้หรอกค่ะ สำหรับคนที่ถามหาวิธีลดความน้ำหนักแบบเร่งด่วน สูตร 7 วัน 10 วันไม่มีจริงค่ะ การลดน้ำหนักที่ถูกวิธีใช้เวลาเป็นเดือน ๆ กว่าจะเห็นผลลัพธ์ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความมีวินัยทั้งการกินและการออกกำลัง กาย

 

ถ้าไม่นับ 1 แล้วเมื่อไหร่จะถึง 10

          บางคนนั่งหาวิธีลดความอ้วนมาตั้งนานสองนานแต่ก็ยังไม่เคยได้เริ่มทำสักที แต่พอรู้ว่าการที่จะผอมด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหารใช้เวลานานหลาย เดือนกว่าจะเห็นผลก็ยอมแพ้ซะแล้ว ลองคิดว่าเราอยากผอมมานานเท่าไรแล้ว กี่เดือน กี่ปี ถ้าเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว ตอนนี้ก็คงกำลังนั่งมีความสุขกับไขมันที่หายไปและสุขภาพที่ดีขึ้น สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเริ่มนี่ล่ะค่ะ แต่ถ้าไม่เริ่มเดินแล้วเมื่อไรจะถึงเส้นชัย

          สิ่งสำคัญคือความตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดี ทุกคนรักตัวเอง แต่อยากให้รักเพิ่มขึ้นอีกนิด ให้พอที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย ไปฟิตเนส ไม่มีใครลากใครไปได้หรอกค่ะ อย่างมากก็ได้แค่ชวน ฉะนั้นอยู่ที่ความตั้งใจล้วน ๆ

 

อย่าหักดิบ

          สำหรับการเริ่มต้นลดน้ำหนัก บางคนก็คึกมาก เคร่งซะจนเครียดเพราะอยากเห็นผลไว้ หรือบางคนก็อาลัยอาวรณ์กับอาหารโปรดอย่ากลัวว่าจะไม่ได้กินเค้ก กินไอติมอีกแล้ว ต้องไปสวาปามทุกอย่างให้พอก่อนจะเริ่มลดน้ำหนักจริงจัง บางคนเครียด ท้อเพราะคิดว่าต่อไปนี้ต้องกินข้าวกล้องตลอดชีวิต

          โปรดหยุดคิด ยังกินได้อยู่ค่ะ เมื่อไรที่คุณอยากกิน คุณก็ยังกินได้ เพียงแค่ค่อย ๆ  ลดความบ่อยลง เลือกกินให้มากขึ้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วค่ะ

 

อย่าหักโหม

          ก้าวช้า ๆ บางวันเดินไม่ถึงก้าวแต่ก็ยังดีกว่าหยุดเดินใช่ไหมคะ อ่านเสร็จแล้วค่อย ๆ นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองค่ะ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องนับวันนับคืน โฟกัสแต่ผลลัพธ์ เช่น ฉันจะต้องลดเดือนละ 5 กิโลกรัม หรือฉันจะต้องมีซิกแพคภายใน 3 เดือน แค่ตั้งเป้าหมายก็เครียดละ หรือไม่ต้องกังวลว่า อุ้ย วันนี้ไม่ได้ทำอย่างนี้ วันนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น หรือวันนี้กินไอ้นี่เข้าไป กินไอ้นั่นเข้าไป ไม่เป็นไรค่ะ ค่อย ๆ ทำไปทีละเล็กทีละน้อย เราเริ่มวันใหม่ให้ดีกว่าเดิมได้ทุกวัน

 

challenge ตัวเองด้วยเป้าหมายเล็ก ๆ ก่อน

          การตั้งเป้าหมายที่ใหญ่เกินไปอาจจะทำให้ท้อได้ เพราะจะเป็นการกดดันตัวเองเกินไป ทำให้เครียดและไม่อยากทำต่อ มี challenge แนะนำสำหรับคนที่กำลังจะเริ่มนะคะ ลองเลือกดูว่าอันไหนพอจะทำสำเร็จ แล้วค่อย ๆ ตั้งเป้าหมายให้ยากขึ้นค่ะ

7 day challenge กินอาหาร healthy ให้ได้ 1 มื้อทุกวัน ในหนึ่งอาทิตย์

7 day challenge กินอาหาร healthy ทุกมื้อวันเว้นวัน ในหนึ่งอาทิตย์

7 day challenge ออกกำลังกายให้ได้ 3 วัน ในหนึ่งอาทิตย์

          แต่ถ้าทำไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ก็ไม่ต้องนั่งร้องห่มร้องไห้เสียใจไป พยายามทำให้ครบตามเป้าก็พอ

 

ข้อ 2 การเลือกทานอาหาร ปัจจัยสำคัญของการลดน้ำหนัก


อาหารที่ควรงด น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ พวกน้ำหวานต่าง ๆ อาหารที่มีโซเดียมสูง ของทอด ของมัน ของพวกนี้ค่อย ๆ ลดปริมาณ ลดความถี่ที่กิน แล้ววันหนึ่งเราจะเลิกอยากไปเองค่ะ

          ดื่มน้ำเยอะ ๆ ความดีงามของน้ำมีมากมายสาธยายไม่หมด ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว ทำยากใช่ไหมคะ เดี๋ยวมีเคล็ดลับการดื่มน้ำมาฝากค่ะ

          อดอาหารไม่ได้ทำให้ผอม เลือกกินอาหารไม่ทำให้อ้วน

          ทำไมอดอาหารถึงไม่ได้ทำให้ผอม บางคนอาจจะเถียงว่าไม่จริง ฉันอดข้าว ฉันยังผอมเลย ใช่ค่ะ แต่ก็ดูผอมหรือน้ำหนักลดลงเฉพาะช่วงที่อด เพราะสิ่งที่หายไปคือน้ำและมวลกล้ามเนื้อ ส่วนไขมัน ร่างกายยังเก็บไว้เหมือนเดิม เพราะไขมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ร่างกายจะนำไปใช้ เมื่อไรที่กลับมากินเหมือนเดิม ร่างกายจะรีบสะสมพลังงานไว้ ไม่ค่อยเผาผลาญ เพราะมันกลัวจะต้องอดอีก นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าโยโย่ ฉะนั้นการอดอาหารไม่ว่าอดเองหรือใช้ยาลดความอ้วน ก็ไม่ได้ทำให้ไขมันหายไป อดอาหารไม่ได้ลดไขมัน ถ้าจะลดไขมันต้องเบิร์นออกโดยการออกกำลังเท่านั้นค่ะ

 

กินอาหารให้ครบทุกมื้อ

          สำหรับคนที่บอกตัวเองว่าฉันกินอาหารทุกมื้อ คุณต้องดูปริมาณและประเภทของอาหารด้วย ว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือเปล่า  ไข่ต้มหนึ่งฟองตอนเช้า เที่ยงกินแต่ผักต้มหรือสลัดหรือกินแต่กับ ไม่กินแป้ง แอปเปิ้ลหนึ่งลูกตอนเย็น  ทั้งหมดทั้งมวลนี่นับจริง ๆ ยังไม่ได้หนึ่งมื้อเลย เราอาจจะหลอกตัวเองว่ากินครบ 3 มื้อแต่หลอกร่างกายไม่ได้หรอกค่ะ เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอมันจะจำไว้ เมื่อไรที่เรากลับไปกินแบบเดิมผลก็คือ โยโย่ เหมือนกัน ยิ่งคนที่ออกกำลังกายด้วย คุณอาจจะผอมลง เพราะเบิร์นไขมันออกด้วยก็จริง แต่เวลาที่คุณออกกำลังกายไม่ใช่แค่ไขมันที่ถูกเบิร์น แต่กล้ามเนื้อก็ถูกทำลายด้วย ฉะนั้นถึงคุณจะเวท คุณก็ไม่เฟิร์ม เพราะคุณไม่ได้กินอาหารเพื่อไปซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

 

ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

          หมู่ 1 โปรตีน ได้ จากการทานเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ไข่ ถั่วชนิดต่าง ๆ นม เลือกทานเนื้อสัตว์ส่วนที่มีไขมันน้อย เช่น อกไก่ แทนเนื้อน่องหรือเนื้อสะโพก เนื้อปลา เลือกทานนมจืด 0% หรือน้ำเต้าหู้หวานน้อย

          หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต หรือพวกแป้ง การลดน้ำหนักแบบงดแป้งเป็นวิธีที่ผิดนะคะ เพราะร่างกายเรายังต้องการพลังงานจากแป้ง เพราะฉะนั้นควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตที่ดี เช่น ข้าวกล้อง หรือแป้งโฮลวีท ส่วนปริมาณปรับตามการใช้พลังงานของแต่ละคน เช่น คนที่ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานหรือออกกำลังกายน้อย ก็อาจจะลดปริมาณลง แต่อย่างดไปเลย

          หมู่ 3 เกลือแร่ ได้ จากการทานผักชนิดต่าง ๆ และอาหารทะเล ในอาหารหนึ่งมื้อควรมีผักอยู่ด้วยครึ่งหนึ่ง เช่น สลัด ผักต้ม ผักนึ่ง แต่ถ้าไม่สะดวกทุกมื้อ ก็พยายามทานให้ได้ในหนึ่งวัน

          หมู่ 4 วิตามิน ได้จากการทานผลไม้ชนิดต่าง ๆ เลือกผลไม้ที่หวานน้อยหน่อยก็ดีค่ะ

          หมู่ 5 ไขมัน ถึง แม้เราควรจะงดของทอด ของมัน แต่ไขมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างช่วยในเรื่องของผิวพรรณและเส้นผม รวมทั้งยังช่วยให้ขนาดหน้าอกของสาว ๆ ที่ชอบออกกำลังกายไม่ลดฮวบทีเดียว แหล่งไขมันที่ดี ได้แก่ ปลาแซลมอน ไข่ อโวคาโด ถั่ว และน้ำมันมะกอก ส่วนไขมันที่ควรเลี่ยงก็คือไขมันจากสัตว์ รวมถึงส่วนหนังของเนื้อต่าง ๆ ด้วยค่ะ

 

สรุปเรื่องอาหาร

          คนที่ควบคุมอาหารและไม่ได้ออกกำลังบ่อย นอกจากทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่แล้วก็อาจจะลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตและเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ให้มากขึ้น

          คนที่ออกกำลังกายหนัก เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เวทเทรนนิ่ง ควรเพิ่มปริมาณโปรตีน เพราะร่างกายต้องการนำไปซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย

          เมื่อไรที่ปรับเปลี่ยนอาหารการกินจนเริ่มอยู่ตัวแล้ว ขั้นต่อไปก็ค่อยศึกษาเรื่อง cal, BMR, TDEE ค่ะ

 

ข้อ 3 ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


         จริง ๆ การออกกำลังกายแบบไหนก็เป็นการช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและช่วยเบิร์นไขมันได้อย่างตีแบดมินตัน ตีเทนนิส ว่ายน้ำ บาสเกตบอล ฟุตบอล เลือกออกกำลังที่เราชอบจะได้ทำได้นาน ๆ ค่ะ เพราะความสม่ำเสมอสำคัญกว่าออกกำลังกายหนัก ๆ แต่นาน ๆ ทีนะคะ 

         สำหรับคุณสาว ๆ ที่อยากจะมีหุ่นดีและอยากให้น้ำหนักลดลงอย่างได้ผล เชื่อว่าเรื่องราวของเธอคนนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีสำหรับสาว ๆ ได้อย่างมากเลยทีเดียว ทั้งนี้เมื่อรู้กันแล้วว่าจะต้องเริ่มลดน้ำหนักจากตรงไหนดี ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มลงมือทำอย่างจริงจังแล้วล่ะค่ะ รับรองหุ่นดี ๆ ฟิตเปรี๊ยะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน


คัดข้อมูลบางส่วนจาก คุณ the Holiday สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, http://health.kapook.com/view122570.html

เครดิตภาพ   http://www.messynessychic.com/2011/12/07/10-things-to-do-before-you-die-kick-the-bucket/

Monday, June 29, 2015

โรคไต ป่วยแล้วยุ่ง มาเช็คสัญญาณโรคไตก่อนดีกว่า




           ใครชอบกินเค็มบ้าง? รู้สึกไหมว่าเวลาที่เรากินเค็มมาก ๆ แล้ว ร่างกายเราจะรู้สึกกระหายน้ำมากเป็นพิเศษ แต่พอดื่มน้ำเข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งปวดปัสสาวะถี่ขึ้น ถ้าใครเป็นแบบนี้บ่อย ๆ นั่นหมายความว่าอวัยวะที่ช่วยกรองของเสียและปัสสาวะอย่าง "ไต" จะทำงานหนักซะแล้ว แล้วถ้า "ไต" ป่วยขึ้นมาล่ะก็ เหนื่อยเลยนะคะ เพราะอย่างที่รู้กันว่าโรคไตเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องดูแลรักษายาวนานตลอดชีวิต ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แถมค่าใช้จ่ายยังสูงมากเสียด้วย

          ...เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าปล่อยให้ชีวิตยุ่งยากด้วยโรคไตดีกว่าค่ะ หันมาดูแลไตกันให้มากขึ้น และหมั่นเช็กอาการต่อไปนี้ เพื่อตรวจสอบว่าตัวเองเข้าข่ายเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตหรือไม่ ถ้าเข้าเค้าล่ะก็ รีบเปลี่ยนพฤติกรรมด่วน !

มารู้จัก ไต กันก่อน

          ไต (Kidney) เป็นอวัยวะที่อยู่ส่วนล่างของช่องท้อง มีสองข้าง คือซ้ายและขวา รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดง ยาวประมาณ 10-13 เซนติเมตร กว้าง 6 เซนติเมตร หนา 3 เซนติเมตร มีน้ำหนักรวมกันประมาณ 300 กรัม มีต่อมหมวกไต (Adrenal gland) อยู่ด้านบนของไตทั้งสองข้าง มีชั้นไขมันสองชั้นห่อหุ้มอยู่ ภายในไตนั้นจะมี 2 ชั้น คือ ชั้นนอก เรียกว่า คอร์เทกซ์ (cortex) ส่วนนี้มีสีแดง เพราะมีโกบเมรูลัสอยู่ ขณะที่ชั้นใน จะเรียกว่า เมดูลลา (medulla) ส่วนนี้มีสีขาว ส่วนใหญ่ประกอบด้วยท่อหน่วยไต ส่วนของเมดูลลาที่ยื่นเข้าไปจรดกับโพรงที่ติดกับหลอดไตเรียกว่า พาพิลลา (papilla) และเรียกโพรงนี้ว่า กรวยไต (pelvis)

          หากถามว่า "ไต" เป็นอวัยวะของระบบใดในร่างกายมนุษย์ ก็ต้องตอบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ "ระบบทางเดินปัสสาวะ" เพราะมีหน้าที่กรองเอาของเสีย น้ำ และเกลือแร่ส่วนเกินจากเลือดที่ไหลผ่านไปสร้างปัสสาวะ เมื่อผลิตเสร็จแล้วก็จะส่งผ่านไปทางท่อไต นำไปเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เมื่อมีปริมาณปัสสาวะมากพอ เราจึงรู้สึกปวดปัสสาวะ อยากจะถ่ายปัสสาวะขับของเสียออกนั่นเอง

          อย่างที่ทราบแล้วว่า หน้าที่หลัก ๆ ของไตก็คือ กรองของเสียออกจากเลือด และขับออกพร้อมกับน้ำในรูปของปัสสาวะ แต่นอกจากหน้าที่ในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว ไต ยังมีหน้าที่ช่วยรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย สร้างสารที่ควบคุมความดันโลหิต และสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้น จะสังเกตได้ว่า หากไตทำงานน้อยลงมักเกิดปัญหาความดันโลหิตสูงและโลหิตจางร่วมด้วย

แล้วปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตมีอะไรบ้าง?

          มีหลายเหตุและปัจจัยที่อาจทำให้ไตของเราป่วยได้ ซึ่งมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต ไว้ดังนี้

          กรรมพันธุ์ โรคไตบางชนิดเกิดขึ้นจากกรรมพันธุ์ เช่น โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic Kidney Disease) ที่มีทั้งแบบที่เกิดกับทารก ซึ่งมักจะทำให้เด็กเสียชีวิตตั้งแต่เกิด และแบบที่เกิดกับผู้ใหญ่ ที่จะพบความผิดปกติเมื่ออายุ 20-30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม กรรมพันธุ์ไม่ใช่สาเหตุหลัก และผู้ป่วยโรคไตจากกรรมพันธุ์ก็มีน้อยมาก แต่ถ้ามีใครคนหนึ่งในครอบครัวเป็นโรคไตขึ้นมา โอกาสที่เครือญาติพี่น้องจะเป็นด้วยก็มีสูงถึง 90% จึงควรไปตรวจสุขภาพกันยกครอบครัว

          โรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงจะส่งผลกระทบต่อไตด้วย หากเป็นนาน ๆ ไตก็เสื่อมลง จนถึงขั้นไตวายเรื้อรัง ซึ่งเชื่อไหมว่าผู้ที่เป็นไตวายเรื้อรัง ราว 30-50% ล้วนเกิดจากมีความดันโลหิตสูงทั้งสิ้น และในทางตรงข้าม คนที่เป็นโรคไตบางชนิดก็อาจเป็นโรคความดันโลหิตสูงตามมาเช่นกัน

          โรคเบาหวาน ถือเป็นสาเหตุของโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายราว ๆ 30% เพราะผู้ที่เป็นเบาหวานมานานแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่หลอดเลือดของไต ทำให้ไข่ขาวออกมาในปัสสาวะ นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานยังติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้เกิดกรวยไตอักเสบได้ หากเป็นบ่อย ๆ นาน ๆ เข้า ก็ทำให้ไตอักเสบ ไตวาย แล้วยังมีผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูงตามมาด้วย

          ความอ้วน เพราะคนอ้วนจะมีเมตาบอลิซึมสูงกว่าคนปกติ ทำให้เกิดของเสียต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้น ไต ที่เป็นอวัยวะกรองของเสียก็จะทำงานหนักขึ้นตามไปด้วย

          อายุ เมื่อ คนเราแก่ตัวขึ้น สังขารร่างกายก็ร่วงโรยไปตามวัย เช่นเดียวกับ ไต ที่จะเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 35 ปี เท่ากับว่ายิ่งอายุมากขึ้น ไตก็จะยิ่งเสื่อมตามอายุลงไปด้วย โดยเฉพาะผู้สูงอายุเพศชายที่มีโอกาสต่อมลูกหมากโตสูงขึ้น ทำให้ทางเดินปัสสาวะอุดตัน ส่งผลกระทบต่อไตได้

          อาหาร อาหารหลายชนิดที่หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ จะยิ่งเป็นอันตรายต่อไต โดยเฉพาะอาหารรสเค็มจัดที่จะไปทำให้ความดันโลหิตสูง แล้วส่งผลกระทบต่อไปที่ไต รวมทั้งอาหารกลุ่มโปรตีนที่มีงานวิจัยพบว่า เนื้อสัตว์ถือเป็นของเสียในร่างกาย หากทานเข้าไปมาก ๆ จะมีของเสียเหลือตกค้างในร่างกายมาก ทำให้ไตที่มีหน้าที่กรองของเสียทำงานหนักมากขึ้น แต่ถ้าเป็นโปรตีนจากเนื้อปลา หรือไข่ขาว นั้นสามารถทานได้ เพราะเป็นโปรตีนคุณภาพสูงและย่อยง่าย

          ยา ยาบางชนิดที่ไม่ส่งผลดีต่อไตนัก เช่น ยาแก้ข้อกระดูกอักเสบ (พวก NSAID) ที่ทำให้เกิดไตวายได้ รวมทั้งสารทึบรังสีบางชนิดที่ใช้ฉีดผู้ป่วยเวลาตรวจทางเอกซเรย์ก็มีผลให้ไตวายได้เช่นกัน ดังนั้น หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง

          อาชีพและอุบัติเหตุ คนบางอาชีพมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไตได้มากกว่าคนทั่วไป เช่น นักมวย ที่อาจถูกเตะต่อยบริเวณไต รวมทั้งคนที่ทำงานในโรงงาน ก็อาจได้รับสารพิษสะสมในไตมานาน 

ใครเสี่ยงเป็นโรคไตได้มากกว่าคนอื่น?

          1. ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

          2. ผู้ที่มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไต

          3. ผู้ที่มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำ น้อยกว่า 2,500 กรัม

          4. ผู้ป่วยโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

          5. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

          6. ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

          7. ผู้ป่วยโรคเนื้องอกในไต

          8. ผู้ที่ได้รับสารพิษจากยาบางชนิด หรือสารแปลกปลอมอยู่เป็นประจำ หรือมากเกิน

          9. ผู้ป่วยโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

          10. ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เซลล์ตัวเอง

          ในปัจจัยเสี่ยงทั้ง 10 ข้อ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง เป็น 2 โรคสำคัญนำไปสู่การเกิดโรคไตเรื้อรังได้บ่อยที่สุด

มาเช็กสัญญาณบอกอาการโรคไตกัน

          ได้รู้ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคไตกันไปแล้ว คุณสุ่มเสี่ยงข้อไหนบ้างเอ่ย? หรือหากใครไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะไม่ได้หมายความว่าคุณรอดพ้นจากโรคนี้แล้วนะคะ เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะการรับประทานอาหารรสเค็มจัดที่ทำให้คุณมีสิทธิ์เผชิญหน้ากับโรคนี้ ว่าแล้วก็มาตรวจสอบสัญญาณบ่งชี้โรคไตกันหน่อยดีกว่า ว่าความผิดปกติของตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคไตหรือไม่

มีอาการบวมทั้งตัว

          ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากจะมีอาการบวมตามตัว เกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย ระยะแรกอาจมีเพียงการบวมที่หนังตา และหน้า ต่อมาจะมีการบวมที่ขาและเท้าทั้งสองข้าง โดยอาจรู้สึกว่าแหวนหรือรองเท้าคับขึ้น ถ้าบวมไม่มากอาจสังเกตไม่เห็น แต่ทดสอบได้ด้วยการลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งสักพักแล้วปล่อย หากพบว่ามีรอยบุ๋มอยู่แสดงว่าบวมแน่น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยโรค เพราะอาการบวมอาจไม่ได้เป็นโรคไตก็ได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และโรคตับ ดังนั้น การตรวจปัสสาวะน่าจะได้ผลที่ชัดเจนที่สุด

เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีด

          ผู้ที่เป็นโรคไต ถ้าเป็นน้อย ๆ มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หากเป็นมาก ๆ ใกล้เป็นไตวายเรื้อรังจะเพิ่มอาการซีด คันตามตัว เบื่ออาหาร

ปวดหลัง ปวดบั้นเอว

          ไต เป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณช่วงหลังด้านล่างของเรา ดังนั้น หากไตเกิดความผิดปกติขึ้น เราอาจรู้สึกปวดหลัง บั้นเอวที่บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศได้ บางคนก็ถึงขั้นปวดกระดูกและข้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตมีถุงน้ำโป่งพองก็ได้ แต่อาการปวดหลังก็สามารถวินิจฉัยได้หลายโรคเช่นกัน จึงต้องตรวจสอบอาการอื่นควบคู่ ๆ ไปด้วย

          ทั้งนี้ หากเรากดหลัง และทุบเบา ๆ แล้วมีอาการเจ็บ อาจแสดงว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือไตอักเสบ ถ้ามีไข้สูงร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของกรวยไตอักเสบติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน ซึ่งก็มีหลายโรคที่ทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรค SLE เป็นต้น

ปัสสาวะผิดปกติ

          เนื่องจาก ไต อยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนั้น หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับปัสสาวะ นั่นก็อาจหมายถึงไตทำงานผิดปกติได้ โดยเราสามารถสังเกตปัสสาวะได้ดังนี้
         
          ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมีหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการนี้ ทั้งนิ่ว เนื้องอกของทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อุบัติเหตุกับทางเดินปัสสาวะ หรือ เส้นเลือดฝอยของไตอักเสบ แม้แต่มะเร็งของระบบทางเดินปัสสาวะ หรือโรคไตเป็นถุงน้ำ ฯลฯ
         
          ปัสสาวะน้อยลง โดยปกติแล้วหากเราดื่มน้ำมาก ปัสสาวะก็ควรจะมากไปด้วย แต่หากใครปัสสาวะไม่ออกเลย อาจเป็นเพราะทางเดินปัสสาวะถูกอุดกั้น หรือการทำงานของไตเสียไป ลองทดสอบง่าย ๆ ด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้น แล้วสังเกตดูว่าปัสสาวะออกมากขึ้นหรือไม่ หากปัสสาวะยังน้อยอยู่ นั่นแสดงว่าไตเริ่มผิดปกติแล้ว

          ปัสสาวะบ่อย ความถี่ในการปัสสาวะของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการดื่มน้ำ หรือการที่ร่างกายเสียน้ำไปทางอื่น ๆ เช่น เหงื่อ หรืออุจจาระ แต่หากวันดีคืนดี รู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หรือตื่นขึ้นมาปัสสาวะในตอนกลางคืนมากกว่า 3-4 ครั้ง อาจต้องสงสัยว่าป่วยเป็นโรคไตก็ได้ เพราะกระเพาะปัสสาวะจะสามารถเก็บน้ำได้ถึง 250 ซี.ซี. แต่ในคนที่เป็นโรคไต ไตจะไม่สามารถหยุดการขับน้ำในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีน้ำออกมามากและปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ จึงมักจะตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางดึก

          แต่อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืนส่วนใหญ่ไม่เกิดมีสาเหตุมาจากโรคไต เพราะมักจะเป็นอาการของโรคเบาหวาน เบาจืด กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือการกินน้ำมากเกินไปมากกว่า แต่ก็ยังอาจเป็นอาการของโรคไตวายในระยะ แรก ดังนั้น ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะหากมากกว่าวันละ 3 ลิตร หรือตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา

          ส่วนการปัสสาวะตอนกลางวัน หลายคนรู้สึกว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยเกินไป ซึ่งจริง ๆ อาจไม่ได้ป่วยโรคไต แต่เกิดจากความวิตกกังวลของตัวเองที่ไปกระตุ้นให้อยากปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ มากกว่า

          ปัสสาวะเป็นฟองมาก ฟองสีขาว ๆ ที่เราในปัสสาวะก็คือโปรตีนนั่นเอง ซึ่งก็มีกันทุกคน แต่หากใครมีฟองสีขาว ๆ มากผิดปกติ อาจสงสัยไว้ก่อนว่า เส้นเลือดฝอยในไตอาจอักเสบ ทำให้มีโปรตีนรั่วไหลออกมามากผิดปกติ แต่ถึงกระนั้นก็อย่าเพิ่งฟันธงว่าเป็นโรคไต ต้องดูอาการอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น หากปัสสาวะมีฟองมากแถมยังเป็นเลือด ก็สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นโรคไตก็ได้ ให้รีบไปพบแพทย์ตรวจร่างกายโดยเร็ว

ความดันโลหิตสูงมาก ๆ

          เคยได้ยินใช่ไหมว่าการกินอาหารรสเค็ม ๆ มาก ๆ จะทำให้ไตทำงานหนัก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่ไม่เคยมีอาการอะไรมาก่อน แต่พอไปตรวจสุขภาพกลับเจอความดันโลหิตสูงมาก ๆ อาจอนุมานได้ว่า ไตของเรามีความผิดปกติขึ้นแล้ว ควรให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียดเพื่อเช็กว่าเป็นโรคไตด้วยหรือไม่

ป้องกันโรคไต ต้องดูแลไตอย่างไรดี?

          โรค ไตที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นให้ยุ่งยากในการดูแลรักษาไปตลอดชีวิต เห็นทีต้องมาดูแลไตของเรากันให้มากขึ้นแล้วล่ะ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองแบบนี้ไง

          ลดการทานอาหารเค็ม ๆ ลง เพื่อควบคุมความดันโลหิต เน้นกินผักผลไม้ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

          ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          รักษาและควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หากตัวเองอ้วนเกินมาตรฐานให้พยายามลดน้ำหนัก

          ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากความดันโลหิตสูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่คงที่ จะส่งผลให้ไตเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ

          ผู้ป่วยเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อป้องกันการทำลายไต รวมทั้งการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หัวใจ และตา

          พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากเกินไป ควรนอนให้หลับสนิทอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม

          หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะมีผลวิจัยชี้ว่า ไตของผู้สูบบุหรี่จะเสื่อมเร็วกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่

          หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อไต เช่น ยาแก้ปวดข้อ ปวดหลัง ทั้งชนิดรับประทานและแบบฉีด หากใช้ในขนาดสูง หรือนานเกินไป ก็มีพิษต่อไตได้ รวมทั้งต้องระวังการกินยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ด้วย

          อย่าปล่อยให้เป็นโลหิตจาง เพราะมีการศึกษาพบว่า ถ้ารักษาภาวะซีดหรือโลหิตจางให้ดี จะทำให้ไตเสื่อมช้าลงได้

          ป้องกันภาวะติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่ต้องรีบรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้ไตเสื่อม

          ปฏิบัติสมาธิอย่างสม่ำเสมอ วันละ 10-15 นาที หรือสวดมนต์ให้จิตใจสงบก็ได้ เพื่อผ่อนคลายความเครียด และส่งผลดีต่อระบบประสาท ความดันโลหิต 

เป็นโรคไตต้องห้ามดื่มน้ำมาก และจำกัดอาหารเค็มใช่หรือไม่?

          หลายคนสงสัยกันมากในเรื่องนี้ เพราะมักจะได้รับการบอกต่อกันมาว่า หากเป็นโรคไตไม่ควรทานอาหารเค็ม และดื่มน้ำมากเกินไป เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก แต่จริง ๆ แล้ว การจำกัดน้ำดื่มและจํากัดอาหารเค็มนั้นจะจํากัดเฉพาะผู้ป่วยโรคไตที่มี ปริมาณปัสสาวะน้อย อยู่ในระยะที่มีอาการบวม มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือมีความดันโลหิตสูงเท่านั้นที่ควรจำกัดปริมาณน้ำ ดื่มในแต่ละวันให้เท่ากับ "ปริมาณปัสสาวะของเมื่อวาน+500 มิลลิลิตร" แต่ถ้าไม่อยู่ในภาวะเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดน้ำดื่ม ส่วนอาหารเค็ม ถ้าลดได้ก็ถือเป็นเรื่องดีค่ะ

ป่วยโรคไต ทานอาหารแบบไหนดี?

          เมื่อ เป็นโรคไตแล้ว เวลาจะหยิบอะไรทานก็คงต้องคิดแล้วคิดอีกว่าอาหารเหล่านั้นจะยิ่งไปทำให้ไตทำ งานหนักขึ้นหรือไม่ หรืออาหารอะไรที่ควรทานให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ไตแข็งแรงขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการป่วยที่เป็นนั่นเอง

          หากป่วยเป็นโรคไตที่มีการรั่วของไข่ขาวออกมาทางปัสสาวะมาก ๆ แสดงว่ามีระดับไข่ขาวในเลือดต่ำ ต้องรับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้เพียงพอ เพื่อชดเชยไข่ขาวที่สูญเสียไปทางปัสสาวะ

          หากเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะหลัง มีสารพิษคั่งในร่างกายมาก ๆ แบบนี้ไม่ควรทานโปรตีนมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้มีของเสียคั่งค้างมากขึ้น ควรเลือกทานเนื้อปลาที่ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ถ้าใครยังอยากทานเนื้อหมู เนื้อไก่ ก็ยังทานได้ แต่ต้องลดปริมาณลง 

          หากเป็นโรคไตวายเรื้อรังที่มีปัสสาวะน้อย ควรจำกัดอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน ผลไม้ เลือกทานแป้ง น้ำตาล ได้ ยกเว้นผู้ป่วยโรคไตที่เป็นโรคเบาหวานด้วย

          หากเป็นโรคไตวายพิการระยะแรก ๆ ที่ยังไม่มีความดันโลหิตสูง และยังไม่มีอาการบวม ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังไม่จำเป็นต้องลดการดื่มน้ำ หรือจำกัดเกลือโซเดียม เพราะยังเป็นระยะที่มีปริมาณปัสสาวะเท่าเทียมกับคนปกติ

          หากเป็นโรคไตวายพิการระยะหลัง ๆ เท่ากับว่าไตเสื่อมมากขึ้นแล้วจนไม่สามารถขับน้ำและเกลือโซเดียมได้เท่าคน ปกติ คนกลุ่มนี้จะต้องจำกัดการดื่มน้ำและเกลือโซเดียม เพราะผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะน้อย มีภาวะบวม ความดันโลหิตสูง

อาหารอะไรที่มีโซเดียมมากเกินไป ต้องหลีกเลี่ยง

          พูดเรื่องอาหารเค็ม ๆ มาหลายบรรทัดแล้ว เชื่อว่าหลายคนยังอยากรู้ว่า นอกจาก "เกลือ" แล้ว ยังมีอาหารอะไรบ้างที่มีโซเดียมมากจนเป็นอันตรายต่อไตของคุณ มาลองดูกัน

          อาหารที่มีรสเค็มทั้งหลาย เช่น เกลือป่น น้ำปลา ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว พริกน้ำปลา ซอสปรุงรส ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ซอสเปรี้ยว ๆ ทั้งหลาย

          อาหารดองเค็ม เช่น กุ้งแห้ง กะปิ ผลไม้ดอง ผักดอง ปลาเค็ม เนื้อแดดเดียว

          อาหารดองเปรี้ยว เช่น หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ไส้กรอกอีสาน แหนม กระเทียมดอง

          อาหารที่มีรสหวานและเค็มจัด เช่น ปลาหวาน กุ้งหวาน หมูหย็อง หมูแผ่น กุนเชียง ผลไม้แช่อิ่ม

          อาหารที่ใส่ผงฟู เช่น เค้ก ซาลาเปา ขนมปังโฮลวีท เบเกอรี่ต่าง ๆ


          รับทราบเรื่องของโรคไต โรคที่เป็นได้จากการไม่เลือกทานอาหารแบบนี้แล้ว คงรู้แล้วใช่ไหมว่า ถ้าไม่อยากทรมานกับโรคไต จำไว้ว่าต้องลดการกินเค็มลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ลดการดื่มแอลกอฮอล์ หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เพราะ 2 โรคร้ายนี้จะนำโรคไตมาสู่คุณอีกไม่นานแน่นอน


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Friday, June 26, 2015

สรรพคุณใบเตย 8 ข้อนี้สิเด็ดน่าโดน




          สรรพคุณของใบเตย สมุนไพรไทยที่มีทั้งกลิ่นหอมและประโยชน์ ใบเตยจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพในด้านไหนได้บ้าง อยากรู้ต้องอ่าน

          ประโยชน์ของใบเตยดูเหมือนจะกินขอบเขตมากไปกว่าแค่ใช้ผสมสีและเพิ่มกลิ่นหอม ในอาหารซะแล้ว เพราะจากข้อมูลด้านล่างนี้ ทำให้รู้เลยว่าสรรพคุณของใบเตยก็เด็ดในเรื่องสุขภาพไม่แพ้สมุนไพรรักษาโรค ชนิดอื่น ๆ เลย

บำรุงประสาท แก้อาการอ่อนเพลีย

          ดื่มน้ำใบเตยวันละ 2 แก้ว เช้าและกลางวัน จะช่วยให้อาการอ่อนเพลียที่มีอยู่หายไป เนื่องจากใบเตยมีฤทธิ์บำรุงกำลังและระบบประสาท ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต

          ใบเตยเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ฉะนั้นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจึงสามารถต้มน้ำใบเตยไว้ดื่มเช้า- เย็น เพื่อให้ใบเตยช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

รักษาโรคเบาหวาน

          ต้นและรากของใบเตยมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวาน เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยนำราก 1 กำมือไปต้มเป็นน้ำดื่มทุกเช้า-เย็น

รักษาโรคหัด

          อาการโรคหัดและโรคผิวหนังสามารถรักษาได้ด้วยใบเตย เพียงแค่คุณนำใบเตยมาตำพอหยาบ ๆ จากนั้นพอกลงบนผิว ใบเตยจะช่วยล้างพิษ เชื้อโรค และไวรัสที่อยู่บนผิวได้

บรรเทาโรคข้อและโรครูมาตอยด์

          ใบเตยมีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดของข้อและกระดูก โดยเฉพาะโรครูมาตอยด์ วิธีการใช้ก็แค่นำใบเตยสด 3 ใบมาล้างให้สะอาด จากนั้นสับพอละเอียดแล้วผสมน้ำมันมะพร้าวลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ใช้เป็นยาทาบรรเทาอาการปวดและอักเสบของข้อ

 
           นอกจากประโยชน์ใบเตยจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้แล้ว ใบเตยยังมีสรรพคุณในด้านบำรุงความงามตามนี้ด้วยล่ะ

รักษารังแค

          นำใบเตยประมาณ 2-5 ใบมาบดให้ละเอียดจนเป็นผงคล้ายแป้ง จากนั้นนำผงใบเตยมานวดศีรษะเป็นประจำจะช่วยลดรังแคได้

ย้อมผมดำ

          แม้ใบเตยจะมีสีเขียว แต่เมื่อนำมาต้มจนเป็นสีเขียวเข้มแล้วมาผสมกับน้ำลูกยอต้ม คุณจะได้สีย้อมผมสีดำที่คืนความดำเงาให้เส้นผมแบบไม่เสี่ยงต่อสารเคมีแล้ว ล่ะค่ะ

บำรุงผิวพรรณผ่องใส
         
         
จากสรรพคุณทางยาของใบเตยที่ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ ดังนั้นจึงมีการนำใบเตยมาปั่นแล้วพอกบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใสได้เหมือนกัน
         
          สรรพคุณของใบเตยทั้ง 8 ข้อนี้ ยังเป็นเพียงแค่บางส่วนที่เราคัดมาเป็นตัวอย่าง แต่นอกจากนี้แล้วใบเตยยังมีประโยชน์ที่ช่วยดับกระหาย ทำให้ชุ่มชื่น อีกทั้งยังดับพิษไข้และเป็นยาชูกำลังอ่อน ๆ ด้วยนะคะ

แหล่งที่มา  http://health.kapook.com/view122245.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/565694403166365943/