Monday, September 25, 2017

12 ประเภทกาแฟ ชอบดื่มแบบไหน มาทายนิสัยกัน !



             กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตอีกชนิดหนึ่งที่มีคนนิยมดื่มกันมากมายทั่วโลก และบางคนก็ถึงขั้นติดงอมแงม ต้องกินทุกวันไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการปวดหัว และมีอารมณ์หงุดหงิดได้ง่าย ๆ อีกทั้งกาแฟก็ยังมีรสชาติมากมายให้เลือกดื่ม ก็เลยเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อ แต่ทราบไหมคะว่ากาแฟแต่ละประเภทก็มีความหมายแตกต่างกัน Doghouse Diaries เขาก็เลยนำความหมายของกาแฟในแต่ละประเภทมาทายนิสัยของคนดื่มให้ได้รู้ ส่วนคอกาแฟแต่ละคนจะมีนิสัยแบบไหน มาดูกันเลยค่ะ

 1.  เอสเพรสโซ่

             คุณเป็นคนอัธยาศัยดี และค่อนข้างปรับตัวเข้ากับสถานการณ์รอบข้างเก่ง หลงใหลรสชาติเบาบางของกาแฟ แต่ให้สัมผัสและกลิ่นหอมหวานน่ากิน

2.  ดับเบิลเอสเพรสโซ่

             คอกาแฟรสเข้มข้นอย่างกาแฟดับเบิลเอสเพรสโซ่ เป็นคนประเภทเอาจริงเอาจัง ขยัน ชอบทำงาน และแข็งแกร่งต่อปัญหาและอุปสรรคทุกอย่าง

3.  ทริปเปิลเอสเพรสโซ่

             ผู้ที่ชื่นชอบกาแฟแก้วนี้มักจะเป็นคนกระตือรือร้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะรสชาติเข้มข้นของกาแฟที่ดื่มเข้าไป

4.  มอคค่า

             คนที่ชอบดื่มมอคค่าเป็นคนที่รักความสนุกสนาน และมีความคิดสร้างสรรค์ดี แม้จะไม่ค่อยชอบรสชาติของกาแฟสักเท่าไร แต่ก็จำใจต้องกินเพราะง่วงซะมากกว่า

5.  ลาเต้

             คุณเป็นคนช่างคิด แต่ก็ไม่เด็ดขาด ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย คุณจะไม่ค่อยกล้าตัดสินใจทำอะไรเท่าไร เป็นคนประเภทปลอดภัยไว้ก่อน

6.  คาปูชิโน่

             คุณเป็นคนอบอุ่น แต่ไม่ค่อยระมัดระวังตัว เป็นคนโก๊ะ ๆ หน่อย แบบที่เพื่อนต้องคอยเตือนให้เช็ดครีมที่เลอะปากหลังจากดื่มกาแฟทุกครั้ง

7.  มัคคิอาโต

             คุณเป็นคนค่อนข้างหัวโบราณ และรักนวลสงวนตัว และสิ่งที่คุณไม่ชอบที่สุดเมื่อดื่มกาแฟมัคคิอาโตก็คือ คราบฟองนมที่ติดริมฝีปากจนดูคล้ายกับหนวดดี ๆ นี่เอง

8. กาแฟเย็น

             คุณเป็นคนเปิดเผยจริงใจ กล้าแสดงออก และรักอิสระสุด ๆ แถมยังหลงใหลการดูดกาแฟเย็น ๆ ผ่านหลอดเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย

9.  อเมริกาโน่

             คุณเป็นคนใจเย็นและค่อนข้างมีเหตุผล ชอบใช้ชีวิตง่าย ๆ อย่างเช่น ไปปิกนิกที่สวนสาธารณะ ชมนก และจิบกาแฟ เป็นต้น

10. เฟรปปูชิโน่

             คุณเป็นคนอารมณ์ดี และค่อนข้างมีพลังในชีวิต หลงใหลรสชาติกาแฟอยู่บ้าง แต่จริง ๆ แล้วติดใจรสชาติไอศกรีมมากกว่า

 11. กาแฟทูโก (Coffee To-Go)

             คุณเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังกับชีวิต และเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง ส่วนใหญ่คนที่เลือกดื่มกาแฟแบบนี้จะชอบลักษณะของแก้วที่ดูแน่นหนามั่นคง เพราะมีกระดาษหุ้มกันความร้อนอีกชั้น

12. เอ็กซ์เพรสโซ่

             คุณฉลาดและน่ารำคาญในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามว่ากาแฟแบบนี้ต้องออกเสียงว่า "เอสเพรสโซ่" แต่ทุกครั้งที่สั่งคุณก็จะพูดว่า "เอ็กซ์เพรสโซ่" จริงไหมล่ะ ?

             ทั้งหมดนี้ก็เป็นกาแฟประเภทที่คนนิยมดื่มกันเป็นส่วนใหญ่ ได้อ่านกันแล้วคอกาแฟทั้งหลายรู้สึกยังไงกันบ้างคะ ตรงกับนิสัยของตัวเองกันบ้างไหมเอ่ย ?


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/128563764348249803/

Wednesday, September 20, 2017

12 ประโยชน์ของมะพร้าวอ่อน ผลไม้คลายร้อน ของดีจากธรรมชาติ




         มะพร้าวอ่อน ผลไม้ยอดฮิต ริมทะเล กับประโยชน์เด็ด ๆ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเกลือแร่จากธรรมชาติ

          เพราะว่ามะพร้าวอ่อนไม่ใช่ผลไม้ที่เราทานกันบ่อย ๆ เราเลยไม่ค่อยได้สนใจถึงประโยชน์ของมะพร้าวอ่อนมากนัก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมะพร้าวอ่อนอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย  แถมยังมีประโยชน์ครบครันเหมาะสมกับคนทุกเพศ ทุกวัยเลยด้วย ฉะนั้นในวันนี้ เราเลยนำเรื่องราวประโยชน์ดี ๆ ของมะพร้าวอ่อนที่ถ้าอ่านจบแล้ว จะทำให้ทุกคนต้องไปหาซื้อมาทานแทบไม่ทันมาฝากกันค่ะ

มะพร้าวอ่อน คุณค่าทางโภชนาการเพียบ

          ข้อมูลจากกรมอนามัย ระบุว่า เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ลูก มีน้ำหนักส่วนที่กินได้ 123 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการอาหาร ดังนี้

          - พลังงาน 51 กิโลแคลอรี
          - น้ำ 90 กรัม
          - น้ำตาล 3 กรัม
          - โปรตีน 1.4 กรัม
          - ไขมัน 3.0 กรัม
          - คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
          - ใยอาหาร 1.6 กรัม
          - เถ้า 0.9 กรัม
          - วิตามินซี 5 มิลลิกรัม
          - โซเดียม 13 มิลลิกรัม
          - โพแทสเซียม 381 มิลลิกรัม
          - แมกนีเซียม 40 มิลลิกรัม
          - แคลเซียม 6 มิลลิกรัม
          - ฟอสฟอรัส 48 มิลลิกรัม
          - เหล็ก 0.55 มิลลิกรัม
          - สังกะสี 0.25 มิลลิกรัม
          - ไอโอดีน 2.6 ไมโครกรัม

ส่วนน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก มีน้ำหนักส่วนที่กินได้ 259 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการอาหาร ดังนี้

          - พลังงาน 23 กิโลแคลอรี
          - น้ำ 94 กรัม
          - น้ำตาล 7 กรัม
          - ไขมัน 0.1 กรัม
          - คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม
          - เถ้า 0.4 กรัม
          - วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
          - โซเดียม 11 มิลลิกรัม
          - โพแทสเซียม 330 มิลลิกรัม
          - แมกนีเซียม 7 มิลลิกรัม
          - แคลเซียม 11 มิลลิกรัม
          - เหล็ก 0.32 มิลลิกรัม
          - ไอโอดีน 1.9 ไมโครกรัม

มะพร้าวอ่อน ประโยชน์ไม่ธรรมดา

1. ดับกระหาย คลายร้อน

          อากาศร้อน ๆ ทำให้เรารู้สึกกระหายน้ำได้ง่าย ๆ และน้ำมะพร้าวอ่อนก็เป็นตัวช่วยดับกระหายคลายร้อนที่ดีค่ะ เพราะมะพร้าวอ่อนเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น อีกทั้งยังมีกลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายจะสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที ดังนั้นจึงต้องไม่แปลกใจหากดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปแล้วจะรู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวยทันตาเห็น

2. เป็นเกลือแร่จากธรรมชาติ

          รู้ไหมว่าเราสามารถดื่มน้ำมะพร้าวแทนเครื่องดื่มเกลือแร่หลังจากออกกำลังกายหรือท้องเสียได้ด้วยนะคะ เพราะในน้ำมะพร้าวมีโพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน ซึ่งเป็นสารอาหารชนิดเดียวกับในเครื่องดื่มเกลือแร่ แต่เด็ดกว่าตรงที่เป็นเกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ จึงช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย และลดอาการขาดน้ำได้ดีทีเดียว

3. เพิ่มน้ำในคนที่มีภาวะขาดน้ำ

          ในมะพร้าวอ่อนมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่สูงมาก ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตของเราแค่ไหน ฉะนั้นหากรู้สึกขาดน้ำ เราขอแนะนำมะพร้าวอ่อนทั้งน้ำและเนื้อ ให้เป็นอีกทางเลือกช่วยเพิ่มน้ำแก่ร่างกายค่ะ

4. ช่วยให้กระเพาะปัสสาวะทำงานดีขึ้น

          การดื่มน้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นไปอย่างปกติ ซึ่งก็จะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะของเราได้ขับสารพิษและแบคทีเรียที่อาจตกค้างอยู่ออกมาอย่างเต็มที่ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ในระบบขับถ่ายปัสสาวะลงได้

5. บำรุงผิว ชะลอริ้วรอย

          ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ผิวพรรณของเราสดใส ไม่แห้งกร้าน แล้วถ้าเป็นน้ำมะพร้าวล่ะ จะดีกับผิวพรรณของเราขนาดไหน เพราะรู้ไหมคะว่าน้ำมะพร้าวเป็นแหล่งของสารอาหารมากมาย ทั้งโพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม รวมทั้งวิตามินซีที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยสมานแผล และช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึง

          นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในห้องทดลองที่พบว่า น้ำมะพร้าวอ่อนมีกลุ่มฮอร์โมนพืช "ไคเนติน" (kinetin) และสารประกอบทรานส์-ซีติน (trans-zeatin) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยชะลอความแก่ในเซลล์ผิวหนังของคน ปัจจุบันจึงมีการนำไคเนตินมาเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง เพื่อใช้ทาผิวหนังที่ถูกทำลายด้วยแสงแดด

6. บำรุงกระดูก

          แม้ปริมาณแคลเซียมในมะพร้าวอ่อนจะไม่ได้สูงมาก แต่มะพร้าวอ่อนมีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมให้เข้าสู่กระดูกได้อย่างเต็มที่ ทำให้กระดูกของเราแข็งแรงขึ้นได้ค่ะ ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยทดลองให้หนูเพศผู้ทานน้ำมะพร้าวอ่อน ก่อนที่จะพบว่าน้ำมะพร้าวอ่อนมีผลต่อการเพิ่มความหนาของกระดูกอ่อนและกระดูกฟองน้ำของขากรรไกรล่าง ดังนั้นจึงกำลังทำการศึกษาต่อไปว่าน้ำมะพร้าวอ่อนน่าจะมีประโยชน์ในการชะลอภาวะกระดูกพรุนในชายวัยหมดฮอร์โมน

7. ปรับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

          รู้ไหมคะ ว่าการทานมะพร้าวช่วยปรับฮอร์โมนของสตรีวัยหมดประจำเดือน และชายวัยทองให้ดีขึ้นได้ โดยมีงานวิจัยพบว่าฮอร์โมนพืชหลาย ๆ ตัวในมะพร้าวอ่อน มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ทำให้ผิวพรรณสดใส ชะลอการเกิดริ้วรอย ลดความเสี่ยงอาการอัลไซเมอร์ และช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ด้วย เนื่องจากน้ำมะพร้าวอ่อนมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของเซลล์ในระบบทางเดินอาหารนั่นเอง

8. เป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีกว่าไขมันอิ่มตัวชนิดอื่น

          แม้ว่าไขมันอิ่มตัวจะไม่ดีต่อร่างกายเรา เพราะจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในร่างกาย แต่ถึงยังไงร่างกายเราก็ยังต้องการไขมันอิ่มตัวบ้างอยู่ดีนะคะ โดยทานให้สมดุลกับไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ด้วย เพื่อช่วยละลายวิตามินเอ ดี อี เค ที่จะละลายได้ในไขมันเท่านั้น

          สำหรับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นเครื่องดื่มที่มีไขมันน้อยมาก ทว่าในเนื้อมะพร้าวอ่อนจะมีไขมันค่อนข้างสูง และส่วนใหญ่เป็นไขมันอิ่มตัวด้วย อย่างไรก็ตาม ไขมันอิ่มตัวในเนื้อมะพร้าวจัดเป็นไขมันอิ่มตัวที่ดีกว่าไขมันอิ่มตัวชนิดอื่นค่ะ เพราะสามารถขับออกได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทานมะพร้าวอ่อนได้มาก ๆ ตามใจปาก เพราะเพื่อสุขภาพที่ดี เราไม่ควรทานไขมันอิ่มตัวเกินกว่า 7% ของแคลอรีที่ได้รับต่อวัน ดังนั้นแล้ว หากชอบทานเนื้อมะพร้าวก็ทานได้ในปริมาณที่ไม่มากเกินไป เลือกชิ้นอ่อน ๆ ที่เป็นเจล ๆ ไขมันจะต่ำกว่า เพราะยิ่งเนื้อหนามากไขมันก็ยิ่งเยอะนะคะ แต่หากใครมีปัญหาไขมันในเลือดสูง เลี่ยงการทานเนื้อมะพร้าวทั้งอ่อนและแก่จะดีกว่า


9. รักษาอาการอัลไซเมอร์


          มีงานวิจัยจาก ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า น้ำมะพร้าวอ่อนมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ขณะเดียวกันก็มีการศึกษาอีกฉบับ พบว่าในมะพร้าวอ่อนมีสารประกอบทรานส์ซีติน ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ จึงช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์ และความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาทได้

          และไม่ใช่แค่นั้น เพราะการศึกษาจากแหล่งอื่นยังพบว่าสารประกอบทรานส์ซีตินสามารถป้องกันไม่ให้โปรตีนอะมัยลอยด์เบต้า ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการลุกลามของโรคอัลไซเมอร์ก่อตัวขึ้น อย่างไรก็ตามนี่เป็นผลการศึกษาในห้องทดลอง ซึ่งจะต้องมีการศึกษาผลที่เกิดกับคนอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่ามะพร้าวอ่อนช่วยรักษาอัลไซเมอร์ในคนได้หรือไม่ค่ะ
  
10. ช่วยลดความดันโลหิต

           เนื่องจากมะพร้าวอ่อนมีโพแทสเซียมสูงมาก คือ ในปริมาณน้ำมะพร้าว 100 มิลลิลิตร มีโพแทสเซียมถึง 200 มิลลิกรัม ซึ่งข้อดีของโพแทสเซียมนอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยลดระดับความดันในร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้น ถ้าวันไหนทานโซเดียมเยอะเกินไป ควรดื่มน้ำมะพร้าวสักหน่อย เพื่อให้โพแทสเซียมเข้าไปลดปริมาณโซเดียม และทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง

11. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

          ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าอาหารที่มีดัชนีไกลซีมิกสูงจะมีคาร์โบไฮเดรตสูง ส่งผลให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว  และเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อินซูลินก็จะสูงขึ้นตาม แถมอินซูลินที่สูงนี้สามารถเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้กลายเป็นไขมัน ซึ่งไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและอาจเสี่ยงต่อไขมันอุดตันเส้นเลือดได้ ดังนั้นเราควรทานอาหารที่ดัชนีไกลซีมิกต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อย่างมะพร้าวอ่อนก็เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีดัชนีไกลซีมิกต่ำและมีไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ จึงช่วยลดการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตไปเป็นน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินไปนั่นเองค่ะ

12. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

          คนที่ชอบทานมะพร้าวอ่อนต้องถูกใจแน่ ๆ เพราะอย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่าไขมันในมะพร้าวอ่อนช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี และลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ซึ่งคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงไปได้ แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะในมะพร้าวอ่อนมีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่ร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ด้วยนะคะ

          นอกจากนี้ยังมีการทดลองในหนูพบว่า น้ำมะพร้าวอ่อนมีเกลือแร่ โดยเฉพาะโพแทสเซียมในปริมาณสูงซึ่งมีผลป้องกันโรคหัวใจในหนูได้ แต่อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้เป็นเพียงแค่กับหนู ยังไม่เคยทดลองในคน ดังนั้นควรต้องรอผลการทดลองที่แน่นอนสำหรับคนในอนาคตมาช่วยยืนยันอีกทีค่ะ
   
ในเมื่อรู้แล้วว่ามะพร้าวอ่อนมีประโยชน์เพียบขนาดนี้ ก็ลองหามะพร้าวอ่อนมาทานกันนะคะ อ้อ ! แล้วถ้าใครไม่รู้ว่าจะนำมะพร้าวอ่อนมาทำเป็นอะไรอร่อย ๆ ได้บ้าง ก็สามารถตามไปดูเมนูมะพร้าวอ่อนที่กระปุกเคยนำเสนอไว้ได้เลย รับรองว่าต้องถูกใจแน่นอน

          - 8 สูตรเมนูมะพร้าวอ่อน หอมนุ่มละมุนลิ้น อร่อยชวนชิมชาตินี้ต้องลอง
          - เค้กมะพร้าวอ่อนครีมสด สูตรขนมเค้กเคี้ยวกรุบ ๆ อร่อยเต็มคำ
          - วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ขนมไทยกรุบกรอบ ทำง้ายง่าย          
         
- วิธีทำวุ้นมะพร้าวอ่อน ขนมคลายร้อนหอมอร่อยเย็นฉ่ำ
          - พุดดิ้งมะพร้าวอ่อน ขนมหวานหอมกลิ่นมะพร้าว ทำง่ายไม่กี่นาที
          - พายมะพร้าวอ่อน กรอบอร่อยหวานหอมพร้อมเข้าปาก
          - สังขยามะพร้าวอ่อน ขนมหวานหอมอร่อยย้อนรำลึกวัยเด็ก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://health.kapook.com/view179576.html

Monday, September 18, 2017

ส้นเท้าแตกทำไง จบปัญหากวนใจด้วยวิธีรักษาแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลเร็ว




         ส้นเท้าแตกทำไง ปัญหาสุดเซ็งสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะคุณสาว ๆ ที่มีปัญหาส้นเท้าแตกแห้งเป็นลายแทงทั้งหลาย รีบมารักษากันดีกว่าค่ะ อย่าปล่อยไว้จนลุกลาม เพราะจะทำให้คุณเสียบุคลิกอย่างมาก

          เท้า เป็นอวัยวะที่ถูกใช้งานตลอดแทบทั้งวัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงหลีกเลี่ยงปัญหาส้นเท้าแตกได้ยาก ซึ่งปัญหาส้นเท้าแตกนั้นมักจะพบบ่อยกับคนอ้วนเนื่องจากมีน้ำหนักตัวเยอะ หรือกับคนที่ชอบเดินเท้าเปล่าบนพื้นปูน หรือพื้นแข็ง ๆ และยังอาจเกิดได้จากกรรมพันธุ์ คนที่มีฝ่าเท้าหนา และขาดความชุ่มชื่น นอกจากนี้การใส่รองเท้าเปิดส้น หรือรองเท้าที่ไม่มีคุณภาพก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ส้นเท้าแตกได้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น ส้นรองเท้าแข็งจนเกินไป หรือรองเท้าบีบรัดส้นเท้าจนเกินไป โดยระยะแรกของอาการส้นเท้าแตกจะเริ่มจากการบวมแดงหรืออักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้จะเริ่มหนาแล้วก็แตกเป็นรอยเล็ก ๆ นานไปจะกลายเป็นหนังกำพร้า และมีร่องลึกเป็นเส้นที่บริเวณส้นเท้า หนักกว่านั้นคือส้นเท้าจะแตกเป็นรอยเลือดและมีอาการเจ็บแสบจนแทบเดินไม่ได้กันเลยทีเดียว ทั้งนี้สำหรับสาว ๆ คนไหนที่กำลังมีปัญหาส้นเท้าแตกอยู่อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนกลายเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โตนะคะ ควรรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า เพื่อความสวยงามของเท้าเราเองจ้า

วิธีรักษาส้นเท้าแตก สามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

          นำเปลือกกล้วยหอมมาถูตรงบริเวณส้นเท้าที่แตก โดยให้ถูไปมา แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที และล้างออกด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้ว เช็ดให้แห้งพร้อมกับทาครีมบำรุงส้นเท้า วิธีนี้ควรจะทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพราะกรดผลไม้และสารอาหารในเปลือกกล้วยจะช่วยลอกผิวและสมานส้นเท้าที่แตกได้เป็นอย่างดี
         
          แช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณ 15 นาที จากนั้นให้ใช้หินสำหรับขัดเท้าถูเบา ๆ ตรงบริเวณรอยแตก โดยให้ทำแบบนี้อาทิตย์ 2-3 ครั้ง ซึ่งการขัดด้วยหินจะช่วยขจัดเซลล์ของผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป จากนั้นล้างเท้าให้สะอาด ใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้แห้ง เสร็จแล้วให้ทาครีมสำหรับรักษาอาการส้นเท้าแตก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีส่วนผสมของยูเรียที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยบรรเทาให้อาการส้นเท้าแตกดีขึ้นได้

          ก่อนนอนควรสวมถุงเท้าเอาไว้ เพื่อคงความชุ่มชื้นของส้นเท้าให้อยู่ตลอดคืน หากทำแบบนี้เป็นประจำจะทำให้ส้นเท้าหายจากอาการแตก และมีผิวเนียนนุ่มขึ้น

          ในระหว่างที่รักษาอาการส้นเท้าแตกควรทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับส้นเท้าบ่อย ๆ รวมถึงควรใส่รองเท้าปิดส้นจนกว่าผิวที่ส้นเท้าจะกลับมานุ่มเป็นปกติ

          สำหรับใครที่มีอาการหนักจนส้นเท้าแตกเป็นรอยเลือดและมีอาการเจ็บแสบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อทำการรักษาให้ตรงจุด ซึ่งจะช่วยให้อาการส้นเท้าแตกหายได้เร็วขึ้น

วิธีป้องกันส้นเท้าแตก
         
          เมื่ออยู่ในบ้าน ควรใส่รองเท้าสำหรับเดินในบ้านเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เท้าเย็นจนขาดความชุ่มชื้นและช่วยลดไม่ให้ส้นเท้ากระแทกกับพื้นแรงจนเกินไป หากต้องเดินเท้าเปล่าบนพื้นเย็น ๆ ควรทาครีม วาสลีน หรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่ส้นเท้าเสียก่อน
         
          เลือกรองเท้าให้มีขนาดพอดีกับเท้า มีคุณภาพ ใส่แล้วไม่คับ และพื้นไม่แข็งจนเกินไป
         
          ควรใส่ถุงเท้าเวลานอนเป็นประจำ เพื่อลดการสูญเสียความชุ่มชื้นจากผิวหนัง

          ในกรณีคนอ้วน ควรลดน้ำหนักลง เพราะนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาส้นเท้าแตกแล้ว ยังจะมีข้อดีอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น กลับมามีรูปร่างดี และลดอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ อันเกิดจากสาเหตุโรคอ้วน เป็นต้น

          เมื่อรู้สาเหตุและวิธีรักษาส้นเท้าแตกให้กลับมาเนียนนุ่มกันไปแล้ว สาว ๆ ควรป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นได้อีกนะคะ เพราะหากหน้าสวยแต่ส้นเท้าแตกดูแล้วเสียบุคลิกแย่เลย ทางที่ดีควรจะป้องกันไว้ก่อนดีกว่านะคะสาว ๆ


Thursday, September 14, 2017

กลั้นใจพิชิตไขมันกับ 10 เทคนิคสั้น ๆ ที่ได้ผล




กลั้นใจพิชิตไขมันกับ 10 เทคนิคสั้น ๆ ที่ได้ผล (แม่บ้าน)
โดย เชฟตั้ม


          วิธีการลดน้ำหนักที่ดีและได้ผลนั้น ส่วนมากจะเป็นวิธีที่เราจำเป็นต้องทำเป็นประจำสม่ำเสมอ และต้องอาศัยความอดทน เหน็ดเหนื่อย และกำลังใจที่ค่อนข้างสูง เพื่อให้ได้มาซึ่งรูปร่างที่สวยงามสมส่วน และสุขภาพดี สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอเสนอเทคนิคสั้น ๆ ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ลองนำไปปรับใช้ดูกัน รับรองว่าลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารต่อวันลงไปได้มากโข

      1. ทุกครั้งที่สั่งชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่ใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ควรสั่งแบบ "หวานน้อย" แต่ถ้ารู้สึกรับไม่ได้กับการขาดหายไปของรสชาติความหวานมัน ลองเปลี่ยนมาหาความสดชื่นจากสมูทตี้ผลไม้สดแทน ได้ทั้งประโยชน์ ทั้งความสดชื่น และวิตามินตลอดช่วงบ่ายของการทำงาน

      2. เวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการจับจ่ายซื้อกับข้าวของผู้อ่านที่ต้องการลดน้ำหนักคือ "ช่วงหลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จใหม่ ๆ" เนื่องจากฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวจะหยุดทำงาน เราจึงสามารถซื้อกับข้าวโดยไม่ได้รับอิทธิพลของความ "อยากกิน" แต่สมองจะสั่งให้พิจารณาถึง "คุณค่าที่ได้รับ" จากอาหารมากขึ้น

      3. ทุกครั้งที่ปรุงอาหารให้ใช้น้ำมันมะกอกแทนเนย และให้เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวซ้อมมือ ดึงหนังไก่ออกจากเนื้ออกทุกครั้งก่อนการปรุงอาหาร และสุดท้ายให้ทำใจตัดแคบหมูทั้งแบบที่มีมันและไร้มันออกไปจากเมนูอาหารตลอดชีวิต

      4. พูดคำว่า "ขอบคุณครับ/ค่ะ ผม/ดิฉันไม่ชอบรับประทานของหวาน" ทุกครั้งที่ถูกเสนอให้รับประทานของหวานตบท้ายมื้ออาหาร ช่วยลดพลังงานต่อมื้อได้อย่างน้อย 150 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบได้กับข้าวประมาณครึ่งจาน

      5. ถ้าท่านผู้อ่านจำเป็นต้องรับประทานไอศกรีม ให้เลือกรับประทานแบบชอร์เบท (Sorbet) แทนไอศกรีมแบบปกติ เนื่องจากซอร์เบทเป็นไอศกรีมปราศจากส่วนประกอบของครีม และถ้าเป็นคนเสพติดการรับประทานไอศกรีม สามารถหลีกเลี่ยงการรับประทานไอศกรีมได้ด้วยการนำกล้วยหอมผสมกับน้ำผลไม้ หรือน้ำผัก นำไปแช่ในช่องแช่แข็ง เก็บไว้ทานทดแทนไอศกรีมปกติ
6. หลีกเลี่ยงการรับประทานมายองเนสเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะส่วนประกอบในไส้แซนด์วิชที่ขายในช่วงเช้า ๆ รู้หรือไม่ว่าเราสามารถทดแทนมายองเนสได้ด้วยโยเกิร์ตรสจืดแบบไขมันต่ำ

      7. เปลี่ยนจากการรับประทานสลัดน้ำข้น มาเป็นสลัดน้ำใส เราคงรู้สึกทุกข์ใจไม่ใช่น้อยใช่ไหมครับ ที่อุตส่าห์งดข้าวแสนอร่อยมารับประทานสลัดผักสด แต่อาหารทั้งสองจานกลับให้พลังงานเท่า ๆ กัน

      8. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันสูง เช่น อาหารที่ผ่านการทอดจนสุก หรืออาหารที่มีการชุบแป้งทอด เช่น กล้วยทอด ไก่ทอด หมูทอด หรืออาหารจำพวกเนื้อสัตว์แปรรูปที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าประกอบด้วยไขมันจำนวนมากน้อยเท่าใด เช่น กุนเชียง ไส้กรอก หมูยอ และแหนม เลือกรับประทานเนื้อไก่ส่วนอกลอกหนัง ทดแทนเนื้อหมู หรือเนื้อวัว และถ้าให้ดีที่สุด ควรรับประทานอาหารที่ปรุงจากเนื้อปลา โดยใช้วิธีการย่างหรือนึ่งอย่างสม่ำเสมอ

      9. ดื่มน้ำสะอาดให้ครบวันละ 8-10 แก้วต่อวัน แต่ถ้าให้ดีกว่านั้น ให้เลือกจิบชาเขียวแทนน้ำเปล่าเพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในระหว่างวันได้

      10. ลดความถี่ของการไปนั่งรับประทานอาหารนอกบ้านลงให้เหลือน้อยที่สุด การไปนั่งรับประทานอาหารครั้งหนึ่งมักจะทำให้เรารับประทานอาหารในปริมาณมากถึง 1,999 กิโลแคลอรีต่อมื้อ ซึ่งพลังงานระดับนี้เราต้องใช้เวลาวิ่งเพื่อเผาผลาญนานถึง 2 ชั่วโมงเต็ม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
แม่บ้าน
https://health.kapook.com/view41799.html

Wednesday, September 13, 2017

10 ประโยชน์ของไข่ต้ม อาหารธรรมดา ๆ แต่แฝงคุณค่ามหัศจรรย์




       ประโยชน์ของไข่ต้มสุก ไม่ได้แค่ช่วยลดน้ำหนักหรือสร้างกล้ามเนื้อ แต่มีดีถึงขั้นลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ !

         อาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายเราได้ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเลยค่ะ อย่างเช่น ไข่ต้ม ที่นอกจากจะอร่อย หาง่าย และมีราคาถูกแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารดี ๆ ที่มีประโยชน์เพียบ เรียกได้ว่าแค่ทานไข่ต้มวันละฟอง ก็ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการเกือบจะครบถ้วน แถมยังช่วยบำรุงสุขภาพได้มากมายเลยด้วย รู้อย่างนี้แล้ว เราเลยอยากชวนไปดูกันว่า ประโยชน์ของไข่ต้มมีดีแค่ไหน

ประโยชน์ของไข่ต้มสุก ที่คนรักสุขภาพกดไลค์รัว ๆ
 

1. อุดมไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการ

          ไข่ต้มสุกนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของเรามากมาย ทั้งโปรตีน สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12  วิตามินดี วิตามินอี  ธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม ฟอสฟอรัส กรดโฟลิก เลซิทิน ลูทีน และซีแซนทีน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นบอกได้เลยว่าแค่ทานไข่ต้มวันละฟองก็จะช่วยให้ร่างกายร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ควรทานไข่ต้มร่วมกับอาหารประเภทอื่น ๆ ให้ครบทั้ง 5 หมู่ด้วยนะคะ

2. ปลอดภัยกว่าทานไข่ดิบ

          การทานไข่ดิบ ๆ หรือไข่ที่ยังไม่สุกดี ไม่ดีต่อร่างกายเราอย่างมากเลยนะคะ เพราะร่างกายของเรานั้นจะย่อยไข่ที่ไม่สุกได้ค่อนข้างยาก และไข่ขาวที่ไม่สุกยังไปขัดขวางการดูดซึมไบโอตินที่เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งในลำไส้ของเรา ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามิบีไปใช้ได้อย่างเต็มที่ แถมที่สำคัญการทานไข่ดิบยังมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราอีกด้วย ฉะนั้นแล้วการทานไข่ต้มสุกจึงถือเป็นการเลือกทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ และปลอดภัยต่อร่างกายเราได้มากกว่าไข่ดิบนั่นเองค่ะ

3. ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ

          ไข่ต้มเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟอง มีโปรตีนอยู่ถึง 6 กรัม ซึ่งในโปรตีนนั้นมีกรดอะมิโนที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อให้กับร่างกายอยู่ ดังนั้นหากใครอยากมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงก็ควรทานไข่ต้มบ่อย ๆ โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งมีโอกาสกล้ามเนื้อฉีกขาดได้ง่าย คนที่ออกกำลังกายจึงควรทานโปรตีนเยอะ ๆ เพื่อไปซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดเหล่านั้น อย่างที่เรามักจะเห็นหลายคนชอบทานไข่ต้มเป็นประจำหลังออกกำลังกายเสร็จนั่นล่ะค่ะ

4. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

         หากอยากเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับแคลเซียมและฟอสฟอรัสมาก ๆ ซึ่งในไข่ก็มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงพอสมควร แถมยังมีวิตามินดี (วิตามินที่ส่วนมากได้รับจากแสงแดด) ซึ่งวิตามินดีมีหน้าที่หลักคือช่วยดูดซึมและทำให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากแคลเซียมและฟอสฟอรัสได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้นการทานไข่ต้ม จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกของเราให้แข็งแรงได้ หรือจะทานไข่ต้มพร้อมกับนมรสจืด เติมแคลเซียมแบบคูณสองให้กระดูกแข็งแรงยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุนไปเลยค่ะ

5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

         ทั้งวิตามินเอ วิตามินดี และธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มในร่างกายของเราให้แข็งแรงและยังช่วยให้การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงเป็นไปอย่างปกติอีกด้วย ดังนั้นการทานไข่ต้มที่อุดมไปด้วยสารอาหารทั้ง 3 ชนิดสูง จึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายของเราได้ค่ะ

6. บำรุงเล็บและเส้นผม

          ไข่ต้มนอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินดี ธาตุเหล็ก สังกะสี และกำมะถันในปริมาณมาก ซึ่งทั้งหมดเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผมและเล็บของเราให้แข็งแรง ไม่หลุดร่วงหรือเปราะบางได้ง่าย ๆ นะคะ

7. บำรุงสายตา

          รู้ไหมคะว่าเพียงแค่เราทานไข่ต้มเป็นประจำสามารถป้องกันจอประสาทตาเสื่อมและลดความเสี่ยงเป็นต้อกระจกลงได้ เนื่องจากในไข่ต้มมีสารอาหารสำคัญที่ช่วยปกป้องดวงตาของเราอย่างลูทีนและซีแซนทีนอยู่ จึงทำให้การทานไข่ช่วยบำรุงสายตาของเราได้นั่นเองค่ะ

8. บำรุงสมอง

          นอกจากการออกกำลังกายและทานอาหารที่ดีมีประโยชน์แล้ว การทานไข่ต้มยังสามารถบำรุงสมองและป้องกันไม่ให้เราเป็นอัลไซเมอร์ด้วยนะคะ เพราะในไข่ 1 ฟอง จะมีโคลีนมากถึง 20% เลยทีเดียว ซึ่งโคลีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อกล้ามเนื้อ เยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง และเซลล์ประสาท เมื่อได้รับมาก ๆ จะช่วยบำรุงรักษาระบบประสาทและสมองของเราให้แข็งแรง ช่วยส่งเสริมการทำงานของเซลล์สมองในเรื่องความทรงจำ แถมยังช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์มีอาการผิดปกติในท่อประสาทได้อีกด้วย

9. ช่วยลดและควบคุมน้ำหนัก

          ไข่ต้ม 1 ฟองให้พลังงานราว ๆ 70-85 กิโลแคลอรีค่ะ ซึ่งจัดว่าให้พลังงานน้อย จึงเป็นเหตุผลดี ๆ ที่ทำให้คนเลือกทานไข่ต้มเพื่อลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะในช่วงมื้อเช้า เพราะนอกจากไข่ต้มจะมีแคลอรีไม่สูงแล้ว โปรตีนในไข่จะช่วยให้แป้งและน้ำตาลถูกย่อยและดูดซึมอย่างช้า ๆ ทำให้เราอิ่มนาน ไม่รู้สึกหิวบ่อย ๆ จึงทานอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลงตามไปด้วย ดังนั้น หากใครคิดจะลดน้ำหนัก ก็อย่าลืมใช้ไข่ต้มเป็นตัวช่วยด้วยนะคะ โดยอาจจะทานไข่ต้มพร้อมกับน้ำส้มคั้นสด ๆ แบบน้ำตาลน้อย ก็จะช่วยให้ร่างกายยิ่งดูดซึมธาตุอาหารจากไข่ได้ดีขึ้นด้วย

10. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

          ในไข่ต้มที่เราทานกันนั้น มีไขมันดีหรือไขมันไม่อิ่มตัว อย่างไขมันโอเมก้า 3 อยู่ ซึ่งไขมันตัวนี้ เป็นไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง และช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดของเราไม่ให้สูงเกินไป เพราะหากเรามีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง จะทำให้มีความเสี่ยงโรคหัวใจและมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น อีกทั้งสารโคลีนที่พบได้มากในไข่ ยังช่วยลดการอักเสบอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจได้อีกด้วย

          ส่วนใครที่เชื่อว่าไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง หากทานทุกวันน่าจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้มากกว่า ต้องขอบอกตรงนี้เลยว่า นพ.กรภัทร มยุระสาคร จากโรงพยาบาลสมุทรสาคร ได้ทำการวิจัยแล้วพบว่าคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในไข่นั้นเป็นคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีต่อร่างกาย ดังนั้นจึงหมดห่วงเรื่องคอลเลสเตอรอลในไข่ได้ แถมแพทย์คนดังกล่าวยังบอกอีกด้วยนะ ว่าการกินไข่ยังช่วยลดคอลเลสเตอรอลไม่ดีได้ด้วย

          สอดคล้องกับงานวิจัยของสมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า การทานไข่วันละ 1 ฟอง ไม่ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น เช่นเดียวกับกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ที่ยืนยันเช่นกันว่า ไข่เป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ทั้งกรดไขมัน DHA และ EPA ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง สายตาแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงการเป็นอัลไซเมอร์และโรคหัวใจได้อีกต่างหาก

          เห็นไหมละคะว่าทานไข่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงได้จริง ๆ แต่ก็เหมือนกับอาหารทุกอย่างก็คือ เราควรทานอย่างพอดี ไม่มากไปหรือไม่น้อยเกินไปนะคะ

เมนูไข่ต้ม ทำอะไรกินอร่อยบ้างนะ ?

            ถึงแม้จะรู้ถึงประโยชน์ดี ๆ ของไข่ต้มแล้ว แต่ถ้าต้องทานแต่ไข่ต้มเปล่า ๆ ซ้ำ ๆ คงเบื่อกันไปข้าง ถ้างั้นลองมาประยุกต์เมนูไข่ต้มให้หลากหลาย เช่น ไข่ออนเซ็น ไข่ลูกเขย ไข่พะโล้ ไข่ต้มทรงเครื่อง ยำไข่ต้ม ยำวุ้นเส้นไข่ต้ม สลัดผักไข่ต้ม ไข่ต้มทรงเครื่อง แซนด์วิชไข่ต้ม หรือจะลองดูเมนูไข่ต้มข้างล่างนี้ไว้เป็นไอเดียในอาหารมื้อต่อไปก็ดีนะคะ

          - วิธีต้มไข่ ต้มอย่างไรให้เพอร์เฟคท์
          - 10 เมนูไข่ต้มสุดอร่อย ทำง่าย ๆ หลากหลายแบบ
          - 20 เมนูไข่ต้มสุดคิวท์ ศิลปะบนจานอาหารกับเมนูไข่ไอเดียดี
          - 8 เมนูไข่ต้มลดความอ้วน ลดน้ำหนักเน้นโปรตีนเพื่อหุ่นเป๊ะ

          เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงไม่คาดคิดว่าไข่ต้มจะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะทานแต่ไข่ต้มอย่างเดียวหรือทานวันละกี่ฟองก็ได้ เพราะจริง ๆ แล้ว เราควรทานไข่ต้มในปริมาณที่พอเหมาะตามที่กรมอนามัยแนะนำไว้ก็คือ เด็กอายุ 7 เดือนขึ้นไปถึงวัยสูงอายุ สามารถทานได้วันละครึ่งถึง 1 ฟอง แต่หากเป็นผู้ป่วยเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ควรทานประมาณ 3 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์
พร้อมกับทานอาหารประเภทอื่น ๆ ให้ครบ 5 หมู่ด้วย โดยเฉพาะผักและผลไม้ เพื่อจะได้วิตามินซีและใยอาหารที่ไม่มีในไข่ต้ม ได้รับสารอาหารแบบครบถ้วนจริง ๆ ค่ะ

ภาพจาก pixabay, pexels

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Healthy builderz, livestrong
เครดิตภาพ  https://health.kapook.com/view178650.html