Tuesday, March 31, 2015

10 สิ่งสกปรก ที่มักถูกลืมทำความสะอาดเสมอ




          สิ่งสกปรกในบ้านที่หลายคนมักลืมว่าต้องทำความสะอาดด้วย ลองไปดูกันเลยค่ะว่าสิ่งสกปรกในบ้านที่มักถูกลืมทำความสะอาดมีอะไรบ้าง..

          แม้จะมั่นใจว่าเป็นคนรักความรักสะอาด แต่ของบางชิ้นหรือพื้นที่บางแห่ง ก็อาจรอดหูรอดตาไปอย่างไม่ตั้งใจได้ ถ้าอย่างนั้นมาดูกันซิว่า อะไรบ้างที่เรามักหลงลืมและปล่อยเอาไว้ให้สกปรกด้วยความคาดไม่ถึง จะได้ใช้เป็นแนวทางทำความสะอาด ให้เนี้ยบทุกซอกทุกมุมไปเลยค่ะ

 

1. ฟองน้ำล้างจาน

          ฟองน้ำล้างจานเต็มไปด้วยแบคทีเรียจากเศษอาหาร ดังนั้นถ้าไม่อยากล้างจานด้วยเชื้อโรคทุกวัน ให้แช่ฟองน้ำในน้ำสะอาด 1 แกลลอน กับน้ำยาฟอกขาว ¾ ถ้วย หรือจะฆ่าเชื้อด้วยความร้อนจากไมโครเวฟก็ได้ โดยอย่าลืมทำให้ฟองน้ำเปียกก่อนเอาเข้าไมโครเวฟด้วย เพื่อป้องกันฟองน้ำติดไฟ

 
2. ซอกระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ

          แม้ว่าซอกระหว่างตู้เย็นกับเคาน์เตอร์ครัวจะกว้างแค่ 1 นิ้ว แต่พื้นที่เล็ก ๆ นี้อาจสะสมความสกปรกมากกว่าที่คิดก็ได้ ดังนั้นให้เลื่อนตู้เย็นออกมาเพื่อทำความสะอาดพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงพื้นใต้ตู้เย็นที่มักมีฝุ่นละอองและความสกปรกไปฝังตัว หรือหากเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นไหนเคลื่อนย้ายลำบาก ให้ใช้หัวดูดฝุ่นอันเล็กที่แถมมากับตัวเครื่อง ดูดทำความสะอาดเศษอาหารและความสกปรกที่ซ่อนอยู่


3. ถุงผ้าจ่ายตลาด

          ถุงผ้าจ่ายตลาดนั้นดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่อาจไม่ดีต่อสุขภาพได้หากเราไม่ดูแลทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นให้ซักถุงผ้าด้วยน้ำร้อน เพื่อจำกัดคราบสกปรก เศษอาหาร และแบคทีเรีย และหมั่นซักทำความสะอาดบ่อย ๆ เพื่อสุขอนามัยที่ดี

 
4. ช่องเก็บของต่าง ๆ ในตู้เย็น

          เราอาจเช็ดทำความสะอาดพื้นที่ใหญ่ ๆ และมองเห็นง่ายในตู้เย็นอยู่เสมอ แต่ช่องเก็บของต่าง ๆ ในตู้เย็นก็ละเลยไม่ได้ โดยให้ถอดช่องเก็บทุกอันออกมา แล้วล้างทำความสะอาดในน้ำอุ่นผสมน้ำยาล้างจาน เพื่อขจัดเศษอาหาร แบคทีเรีย และคราบสกปรกต่าง ๆ

 

5. ด้านบนของสิ่งต่าง ๆ

          ปกติเรามักทำความสะอาดจุดที่เอื้อมถึงหรือมองเห็นได้ง่าย ดังนั้นเราจึงอาจละเลยพื้นที่บางแห่งไป อย่างเช่น ด้านบนของตู้ กรอบบนเหนือบานประตูหรือหน้าต่าง ดังนั้นเพื่อความสะอาดปราศจากเชื้อโรค อย่าลืมดูแลพื้นที่เหล่านี้ด้วย


6. พัดลมและหลอดไฟติดเพดาน

          ด้วยเหตุผลเดียวกับข้อก่อนหน้าที่เรามักทำความสะอาดสิ่งที่เอื้อมถึงง่าย ดังนั้นเราจึงมักละเลยพัดลมเพดาน รวมถึงหลอดไฟติดเพดานไป ซึ่งการที่ของเหล่านี้อยู่สูง ก็ไม่ได้แปลว่าความสกปรกจะเกาะไม่ถึง ดังนั้นให้ทำความสะอาดให้เป็นประจำด้วยไม้ขนไก่ จะได้ไม่เป็นที่สะสมของฝุ่นและความสกปรก

 
7. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็ก ๆ

          ของชิ้นเล็ก ๆ อย่างรีโมททีวี โทรศัพท์มือถือ หรือหูฟัง ที่เราใช้เป็นประจำ ก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคชั้นดีเช่นกัน ดังนั้นให้เช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์เพื่อช่วยฆ่าเชื้อ โดยอย่าลืมเช็คคู่มือการใช้ให้แน่ใจก่อนว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว เป็นแบบเช็ดทำความสะอาดได้

 

8. ไม้กวาด

          ไม่น่าแปลกใจ หากไม้กวาดจะเต็มไปด้วยความสกปรก ดังนั้นอาบน้ำให้ไม้กวาด ด้วยการนำมาแกว่งในน้ำอุ่นผสมสบู่ หรือจะใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเอาความสกปรกออกไปก็ได้



9. หมวก ผ้าพันคอ และถุงมือ

          แม้ว่าหมวก ผ้าพันคอ และถุงมือ จะถูกใช้นาน ๆ ครั้ง และยังสัมผัสพื้นที่ร่างกายแค่นิดเดียว  แต่มันก็สกปรกไม่น้อยไปกว่าเสื้อผ้าชิ้นอื่น ๆ เราจึงควรทำความสะอาดด้วยการซักให้เป็นประจำ

 

10. กระเป๋ากีฬา

          คงไม่มีใคร ไม่รีบซักเสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อจากการเล่นกีฬา เพราะเรารู้ว่ามันต้องสกปรก และเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียแน่นอน ดังนั้นอย่าละเลยการซักกระเป๋ากีฬาที่เปื้อนเหงื่ออยู่ทุกวันด้วย โดยหากเป็นกระเป๋าชนิดที่ซักในเครื่องได้ ให้นำใส่ถุงซักผ้า ก่อนนำลงถังซัก แต่หากซักไม่ได้ หรือขนาดใหญ่กว่าถังซักผ้า ให้เช็ดภายในด้วยผ้าชื้น จากนั้นโรยเบกกิ้งโซดาไว้ข้างในเพื่อช่วยดับกลิ่น


          เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมทำความสะอาดพื้นที่และสิ่งของที่อาจมองข้ามไป เหล่านี้ด้วยนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นที่หลบซ่อนของความสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลเสียของสุขภาพเราได้


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/SewingAntix/fleece-hats-to-sew/

Monday, March 30, 2015

7 ข้อที่คอกาแฟต้องจำ ดื่มแบบไหนให้ผลเสียน้อยที่สุด




         กาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษ ขึ้นอยู่กับว่าเราดื่มมาก-น้อยแค่ไหน แล้วจะดื่มอย่างไรดีถึงจะให้ผลเสียน้อยที่สุด

          คนติดกาแฟคงรู้ตัวดีว่าถ้าวันไหนไม่ได้ดื่มกาแฟเลยนี่ถึงกับปวดหัวและหมดพลังเลยจริง ๆ ถ้าดื่มแต่พอเหมาะไม่เกิน 2-3 ถ้วยก็ไม่เท่าไร แถมยังได้ประโยชน์จากคาเฟอีนด้วย แต่บางคนติดหนักดื่มกันเกินวันละ 3 ถ้วยตั้งแต่เช้าจนก่อนนอน แบบนี้ กาแฟคงไม่ให้ประโยชน์แน่ ๆ แต่ยิ่งจะทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับเข้าไปอีก

          แล้วอย่างนี้จะดื่มกาแฟอย่างไรถึงเกิดผลเสียต่อสุขภาพน้อยที่สุด เฟซบุ๊ก มูลนิธิหมอชาวบ้าน มี 7 ข้อแนะนำมาบอกให้คอกาแฟได้จดจำ คนที่ชอบดื่มกาแฟลองทำตามดูได้เลย

กินกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ และเกิดผลเสียน้อยที่สุด

          1. ควรสังเกตว่าตัวคุณเองมีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟกี่ถ้วย มีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตนเอง

          2. หากมีอาการนอนหลับยาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือช่วงหัวค่ำ

          3. ไม่ควรดื่มกาแฟขณะท้องว่าง เนื่องจากคาเฟอีนเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

          4. ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อหักโหมทำงาน และอดนอนติดต่อกันหลาย ๆ คืน แม้ว่าคาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวจริง แต่สมองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้

           5. หากคุณเป็นผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมเพิ่มเติม เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น

          6. ควรกินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟจะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น แต่วิตามินซี อี และเบต้าแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอท ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้

          7. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของคาเฟอีน
 
          เคล็ดลับดี ๆ จากหมอชาวบ้าน คงถูกอกถูกใจคอกาแฟกันน่าดู ถ้าอดใจไม่ดื่มไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ควรทานอาหารจำพวกผักผลไม้ อาหารทีมีแคลเซียมสูง และดื่มน้ำให้มาก ๆ ก็จะช่วยกำจัดพิษจากกาแฟถ้วยโปรดได้ค่ะ

แหล่งที่มา   http://health.kapook.com/view115789.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Sunday, March 29, 2015

ประโยชน์ของลำไย



 
ใครที่ชอบกินลำไย ทราบหรือไม่ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง เรามีเรื่องนี้มาบอก

- ลำไยมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน มีปริมาณซูโครสและกลูโคสสูง จึงช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้เร็ว

- สารอาหารต่างๆ ในลำไย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี และวิตามินซี เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบประสาท เลือด และความแข็งแรงของกระดูกและฟัน

 
- เนื้อลำไยมีสรรพคุณบำรุงเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใส จึงเหมาะกับสตรีหลังคลอด นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงหัวใจ ม้าม และช่วยทำให้ผ่อนคลาย

- ใบลำไย ใช้ชงเป็นชารักษาโรคมาลาเรีย แก้หวัด และริดสีดวงทวาร

- เมล็ดใช้แก้ปวด รักษาโรคผิวหนัง

- ดอกใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว

 
รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาลำไยมากินกันดูได้ แต่อย่ากินมากจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้ร้อนในได้.

แหล่งที่มา  https://sites.google.com/site
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, March 28, 2015

6 นิสัยดูแลสุขภาพ แต่กลับพาให้ป่วย




        เชื่อไหมคะว่า กิจวัตรประจำวัน (บางอย่าง) ที่เราทำเพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงนั้น อาจกลับส่งผลเสียต่อสุขภาพก็เป็นได้ นั่นคือ

      
1. ออกกำลังกายมากเกิน ร่างกายของเราไม่ต้องการการออกกำลังกายหนัก ๆ ถึง 3-4 วันต่ออาทิตย์ อาทิตย์ละ 30-45 นาทีค่ะ คุณอาจทำโยคะ เดิน ยกน้ำหนักบ้างเล็กน้อยสลับกับการว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ และแอโรบิคบ้างก็ได้

      
2. อาบแดดรับวิตามิน จริงอยู่ร่างกายของเราต้องการวิตามินดี เพื่อช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย หากคิดจะอาบแดดถ้าเกิน 20 นาทีขึ้นไป ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้รับวิตามิน อาจได้รับโรคมะเร็งผิวหนังแทนก็ได้

      
3. สบู่ ครีมอาบน้ำ กำจัดแบคทีเรีย ใช้บ่อยครั้งแทนที่จะฆ่าแบคทีเรียชนิดแย่ ๆ บางทีมันอาจฆ่าแบคทีเรียชนิดดีที่อาศัยบริเวณผิวหนังของพวกเราออกไปเสียจน หมดสิ้น จะให้ดีใช้สบู่ทั่ว ๆ ไปดีที่สุดค่ะ

      
4. นอน ๆ ๆ โดยเฉลี่ยพวกเราต้องการการนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อคืน แต่ถ้าคุณนอนน้อยหรือนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงขึ้นไป ก็ไม่ดีต่อร่างกาย แถมยังส่งผลให้เราอ้วนหรือกินมากเกินความจำเป็น เกิดอาการสับสน และซึมเศร้าได้อีกด้วย

      
5. เปิดแอร์เย็น ๆ ตลอดวันคืน ในเครื่องปรับอากาศมีแบคทีเรียและเชื้อโรค รวมถึงฝุ่นผงต่าง ๆ อยู่มากมาย การใช้แอร์ทุกเวลาจึงเป็นการทำลายสุขภาพ ดังนั้น หันมาเปิดหน้าต่าง รับลมเย็น หรือเดินออกไปนั่งเล่นนอกบ้านเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ดีกว่าเยอะค่ะ นอกจากนี้ก็อย่าลืมหมั่นทำความสะอาดฟิลเตอร์เครื่องปรับอากาศด้วยน้ำอุ่นและ สบู่ พร้อมทั้งตากให้แห้งทุกครั้งก่อนใส่กลับเข้าที่ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว

      
6. อาหารออร์แกนิกส์ จำพวกผัก ผลไม้ที่ (มัก) มีราคาสูง ซึ่งคุณมั่นใจนักหนาว่าปลอดภัยนั้น บางครั้งอาจมีสิ่งปนเปื้อน ยาฆ่าแมลง หรือพยาธิ มาทำลายสุขภาพอยู่ก็ได้ ดังนั้นอ่านฉลากข้างอาหารที่คุณซื้อทุกครั้ง แม้จะซื้อจากร้านอาหารเพื่อสุขภาพก็ตามนะคะ


แหล่งที่มา  Momypedia, http://health.kapook.com/view24778.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต