Wednesday, August 31, 2016

14 สรรพคุณ...ประโยชน์ของใบบัวบก แก้ช้ำในว่าดีแล้ว ใช้แก้โรคยิ่งดีใหญ่




คนที่อกหักเป็นประจำต้องเคยโดน ไล่ให้ไปกินน้ำใบบัวบกกันแน่ๆ ซึ่งนั่นเป็นคำเปรียบเปรยที่ทำให้เราเห็นภาพของประโยชน์และสรรพคุณอันเลื่อง ลือใน "ใบบัวบก" (Gotu kola) ได้ชัดเจนขึ้นว่า สามารถช่วยแก้อาการช้ำในได้เป็นอย่างดี โดยสรรพคุณเด่นของใบบัวบกนี้ถูกกล่าวขานกันมาเนิ่นนานจนคนส่วนใหญ่เข้าใจว่ารู้จักสมุนไพรชนิดนี้กันดีแล้ว


สมุนไพรใบบัวบก....แก้ช้ำใน แก้ช้ำโรค

ใครที่เคยคิดแบบนั้น ขอให้ติดตามกันต่อไป เพราะเราจะทำให้คุณได้เห็นคุณค่าของใบบัวบกที่หลายคนอาจไม่เคยทราบ ที่จริงแล้วใบบัวบกยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย สามารถรักษาโรคได้สารพัดเพราะใบบัวบกเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น มีสารประกอบสำคัญหลายชนิด มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่สูง อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินเค แคลเซียม แมกนีเซียม และกรดอะมิโน ที่สำคัญต่อร่างกาย 

ดังนั้น ความสามารถในการรักษาโรคของสมุนไพรชนิดนี้จึงมีมาก ใบบัวบกช่วยต้านการอักเสบทั้งหลาย สร้างเสริมการทำงานของสมองและความจำไม่หลงลืมง่าย แก้ร้อนในกระหายน้ำ และแก้อาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ในตำราแพทย์แผนจีนบอกว่า ใบบัวบกนั้นมีคุณสมบัติช่วยรักษาบาดแผลและโรคผิวหนัง เช่น โรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน ฯลฯ เป็นยาอายุวัฒนะ รวมทั้งยังได้รับการพูดึงสรรพคุณว่าช่วยป้องกันการติดเชื้อของไวรัสตับอักเสบ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์ แก้ท้องเสีย ท้องอืด และลดการเหี่ยวย่นของผิวพรรณได้ด้วย 


ข้อควรระวังในการทานใบบัวบก


อย่างไรก็ดี แม้สรรพคุณและประโยชน์ของใบบัวบกจะ มีมาก แต่หากจะใช้ใบบัวบกในการรักษาสุขภาพ จำเป็นต้องพิจารณาพื้นฐานร่างกายของแต่ละคนด้วย คนที่มีร่างกายขี้หนาวจะไม่เหมาะกับใบบัวบก เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาเย็นมาก ซึ่งเหมาะกับคนขี้ร้อนมากกว่า หรือในบางคนที่มีอาการแพ้สารบางอย่างในใบบัวบกก็อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ควรหยุดใช้ทันที


14 สรรพคุณของใบบัวบกในการรักษาโรค


1. ใบบัวบกมีสรรพคุณที่แก้อาการช้ำในหรือได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระแทก โดยจะช่วยสลายเลือดที่คั่งค้าง ลดอาการปวดบวมและการอักเสบให้ทุเลาลง

2. ใบบัวบกมีฤทธิ์เย็นและรสขม จึงช่วยแก้ไข้ ร้อนใน ตัวร้อน อ่อนเพลีย กระหายน้ำและเหงื่อออกมากในช่วงอากาศร้อนได้ดี

3. ใบบัวบกช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท เสริมสร้างให้ความจำดีขึ้น เพิ่มสมาธิ และช่วยชะลอการเกิดโรคความจำเสื่อมในวัยผู้สูงอายุ

4. ใบบัวบกมีสารสำคัญอย่างโซเดียม มีฤทธิ์ในการสมานแผลให้หายเร็ว ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา และช่วยเร่งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

5. ใบบัวบกมีสรรพคุณเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะติดขัด ป้องกันการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังช่วยรักษาโรคดีซ่านด้วย

6. ประโยชน์ของใบบัวบกช่วยดูแลเรื่องสายตา โดยมีสรรพคุณช่วยรักษาและฟื้นฟูสายตาจากอาการตาอักเสบ บวมแดง ระคายเคืองตา แพ้แสง และตาแห้ง เพราะใบบัวบกมีวิตามินเอสูง

7. ใบบัวบกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ให้มีความยืดหยุ่น สามารถทำงานได้ดีขึ้น

8. ใบบัวบกมีสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนัง อย่างโรคเรื้อน โรคสะเก็ดเงิน หัด หิด และผดผื่นคันตามผิวหนัง

9. ประโยชน์ของใบบัวบกกับอารมณ์ ใบบัวบกจะทำให้ร่างกายและอารมณ์สดชื่น จิตใจสงบและผ่อนคลาย ส่งผลให้นอนหลับได้ง่ายและสนิทขึ้น

10. ใบบัวบกมีประโยชน์ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ กลืนอาหารกลืนน้ำลำบาก หรือคอเป็นหนอง บำรุงเสียงได้ด้วย

11. ใบบัวบกเหมาะกับการใช้รักษาโรคบิด เพราะช่วยแก้อาการเริ่มที่จะเป็นโรคบิด ปวดเบ่งอุจจาระหรือมีเลือดปนเมื่อขับถ่าย และยังช่วยรักษาอาการท้องเสีย

12. ประโยชน์ของใบบัวบกกับโรคมะเร็ง โดยใบบัวบกมีสารที่ช่วยชะลอและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่อาจจะเป็นมะเร็งได้

13. ใบบัวบกมีสรรพคุณช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดี สามารถไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดอาการปวดศีรษะหรือวิงเวียนศีรษะลงได้

14. ประโยชน์ของใบบัวบกกับความงาม ใบบัวบกสามารถนำมาคั้นเอาน้ำเพื่อใช้บำรุงผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใส รักษาสิว และลบรอยตีนกาที่เป็นรอยตื้นๆ

จากที่ได้กล่าวถึงประโยชน์และสรรพคุณทางยาของสมุนไพรใบบัวบกกัน มา ก็คงจะทำให้เราได้ทราบและเข้าใจมากขึ้นว่า ใบบัวบกไม่ได้ใช้แก้อาการช้ำในได้ดีอย่างเดียว แต่ยังช่วยรักษาโรคได้อีกเยอะ แถมสามารถกินได้ทุกเพศและทุกวัย หากกินเป็นประจำก็จะส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีไปได้อีกนานเชียว


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://sukkaphap-d.com/14-%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b8%93%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%82%e0%b8%a2%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%9a/



Tuesday, August 30, 2016

สารพัดวิธีกินผักแบบเนียน ๆ อร่อยไม่ฝืนใจแถมได้ประโยชน์




         ผักผลไม้เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยประโยชน์สารพัด ข้อนี้ทุกคนรู้ดีกันมาตั้งแต่ยังเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เห็นผักอยู่ในอาหารก็ร้องยี้ เขี่ยเอาไว้ข้างจาน ไม่ก็สั่งแต่อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผักไม่ต้อง แต่รู้ไหมคะว่าแค่คุณไม่รับประทานผัก คุณก็พลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิตไปหลายต่อหลายอย่าง เพราะคนที่กินผักเป็นประจำ มีโอกาสได้รับสารอาหาร และวิตามินดี ๆ จากผักที่เนื้อสัตว์ให้ไม่ได้

          ที่ สำคัญผลวิจัยของสถาบันโภชนาการและการกำหนดอาหาร (Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics study) ยังบอกอีกด้วยว่า คนที่กินผักมักจะมีหุ่นสลิมเพรียวบางได้ง่ายกว่ามีทเลิฟเวอร์เยอะเลยล่ะ รู้อย่างนี้เราก็มากินผักกันดีกว่า และคนที่ไม่ชอบกินผักก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะวันนี้เรามีไอเดียกินผักแบบเนียน ๆ มาฝาก ไม่ต้องฝืนใจก็กินผักได้ง่าย ๆ ตามนี้เลย

1. กินเบอร์เกอร์ผัก

          ทุกครั้งที่ซื้อแซนด์วิซหรือเบอร์เกอร์มากิน ก็จะมีทั้งเนื้อสัตว์และผักแอบซ่อนอยู่ใต้แผ่นขนมปัง คราวนี้ก็หยิบเนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ออกมาหั่นเป็นชิ้นย่อย ๆ แล้วก็ใส่แครอท เห็ด ข้าวโพด มันฝรั่งอบ ผักสลัด บรอกโคลี หรือผักชนิดอื่น ๆ เพิ่มเข้าไป แค่นี้คุณก็จะได้รับแมงกานีส, โฟเลต, โพแทสเซียมจากเนื้อสัตว์ ได้รับไนอาซิน, สังกะสี, เหล็ก, ซีลีเนียม, โพแทสเซียม และวิตามินบีจากเห็ดแล้วล่ะ แถมสารพัดผักก็แอบซ่อนตัวอยู่ใต้ขนมปัง เรามองไม่เห็นหรอกเนอะ

2. ใช้ทาขนมปังแทนแยม

          เมื่อก่อนเคยใช้แยม หรือเนยทาขนมปัง แต่ต่อไปนี้ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้กินผักและได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ จากผักบ้างก็ดี โดยเปลี่ยนท็อปปิ้งขนมปังจากเนย นม น้ำตาล และแยม มาเป็นมันหวานบด ผสมอะโวคาโดและเกลือลงไปอีกนิดหน่อย พอให้ได้รับประโยชน์จากไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ไฟเบอร์ โพแทสเซียม และวิตามินซีบ้าง

3. เลือกเมนูเทมปุระผักรวม

          เทมปุระก็เป็นอาหารอีกเมนูหนึ่งที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และวิตามินจากผัก ซึ่งคุณสามารถนำผักหลากหลายชนิดมาชุบแป้งทอด กินเป็นอาหารว่างได้อย่างเอร็ดอร่อย ทั้งถั่วฝักยาว, แครอท, ข้าวโพดอ่อน, หัวหอมใหญ่, กะหล่ำปลี, กะหล่ำดอก, ฟักทอง, บรอกโคลี และผักชนิดอื่น ๆ ซึ่งพอนำผักมาทอดกรอบแบบนี้แล้ว จะทำให้ผักมีรสชาติที่หวานอร่อย กินง่ายขึ้นอีกเยอะเลย

4. กินผักอบ-ผักย่างสิ

          ผักย่างหรืออบก็มีรสหวานทานง่ายเหมือนกัน แต่ถ้าคุณยังไม่ชินกับการกินผักเพียว ๆ จะนำผักชนิดต่าง ๆ ไปอบหรือย่างให้พอสุก จากนั้นก็ปรุงรสด้วยเกลือป่นและพริกไทยดำ เสร็จแล้วก็นำไข่ต้มยางมะตูม หรือไข่ลวกมาตอกใส่ลงไปในชาม ทานคู่กับนมสดอุ่น ๆ สักแก้ว เท่านี้ก็ได้เมนูอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารอีกเพียบ ปลุกความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้ทุกเช้าเลยล่ะ

5. อบมัฟฟินผัก-คุกกี้ธัญพืช

          ถ้าคุณเป็นคนชอบทานขนมหวาน หรือโปรดปรานเบเกอรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ว่าง ๆ ก็ลองทำมัฟฟินมันฝรั่งหวาน ใส่วอลนัท หรืออัลมอนด์ลงไปเป็นชิพนิดหน่อย จะได้ช่วยเพิ่มโอเมก้า 3 ให้ร่างกายนำไปบำรุงหัวใจได้ด้วย หรือจะทำคุกกี้จากแป้งโฮลวีท ใส่แครอท แอปเปิลซอส ดาร์กช็อกโกแลต หรือเบอร์รีเข้าไปด้วยก็ได้จ้า

6. เวจจี้ดิปแสนอร่อย

          แทนที่จะเลือกเมนูฟิช แอนด์ ชิป มาจิ้มกับมายองเนส เราก็เปลี่ยนมาใช้ผักนึ่ง หรือผักต้ม จิ้มกับน้ำพริกกินกันดีกว่า นอกจากจะได้รสชาติสุดแซบแล้วก็ยังได้ประโยชน์และคุณค่าทางสารอาหารอีกมากมาย ส่วนจะเลือกผักอะไรมาต้มกินก็แล้วแต่ความสะดวกเลยค่ะ

7. ปั่นเป็นสมูทตี้

          ผักใบเขียวอย่างเคล หรือผักโขม เมื่อนำมาปั่นรวมกันกับน้ำผักผลไม้ชนิดอื่น ๆ จะดูกลมกลืนจนสังเกตแทบไม่ได้เลยว่ามีผักผสมอยู่ด้วย ซึ่งคุณจะนำผักผลไม้มาคั้น แล้วปั่นเป็นสมูทตี้ดื่มเพื่อสุขภาพก็ได้ หรือจะโรยเมล็ดเจียลงไปเพิ่มโอเมก้า 3 บำรุงหัวใจด้วยก็ดี ดื่มน้ำผักผลไม้แบบนี้ทุกวัน รับรองว่าหุ่นเช้งวับ ระบบขับถ่ายและสุขภาพอื่น ๆ ก็ดีตามมาแน่ ๆ

8. บดผสมเล็ก ๆ ลงไปในอาหารจานโปรด

          ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนไม่ชอบกินผัก เห็นผักเป็นชิ้นเป็นอันก็รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาทันที หรือเหม็นเขียวผักหลายชนิด อย่างนี้ลองหั่นผักเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วผสมลงไปในอาหารจานโปรดของคุณ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ทีนี้ผักที่เคยเหม็นเขียว ก็จะถูกกลิ่นอาหารหอม ๆ กลบจนมิด กินผักได้ง่ายขึ้นแล้วล่ะ

9. ทอดไข่เจียวผัก

          ถ้าคุณกินไข่ทอดชะอมได้อย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีปัญหาเหม็นเขียว อย่างนี้ก็น่าจะกินไข่เจียวผักได้เหมือนกัน แค่ลองเปลี่ยนไข่เจียวธรรมดา หรือไข่เจียวหมูสับที่เคยกิน เป็นไข่เจียวดอกขจร ไข่เจียวดอกแค ไข่เจียวผักรวมดูบ้างก็ดี อาหารอร่อยที่ได้ประโยชน์อย่างนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องพลาดจริงไหม ?

10. เติมผักใบเขียวลงไปในอาหารเส้น

          ปกติผักใบเขียวจะกินคู่กับอาหารเส้นได้ดี ดูจากบะหมี่เกี๊ยว หรือก๋วยเตี๋ยวชนิดอื่น ๆ สิ มักจะมีผักคะน้า กวางตุ้ง หรือผักบุ้งเป็นส่วนประกอบด้วย หรือหลายคนก็ชอบเด็ดใบโหระพาไส่ในชามก๋วยเตี๋ยวเรือ ฉะนั้นถ้าอยากเปิดโอกาสให้ตัวเองได้รับประทานผักใบเขียวบ้าง ก็ลองเด็ดใบโหระพา ลงในอาหารของคุณบ้างก็ได้ ใส่ในสปาเกตตี พาสต้า หรือต้มยำก็หอมอร่อยขึ้นอีกเยอะเลยนะ

11. หม่ำพิซซ่าหน้าผัก

          ถ้าวันไหนคิดอยากจะอบพิซซ่า หรืออยากจะกินพิซซ่าขึ้นมา ก็ลองสั่งพิซซ่าหน้าผักมากินสักทีสิ แล้วคุณจะรู้ว่าผักที่อยู่บนพิซซ่าก็ไม่ได้เหม็นเขียวและขมอย่างที่คิด แถมยังมีรสชาติดี เข้ากับเนื้อแป้งเหนียวนุ่มและซอสจิ้มมาก ๆ เลยเชียวล่ะ


12. ผสมสลัดผักกับธัญพืช

          คนที่กินผักได้ และชื่นชอบสลัดผักอยู่พอสมควร ครั้งต่อไปที่คุณจะกินสลัดผัก แนะนำให้ใส่ธัญพืชเข้าไปในสลัดผักสักนิด จะดีมากหากคุณจะเติมถั่วดำ ถั่วแดง ลูกเดือย ข้าวโพด เข้าไปด้วย เพราะสีสันต่าง ๆ ของธัญพืชเหล่านี้จะตัดกันดีกับผักใบเขียวที่อยู่ในสลัดผักอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้สลัดผักชามนั้นดูน่ากินขึ้นอีกเยอะเลย

13. ลิ้มรสซุปผัก

          หลายคนไม่กินผักเป็นชิ้น ๆ แต่พอจะกินซุปผักได้บ้าง ก็ถือว่ายังดีที่ร่างกายจะได้รับสารอาหารและคุณประโยชน์จากผักทั้งหลาย ซึ่งนอกจากซุปข้าวโพด และซุปฟักทองแล้ว ก็น่าจะลองกินซุปผักโขม หรือซุปผักใบสีเขียวอื่น ๆ ดูบ้าง เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่แตกต่างออกไป จะได้ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้นนะคะ

          ผักสด ๆ อาจจะเหม็นเขียวไปบ้างสำหรับบางคน แต่ถ้าได้ลองนำมาปรุงสุก หรือประกอบอาหารอย่างนี้รสชาติและกลิ่นของผักก็จะเปลี่ยนไป ดูน่ากินขึ้นมาอีกเยอะ ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบรับประทานผักเพราะคิดว่าผักเหม็นเขียว ก็ลองรับประทานผักตามเมนูที่เราแนะนำดูนะคะ ร่างกายจะได้รับไฟเบอร์ วิตามิน และสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายจากผักเพิ่มขึ้น จะได้ไม่ต้องกังวลกับปัญหาท้องผูก ปัญหาระบบย่อยอาหาร หรือร่างกายขาดวิตามินบางตัวอีกต่อไปจ้า


เครดิตภาพ    http://health.kapook.com/view73450.html

Monday, August 29, 2016

7 ประโยชน์ของวิตามินบี 1 (Vitamin B1)...ที่ร่างกายขาดไม่ได้




วิตามินบี 1 (Vitamin B1) หรือที่เราเรียกว่า ไทอามีน (Thiamine) นั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายของมนุษย์เราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินบี 1 ยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของส่วนต่างๆ ในร่างกายแต่ละช่วงวัยมากเลยทีเดียว อีกทั้งเป็นวิตามินที่ช่วยรักษาอีกสารพัดโรค...สรรพคุณและประโยชน์ของวิตามินบี 1 มีมากเพียงใด เรามาไขคำตอบไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ


7 สรรพคุณและประโยชน์ดีๆ ของวิตามินบี 1
 
1. วิตามินบี 1 ช่วยย่อยสลายอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตได้ สำหรับคนที่ชอบทานอาหารจำพวกแป้งเป็นประจำ คุณรู้หรือไม่ว่า หากร่างกายของคุณขาดวิตามินบี 1 คุณมีความเสี่ยงที่ร่างกายย่อยสลายแป้งให้กลายเป็นโมเลกุลเล็กๆ ไม่ได้ ไม่สามารถนำสารอาหารเหล่านั้นไปใช้ได้ ดังนั้นคนที่รักทานอาหารจำพวกแป้ง ต้องรักการทานวิตามินบี 1 ควบคู่ด้วย

2. วิตามินบี 1 ช่วยลดความปวดหลังผ่าตัดฟันได้ เราอาจยังไม่รู้ว่าเจ้าวิตามินบี 1 นี่แหละเป็นเสมือนยาระงับความเจ็บปวดให้กับเราได้หลังการทำฟัน เพราะบริเวณช่องปาก เหงือก ล้วนประกอบไปด้วยเส้นประสาทต่างๆ มากมาย แต่หากว่าคุณได้รับวิตามินบี 1 อย่างเพียงพอ อาการเจ็บปวดเหล่านี้จะหายได้เร็วขึ้น ดังนั้นอาหารที่มีวิตามินบี 1 จะกลายเป็นของเยี่ยมไข้ชั้นยอดสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด

3. วิตามินบี 1 ช่วยรักษาโรคเหน็บชา สำหรับใครที่เป็นโรคเหน็บชา หรือมีอาการชา เป็นตะคริวบ่อยๆ แนะนำให้ทานวิตามินบี 1 เป็นประจำ และในปริมาณที่มากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีอาการของโรคนี้มักขาดวิตามินบี 1 หรือทานวิตามินชนิดนี้น้อยเกินไปนั่นเอง

4. วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบประสาท กล้ามเนื้อ ให้ทำงานอย่างปกติ โดยทั่วไปแล้ววิตามินบี 1 จะทำงานร่วมกับสารอาหารตัวอื่นๆ ที่ร่างกายได้รับ ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ประสาท และกล้ามเนื้อในร่างกายของเรา หากร่างกายได้รับวิตามินบี 1 ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจจะทำให้ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกายผิดปกติได้

5. วิตามินบี 1 ช่วยบำรุงสมอง เสริมความคิดและสติปัญญาให้ดีขึ้น

6. วิตามินบี 1 ช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบินได้ เรียกว่ากินแทนยาแก้เมาได้เลยทีเดียวค่ะ

7. วิตามินบี 1 สรรพคุณช่วยรักษาโรคงูสวัดได้


วิตามินบี 1 อยู่ในอาหารประเภทไหนบ้าง?


วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่อาจจะกลายเป็นวิตามินที่หาทานได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอาหารที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้ผ่านการปรุงแต่ง และขัดสี โดยวิตามินบี 1 นั้นจะอยู่ในอาหารที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการทางเคมี แต่เราก็สามารถหาวิตามินบี 1 ทานได้จากธัญพืช อย่างเช่น เมล็ดทานตะวัน จมูกข้าวสาลี งา ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด รำข้าว เปลือกข้าว ถั่วเหลือง รวมถึงอาหารประเภท นม ปลา ตับ เนื้อวัวไม่ติดมัน เนื้อออร์แกนิก ไข่ โดยเฉพาะเมล็ดธัญพืชต่างๆนั้นถือได้ว่าเป็นเป็นแหล่งอาหารชั้นเยี่ยมที่อุดม ไปด้วยวิตามินบี 1 เลยก็ว่าได้


รักษาโรคเหน็บชา....ด้วยกา่รทานวิตามินบี 1 


เรามักได้ยินคุณหมอสมัยใหม่ หมอตำราโบราณ หรือแม้แต่คนทั่วๆ ไปที่รักสุขภาพ ต่างบอกผู้ป่วยโรคเหน็บชาให้ทานข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง หรือข้าวที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี เพราะเมล็ดธัญพืชเหล่านี้อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 ที่ช่วยรักษาโรคเหน็บชาได้ กระบวนการขัดสีข้าว หรือเมล็ดพืชทำให้วิตามินบี 1 ที่อยู่บนเปลือกเมล็ดถูกกะเทาะออกไป...โรคเหน็บชานอกจากจะมีผลต่ออาการชาตาม เนื้อตัวแล้ว ยังมีผลกระทบต่อลำไส้ หัวใจ และระบบประสาทอีกด้วย เพราะฉะนั้นวิตามินบี 1 จึงกลายเป็นพระเอกที่ช่วยรักษาโรคเหน็บชานั่นเอง

เห็นไหมล่ะว่าสรรพคุณและประโยชน์ของวิตามินบี 1 มีมากแค่ไหน และมีความสำคัญต่อร่างกายเราอย่างไร ที่ควรรู้คือวิตามินบี 1 ไม่สามารถเก็บสะสมเอาไว้ในร่างกายเหมือนไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นต้องหาทานวิตามินบี 1 เป็นประจำสม่ำเสมอ อย่าให้ร่างกายขาดวิตามินบี 1 ตัวนี้นะจ๊ะ


http://sukkaphap-d.com/7-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%82%e0%b8%a2%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b5-1-vitamin-b1/
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/eatspinrunrpt/oatmeal-fantasies/

Sunday, August 28, 2016

ทายซิ ข้าวโพดต้ม หรือ ถั่วต้ม ผ่อนคลายความเครียดได้?




ในปัจจุบันภาวะความเครียดดูจะเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวเราเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน หรือเรื่องครอบครัว...เรื่องราวเหล่านี้สามารถเป็นสาเหตุของความเครียดได้ ทั้งสิ้น บางทีแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็กลับกลายเป็นสาเหตุของความเครียดได้โดยที่เราคาดไม่ถึง...สาวๆหลายคนยิ่ง เครียดก็ยิ่งกิน ยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน แต่จะดีกว่าไหม หากอาหารที่เรากินนั้นช่วยผ่อนคลายความเครียด มีประโยชน์ และไม่

ทานข้าวโพดต้ม ผ่อนคลายความเครียดได้

ในขณะที่สมองเกิดภาวะตึงเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนในสมองที่ร่างกายจะหลั่งออกมาเวลาที่เรามีความเครียด ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ระดับกลูโคสและไขมันในเลือดก็จะน้อยลง ทำให้เรารู้สึกหิวและอยากกินของหวานมากกว่าปกติ หากมีระดับฮอร์โมนนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเป็นปัญหาต่อสุขภาพได้...อาหารที่กินแล้วจะช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติซอลให้ อยู่ในระดับปกติ และช่วยลดอาการโหยหาของหวานของเราได้ก็คือ ข้าวโพดต้มนั่นเอง

หลายคนคงเคยยินมาแล้วว่า การกินข้าวโพดมีประโยชน์มากมาย เพราะในข้าวโพดมีทั้งวิตามินเอ อี เค ช่วยบำรุงสายตา กระเพาะอาหาร และยิ่งไปกว่านั้น ข้าวโพดต้มยังมีวิตามินB3 หรือไนอะซินสูง มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนเลือดไปสู่สมองดีขึ้น ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลลดลง ช่วยผ่อนคลายความเครียดลง ได้ นอกจากนี้แล้วการกินข้าวโพดต้มยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และโรคมะเร็งได้ เพราะเมื่อข้าวโพดได้รับความร้อน จะปล่อยสารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่เรียกว่า สาร antioxidant ออกมา ช่วยต่อต้านการแก่ตัวของเซลล์ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด และช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนัง ช่วยรักษาความเสียหายของผิวหนังที่เกิดจากรังสีอุลตร้าไวโอเลต จึงสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ ส่วน ถั่วต้มถึงแม้จะไม่มีสรรพคุณในด้านช่วยผ่อนคลายความเครียด แต่ก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะเป็นแหล่งพลังงาน คาร์โบไฮเดรต และไขมันชนิดดี ทำให้อิ่มท้องได้นาน และทานอาหารได้น้อยลง แต่ระวังหากทานมากเกินไปอาจทำให้อ้วนได้นะจ๊ะ!!

เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเครียด ให้พยายามหาเวลาว่างออกกำลังกายบ่อยๆ หากเครียดเรื่องงานให้ออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้งให้สมองปลอดโปร่งบ้าง การให้ร่างกายได้สัมผัสกับแสงแดด สายลม ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจได้มากขึ้นด้วย และหากเบื่อๆ อยากมีอะไรเคี้ยวให้ปากไม่ว่างล่ะก็ ข้าวโพดต้มเป็นตัวเลือกแรกที่คุณควรนึกถึงค่ะ

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/1chickendoodle/veggie/

Saturday, August 27, 2016

ล้างพิษให้ร่างกายกันดีกว่า




          แม้ว่าคุณจะดูแลตัวเองดีแค่ไหน คุณก็ยังได้รับสารพิษต่าง ๆ ทั้งจากอาหาร, น้ำ, และอากาศ ต่อไปนี้จะเป็นวิธีที่ช่วยล้างพิษได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และทำได้ง่าย ๆ

          เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดีร่างกายของเราก็จะสามารถกำจัดผู้บุกรุกได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ร่างกายก็สามารถทำได้ในระดับหนึ่งก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัว และตอนนี้พวกเราก็ได้รับสารเคมีต่าง ๆ ที่ซับซ้อนอยู่เรื่อย ๆ

          ด็อกเตอร์กีทาโน่ มอเรลโล่, N.D. แพทย์ธรรมชาติบำบัดชั้นแนวหน้าของแคนาดา และเป็นผู้แต่งหนังสือชื่อ Whole Body Cleansing (Active Interest Media) กล่าวว่า "คำถามไม่ได้เป็นคำถามที่ว่า เราได้รับสารพิษหรือไม่ แต่กลายเป็นว่า เราจะกำจัดสารพิษที่ได้รับอย่างไรมากกว่า"

          ไม่น่าแปลกใจเลยที่ว่า ความสามารถในการกำจัดพิษจากร่างกายที่ตกต่ำลงของเรา อาจมีรากเหง้ามาจากปัญหาสุขภาพมากมาย โชคดีที่สามารถเอาสารพิษต่าง ๆ เหล่านั้นมากำจัดทิ้งได้ภายในเจ็ดวัน รางวัลที่ได้รับก็คือ คุณมีแนวโน้มที่จะเห็นได้ว่าอาการแพ้ ปวดศีรษะ ปัญหาของไซนัส และอาการท้องอืดล้วนลดน้อยลง แล้วรู้สึกมีพลังมากขึ้น ผิวและตาสดใสขึ้น หรือแม้แต่ลดน้ำหนักตัวลงมาได้บ้างด้วย

กำจัดพิษด้วยตนเอง

          ให้ระบบย่อยอาหารทำงานเบาลงด้วยการรับประทานแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ให้เปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร หันมาทานอาหารในท้องถิ่น, อาหารตามฤดูกาล และอาหารออร์แกนิคให้มากที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องอดหรือลดอาหารลงอย่างเข้มงวด เมื่อคุณทานอาหารที่มีสารอาหารอุดม ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารที่ช่วยสนับสนุนการล้างพิษไปด้วยในตัว

          หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ตัดสินใจอย่างมีสติเพื่อที่จะให้ได้สารบำรุงและรักษาร่างกาย บริโภคอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในช่วงเจ็ดวัน เพื่อให้เห็นผลได้มากที่สุด

          ช่วยการทำงานของไตด้วยการดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ หลีกเลี่ยงน้ำที่ปนเปื้อนคลอรีนและฟลูออไรด์ที่พบได้ในน้ำประปาทั่วไป

          เพิ่มการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง เพื่อช่วยเร่งการกำจัดพิษ ทั้งการทำซาวน่า การนวดระบบการไหลเวียนของน้ำเหลือง การอาบน้ำด้วยเกลือแมกนีเซียม การขัดถูร่างกาย โยคะ และการทำสมาธิ เหล่านี้ช่วยให้สารพิษต่าง ๆ ไหลออกไปจากร่างกายได้อย่างราบรื่น

          ช่วยตับในการทำลายและกำจัดสารพิษ อวัยวะนี้มีหน้าที่หลักในการทำความสะอาด และกรองเอาสารพิษในเลือดออกไปก่อนที่จะกลับเข้าไปในระบบไหลเวียนของร่างกาย สิ่งที่ช่วยตับในการกำจัดสารพิษมักประกอบด้วยวิตามินบี ชนิดต่าง ๆ, อะมิโน แอซิด โคลีน, กลัยซีน, เม็ทไธโอนีน, และทอรีน

          บำรุงระบบย่อยอาหาร อาหารเสริมกากใยอาหาร หรือไฟเบอร์ที่คุณภาพดีเป็นสิ่งจำเป็นในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารชนิดที่ละลายในน้ำได้ช่วยชโลมและป้องกันระบบย่อยอาหารทำให้การขจัดของเสียเป็นไปได้ดีขึ้น หากมีประวัติท้องผูกและคาดว่าจะมีอุจจาระคั่งอยู่ในลำไส้ใหญ่ ก็อาจใช้วิธีสวนลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำบริสุทธิ์ (colonic hydrotherapy)

          รับประทานอาหารเสริม รับประทานอาหารเสริมวิตามินและเกลือแร่รวมคุณภาพสูง อาหารเสริมโปรไบโอติคส์ เครื่องดื่มจากน้ำผัก และกรดไขมันจำเป็นชนิดต่าง ๆ

คุณมีความเสี่ยงอยู่หรือไม่?

          การได้รับสารเคมีต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมจะไปทำให้เกิดความเสียหายอย่างถาวรแก่เซลล์ประสาท (neurons - เซลล์ที่มีหน้าที่รับส่งและประมวลคำสั่งจากสมองไปยังร่างกาย) อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง, อารมณ์เปลี่ยนแปลง, อ่อนเพลีย, และสัญญาณของการเสื่อมในการคิดใช้เหตุผลอาจบ่งชี้ให้เห็นว่าคุณกำลังได้รับสารพิษมากเกินไป

          ในการศึกษาที่ชื่อว่า Occupational and Environmental Medicine แสดงให้เห็นว่า ยาฆ่าแมลงทำให้เกิดความเสียหายได้เป็นอย่างมาก เพราะมันถูกออกแบบมาให้เป็นพิษต่อระบบประสาท จึงเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ด้วย

          เราสามารถช่วยให้สุขภาพของเราและสุขภาพของโลกดีขึ้นได้ โดยการซื้อพืชผักที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ หรือออร์แกนิคให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง ที่ชื่อว่า Alternative Medicine Review ระบุว่า การกระทำข้างต้นเพียงอย่างเดียวก็ช่วยให้คุณได้รับสารไฟโตเคมิคัลจากพืชที่ ช่วยปกป้องสุขภาพของเราได้อีกมากมาย และลดการรับสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงลง อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการผลิตอาหารแบบยั่งยืน

ดื่มน้ำผักผลไม้

          แต่ละวันคุณรับประทานผลไม้และผักได้ห้าถึงหกบริโภค (servings) หรือเปล่า? แล้วเมื่อวานและเมื่อวานซืนทานได้อย่างนี้หรือเปล่า? หากไม่ได้ คุณก็มีโอกาสที่จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่เพียงพอ การดื่มน้ำผลไม้และน้ำผักทุกวันช่วยทำความสะอาดและทำให้ร่างกายได้สารอาหารหลายหลากชนิดรวมทั้งเอนไซม์ต่าง ๆ ด้วย จำไว้ว่าให้คั้นน้ำจากผลไม้และผักที่สุกและสด และจะให้ดีที่สุดก็ควรดื่มทันทีที่คั้นเสร็จ อย่าเก็บไว้นานเกินชั่วโมงหรือสองชั่วโมง เพราะจะสูญเสียสารอาหารไปได้อย่างรวดเร็ว

          นอกจากนี้น้ำผักและผลไม้สดยังมีประโยชน์ในการทำให้ค่ากรด-ด่างในร่างกายอยู่ในระดับที่เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะน้ำผัก ซึ่งทำให้ร่างกายมีค่าเป็นด่าง ให้ลองน้ำจากแครอท, บีทรูท, ผักชีฝรั่งและผักกาดใบหยิก ร่างกายจะแข็งแรงที่สุดเมื่อเราสามารถรักษาระดับให้อยู่ในสถานะเป็นด่างอย่างสม่ำเสมอ

          โชคร้ายที่ทั้งความเครียด, น้ำตาล, กาแฟ, แอลกอฮอล์ และอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิต ล้วนเป็นอาหารที่ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด และไปรบกวนสมดุลระหว่างกรด : ด่างได้อย่างรวดเร็ว ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการทดสอบอย่างง่าย ๆ

อาหารชั้นนำ 6 อย่างที่ช่วยล้างพิษ

          ต่อไปนี้เป็นอาหารที่แนะนำที่ช่วยให้สุขภาพดีโดยธรรมชาติ :

          1.สูตรผสมน้ำผัก : น้ำดื่มจากผักที่มีชีวิตมีค่าความเป็นด่างสูง สูตรผสมน้ำผักคุณภาพสูง ๆ หาซื้อได้ในร้านขายอาหารในท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะมีส่วนผสมต่าง ๆ อย่างเช่น อัลฟัลฟ่า, ใบข้าวบาร์เล่ย์, วีทกราส, สไปรูไลน่า และคลอเรลล่า สุดยอดอาหารเหล่านี้ใช้กันมากในโปรแกรมล้างพิษ รวมไปถึงใช้ในการกำจัดโลหะหนักด้วย

          2.น้ำมันมะพร้าว : เป็นที่ทราบกันว่าเป็นอาหารพื้นเมืองชั้นยอด ประโยชน์หลักที่มีต่อสุขภาพก็คือมันอุดมด้วยกรดลอริค (lauric acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดสายโซ่ยาวปานกลาง (medium-chain triglyceride) ที่มีพลังในการช่วยระบบภูมิคุ้มกัน, ป้องกันไวรัส, แบคทีเรีย และจุลชีพอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดโรค น้ำมันมะพร้าวไม่เหมือนกับน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันคาโนล่า คือมันไม่มีไขมันทรานส์ที่เป็นอันตราย หรือผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้สารละลายเฮ็กเซน (hexane) ที่เป็นอันตราย

          3.ผักใบเขียวเข้ม : ผักปวยเล้ง, ผักกาดใบหยิก, บ็อคซอย และใบบีทรูทอุดมด้วยสารอาหารและคลอโรฟิล ซึ่งเป็นรงควัตถุของพืชที่คอยควบคุมพลังงานจากแสงอาทิตย์ คลอโรฟิลมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย รวมไปถึงมีความสามารถในการจับเข้ากับโลหะหนัก อย่างเช่น สารปรอท และขับออกจากร่างกาย ให้เลือกผักใบเขียวที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ (ออร์แกนิค) รับประทานสด ๆ หรือนึ่งสักเล็กน้อย

          4.กระเทียม : มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ อุดมด้วยสารประกอบซัลเฟอร์ และช่วยตับกำจัดพิษ

          5.เครื่องดื่มเวย์โปรตีน : เวย์โปรตีนคุณภาพสูงจะให้อะมิโน แอซิด ชนิดเส้นสายที่แตกแขนง (branch chain anino acids) ซึ่งต้องการสำหรับรักษามวลกล้ามเนื้อและสะสมกลัยโคเจนไว้ในกล้ามเนื้อเพื่อ ใช้เป็นพลังงานต่อเนื่อง อะมิโน แอซิด ชนิดเส้นสายแตกแขนง เช่น ลิวซีน (leucine), ไอโซลิวซีน (iaolwuxinw) และแวลีน (valine) เป็นอะมิโน แอซิด ที่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ ดังนั้นเราจึงต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น อาหารที่จำกัดแคลอรี หรือการอดอาหารจึงทำให้เกิดการทำลายของกล้ามเนื้อลงได้

          6.เปลือก Psyllium : ให้กากใยชนิดที่ละลายได้ในน้ำ ช่วยทั้งการดูดจับและขับของเสียออกไปทางลำไส้ใหญ่ มักจะใช้ ½ ถึง 2 ช้อนชา ละลายกับน้ำหนึ่งถ้วย ส่วนผลิตภัณฑ์ล้างพิษที่มีส่วนประกอบของมะขามแขก (senna) ควรหลีกเลี่ยงเพราะมันจะไปกระตุ้นทางเดินอาหารมากเกินไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อาหาร & สุขภาพ
http://health.kapook.com/view43860.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/162481499028346826/