Thursday, January 26, 2017

9 เคล็ดลับกินดี รักษาหุ่นสวย ช่วงวันตรุษจีน




         หลายคนคงแอบรู้สึกกังวลกับหุ่นของตัวเองเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปี นั่นเพราะช่วงนี้มีอาหารอร่อย ๆ ให้เราได้อิ่มเอมฉลองวันตรุษจีนกันเพียบ แถมส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น หมู เห็ด เป็ด ไก่ ปลาหมึก และขนมต่าง ๆ ซึ่งถ้ารับประทานมากเกินไปก็ไม่ดีต่อหุ่นของเราแน่นอน

          ว่าแล้วเราก็ขอนำเสนอเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณรักษาหุ่นสวยหลังผ่านพ้นเทศกาลอาหารอร่อย ๆ เช่นนี้ไปได้โดยไร้กังวล เอ้า...ควรปรับพฤติกรรมการกินอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

1. รู้จักเลือกรับประทาน

          ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ แม้อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหมูสามชั้นทอดกรอบ ไก่ต้ม เป็ดต้ม ปลาหมึกแห้ง อาหารทะเล (พูดแล้วหิว) จะล่อตาล่อใจ แต่เราอยากจะขอให้ทุกคนจำกัดการทานเนื้อสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกปิ้ง ๆ ย่าง ๆ หรือของทอด เพราะอาหารพวกนี้เต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัวที่สูงมาก ๆ และไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย ถ้าอยากได้โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ขอแนะนำให้ทานอาหารจำพวกถั่ว เมล็ดถั่ว ที่ให้โปรตีนเหมือนกับพวกเนื้อสัตว์แทน

          ส่วนขนมทั้งหลายนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นแป้งกับน้ำตาลล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็น ขนมจันอับ ขนมเข่ง ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่ ก็ควรรับประทานให้น้อย ๆ (หรือไม่ทานได้เลยยิ่งดี) เพราะขนมพวกนี้แหละจะทำให้คุณอ้วนเอาได้ง่าย ๆ

2. ทานผัก-ผลไม้ให้มาก ๆ

          นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ผัก-ผลไม้ก็เป็นอาหารสำคัญที่เห็นกันบ่อยในเทศกาลตรุษจีนเช่นกัน แถมแต่ละชนิดก็มีความหมายดี ๆ เป็นมงคลด้วยนะ อย่างเช่น

          - สาหร่ายทะเลสีดำ ออกเสียงว่า ฟัตชอย คล้ายกับความหมายที่ว่า ความมั่งคั่งร่ำรวย

          - ต้นหอม เป็นสัญลักษณ์ของความราบรื่นในทุกสิ่งทุกอย่าง

          - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก

          - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

          - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

          - ส้มแมนดาริน หมายถึง โชคลาภ โชคดี ความสวัสดีมหามงคล

          เพราะฉะนั้น เน้นการรับประทานผัก-ผลไม้ให้มาก ๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนเนื้อสัตว์ทั้งหลายก็บริโภคให้น้อย ๆ หน่อยแล้วกันนะจ๊ะ

3. อย่าปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป

          นั่นเพราะเมื่อคุณหิว คุณมีแนวโน้มที่จะทานอาหารได้เกินปริมาณที่คุณคิด หากยังไม่ถึงเวลาอาหารในตอนเที่ยง หรือตอนหัวค่ำ แต่เกิดรู้สึกหิวซะแล้ว ก็ให้หาของเพื่อสุขภาพทานในมื้อระหว่างวัน เช่น แอปเปิล กล้วย ถั่ว

4. ดื่มน้ำมาก ๆ

          มีคำแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ยิ่งในช่วงตรุษจีนนี้ก็ยิ่งควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะไปช่วยชะล้างสารพิษในอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปหลังจากกินเลี้ยงมื้อใหญ่ด้วย แน่นอนว่า น้ำที่ดีที่สุดที่แนะนำก็คือ "น้ำเปล่า" ธรรมดา ๆ นี่แหละค่ะ อ้อ...งานนี้ไม่นับรวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำหวานทุกชนิดนะจ๊ะ

5. ใช้จานใบเล็ก ๆ

          ถ้าไม่อยากรับประทานอาหารอันแสนโอชะที่วางอยู่ข้างหน้ามากเกินไป เราขอแนะนำให้เลือกใช้จานใบเล็ก ๆ ซึ่งจะทำให้คุณเห็นว่าตัวเองทานอะไรไปมากแค่ไหนแล้ว และหยุดทานได้ทัน แต่หากคุณใช้จานใบใหญ่ มันยิ่งจะทำให้คุณทานอาหารในปริมาณที่มากขึ้นโดยไม่ทันระวังเลยนะ

6. เคี้ยวช้า ๆ

          ในแต่ละมื้อที่คุณทานอาหาร ขอให้ทานให้พออิ่มเพียง 70% ก็พอ วิธีง่าย ๆ ก็คือ พยายามเคี้ยวอาหารให้ช้า ๆ เพื่อให้สมองได้มีเวลาคิดสักหน่อยว่า นี่คุณอิ่มแล้วนะ จะได้สั่งการให้คุณหยุดทานได้ก่อนที่จะยิ่งทานมากไปกว่านี้ จำไว้ว่ายิ่งเคี้ยวเร็ว ยิ่งทานเยอะนะเออ

7. ทำอาหารทานเองที่บ้าน

          ใครที่กำลังคิดจะออกไปฉลอง หรือไปหาอาหารเหลาอร่อย ๆ ทานในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ลองคิดดูดี ๆ นะคะ เพราะมีงานวิจัยชี้ว่า การออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านจะยิ่งทำให้คุณได้รับแคลอรีมากกว่าการทานอาหารที่บ้านถึง 2,000 แคลอรีเชียวนะ นั่นเพราะหากคุณไปทานอาหารข้างนอก คุณมีแนวโน้มที่จะกินทุกอย่างที่สั่งมาให้หมดจาน (เพราะเสียดายนั่นแหละ ><) และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเผลอทานอาหารมากกว่าที่ร่างกายต้องการนั่นเอง

8. อย่าอยู่เฉย

          การนั่งนิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ จะทำให้คุณอ้วนเอาได้ง่าย ๆ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นซะ แล้วไปออกกำลังกายกันดีกว่า ช่วงวันหยุดแบบนี้ คงจะแก้ตัวว่าไม่มีเวลาไม่ได้แล้วนะจ๊ะ อย่าลืมว่าในเทศกาลนี้ คุณอาจจะทานอาหารเข้าไปมากจนรับแคลอรีมากเกินไป ดังนั้น ก็ถึงเวลาที่คุณต้องเบิร์นพลังงานเหล่านั้นออกมาด้วยการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้หุ่นอวบ ๆ มาเยือนได้แล้วล่ะ

9. จัดหาอาหารเพื่อสุขภาพไว้ต้อนรับแขก

          ในช่วงตรุษจีนนี้เป็นช่วงเวลาที่บรรดาญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง จะเดินทางมาเยี่ยมเยียนอวยพรปีใหม่กันที่บ้าน และแน่นอนว่า ในฐานะเจ้าของบ้านก็จะต้องหาอาหาร และขนมไว้เลี้ยงต้อนรับแขก ซึ่งคงจะดีมากเลยล่ะ ถ้าคุณเตรียมอาหารที่มีประโยชน์เอาไว้ต้อนรับแขก อย่างเช่น สลัดผัก ผลไม้ แทนที่จะเป็นขนมหวาน ขนมเค้ก หรืออาหารอื่น ๆ ส่วนเครื่องดื่ม แนะนำให้เสิร์ฟน้ำชามะนาวเย็น ๆ เพื่อเติมพลังให้กับร่างกายแทนที่จะเลือกเสิร์ฟน้ำอัดลม หรือน้ำหวาน

          เป็นไงกันบ้างจ๊ะ กับ 9 ทิปส์ดี ๆ ที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนกลัวอ้วนในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ยังไงก็ลองนำไปใช้กันดูน้า...

http://health.kapook.com/view54073.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/484137028673461007/

Wednesday, January 25, 2017

15 พฤติกรรมยามดึกที่ทำให้อ้วน นอนไม่หลับ และฝันร้าย !




          เช็คกันหน่อยว่ายามดึกคุณชอบทำกิจกรรมเหล่านี้หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมอ้วนขึ้น ลดน้ำหนักไม่ลงสักที หรือนอนไม่หลับและฝันร้ายเกือบทุกคืน !

          ใต้ความอ้วนที่มี ใต้อาการนอนไม่หลับที่เป็น และใต้การนอนฝันร้ายที่เห็นและจำได้ เชื่อไหมคะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณมีที่มาที่ไปด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งหากคุณมักจะทำพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนเข้านอนด้วยแล้ว ก็ยากเหลือเกินที่จะหลุดพ้นจากความอ้วน อาการนอนไม่หลับ และฝันร้าย ! แต่จะมีพฤติกรรมยามดึกแบบไหนบ้างที่เป็นต้นเหตุ ลองมาเช็กกัน

1. จัดหนักมื้อเย็น

          กินมื้อเย็นเต็มที่ก็เสี่ยงจะเกิดไขมันสะสมในร่างกายมากพออยู่แล้ว แต่ยังไม่เพียงเท่านั้นสิคะ เพราะเมื่อเรากินมื้อเย็นเยอะเกินไป อิ่มเกินไป ร่างกายก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการย่อยอาหารในท้อง ซึ่งอาจทำให้ระบบย่อยอาหารต้องยืดเวลาการทำงาน และรบกวนการนอนหลับพักผ่อนของเราได้

          อีกทั้งการกินให้เกินความอิ่มของท้องอาจก่อให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย จุกแน่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ส่งผลให้คุณนอนหลับอย่างกระสับกระส่าย ฝันร้าย จนสุดท้ายก็นอนไม่พอ เสี่ยงต่อความอ้วนเพิ่มขึ้นไปอีก
 
2. งดมื้อเย็น

          ครั้นจะงดมื้อเย็นไปเลยระบบย่อยอาหารก็จะปรวนแปรไม่น้อยเหมือนกัน ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจากการที่กรดในกระเพาะไม่ได้ใช้งานอย่างถูกวิธี หรือบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ รู้สึกหิวหนักมากจนนอนไม่หลับ เดือดร้อนให้ฮอร์โมนในร่างกายสับสนวุ่นวายไปหมด แล้วเชื่อเถอะค่ะว่า เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาคุณจะรู้สึกหิวสุด ๆ แถมยังอาจรู้สึกอยากจะกินแต่ของหวาน !

 3. กินของทอดของมันเป็นมื้อเย็น

          อาหารไขมันสูงอย่างอาหารประเภททอด ขาหมู หรืออะไรก็ตาม นับเป็นอาหารที่ร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อยค่อนข้างนาน ก่อกวนการนอนหลับพักผ่อนของร่างกาย นำไปสู่การนอนหลับฝันร้ายได้อีกด้วย และก็อย่างที่รู้กันด้วยนะคะว่า อาหารไขมันสูงเป็นมิตรกับความอ้วนอยู่แล้ว ฉะนั้นหากไม่อยากอ้วน ไม่อยากฝันร้าย ไม่อยากนอนไม่หลับ ก็พยายามเลี่ยงอาหารไขมันสูงในมื้อเย็นให้ไกลเลย
 
4. กินอาหารรสจัดจ้าน

          การรับประทานอาหารรสจัดจ้านในมื้อเย็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาใกล้เข้านอน เป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อการนอนฝันร้ายจนนอนไม่พอมาก ๆ เลยล่ะค่ะ เพราะอาหารรสจัดจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายให้ตื่นตัว ซึ่งดูเหมือนจะดีต่อการลดน้ำหนักใช่ไหมคะ แต่เปล่าเลย...เพราะอย่าลืมว่าในระหว่างที่เรานอนหลับ ร่างกายควรต้องการความสงบเพื่อให้นอนหลับได้สนิท ใช่เวลาที่ระบบเผาผลาญจะมาครึกครื้นเฮฮาซะที่ไหน !

          อ้อ ! นอกจากนี้อาหารรสจัดอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคกรดไหลย้อนให้เราได้อีกต่างหากด้วยล่ะจะบอกให้

5. กินขนมหวานก่อนนอน

          ถ้าไม่อยากอ้วนก็ไม่ควรกินขนมหวานหลัง 6 โมงเย็นด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากแคลอรีในขนมหวานจะสูงลิ่วแล้ว การรับประทานอาหารที่มีรสหวาน โดยเฉพาะหากเป็นความหวานที่มาจากสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล แบบนี้ก็จะเสี่ยงต่อการนอนไม่หลับหรือฝันร้ายเพิ่มมาด้วย เนื่องจากสารสังเคราะห์ดังกล่าวเป็นสารแปลกปลอมที่ร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อยค่อนข้างนาน ดังนั้นระบบย่อยอาหารจึงต้องทำงานล่วงเวลาอีกแล้วนั่นเอง
 
6. กินของว่างระหว่างดูทีวี

          ใครที่ชอบดูหนัง ดูละครก่อนเข้านอน และต้องมีของว่างแก้เหงาปากกินเพลิน ๆ ไปด้วย ขอให้รู้ไว้เลยค่ะว่าพฤติกรรมนี้ไม่ได้แค่พาให้อ้วนขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้คุณนอนหลับไม่สนิท และอาจฝันร้ายเอาได้ เนื่องจากในขนมขบเคี้ยวส่วนใหญ่มักจะมีส่วนผสมของสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล หรืออย่างน้อย ๆ ก็อาจมีสารสังเคราะห์อื่น ๆ ที่ใช้ผสมอาหาร ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยหรือเผาผลาญสารเหล่านี้ได้ในทันที ก่อกวนระบบเผาผลาญและระบบย่อยอาหารให้ต้องทำงานหนัก

7. เทคคาเฟอีนเข้าร่างกาย

          รู้ทั้งรู้ว่าคาเฟอีนช่วยปลุกให้สมองตื่นจากความง่วงงุน ดังนั้นหากเราเติมคาเฟอีนให้ร่างกายภายใน 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ก็เป็นไปได้มากว่าคืนนั้นจะนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายจนอาจเลยเถิดไปถึงฝันร้าย และแน่นอนว่าเมื่อนอนไม่พอร่างกายก็เสี่ยงต่อพฤติกรรมพาอ้วนอื่น ๆ อีกเป็นกระบวน

          อ้อ ! และอย่าคิดว่าอาหารที่มีคาเฟอีนจะเป็นกาแฟหรือชาเท่านั้นนะคะ เพราะจริง ๆ แล้วมีรายการอาหารแฝงคาเฟอีนมากกว่านั้นที่เราอยากให้คุณรู้

          - 6 อาหารที่มีคาเฟอีนแฝงอยู่ บอกเลย ถึงไม่ดื่มกาแฟก็หนีไม่พ้น
 
8. ดริงก์ก่อนนอน

          เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยให้หลับสบายขึ้นอย่างที่เข้าใจ เพราะจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเบียร์ ไวน์ เหล้า หรือแอลกอฮอล์ชนิดอื่น ๆ ก็ล้วนแต่มีสารแคมีที่ออกฤทธิ์ต่อสมองทำให้นอนไม่หลับด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะหากดื่มแอลกอฮอล์ภายใน 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ที่หลังดื่มในช่วงแรก ๆ อาจทำให้รู้สึกง่วงงุน แต่เมื่อหมดฤทธิ์แอลกอฮอล์ไปแล้วร่างกายจะตื่นตัว และอาจจะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย ๆ จนทำให้ต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึกเป็นระยะ ๆ อีกอย่างอย่าลืมด้วยค่ะว่า แอลกอฮอล์แต่ละชนิด แคลอรีก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยเชียวล่ะ

9. เข้านอนทันทีหลังจบมื้อเย็น

          บางคนเลิกงานดึก เลยจำเป็นต้องกินมื้อเย็นเลทไปด้วย และลงท้ายด้วยการกินอิ่ม อาบน้ำ และเข้านอนเลย ซึ่งแน่นอนค่ะว่ากรณีนี้จะเกิดอาการจุกแน่น ทำให้นอนไม่สบาย เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อน และอาจนอนฝันร้ายเพราะการนอนหลับกระสับกระส่ายของเรานี่แหละ 

10. กินอิ่มแล้วไม่ขยับ

          ผลการศึกษาเมื่อปี 2013 แสดงให้เห็นว่า คนที่กินอิ่มแล้วนั่งจมอยู่กับโซฟา หรือมัวแต่นั่งเล่นดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย คนกลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อความอ้วนมากกว่าคนที่จบมื้อเย็นแล้วขยับตัวไปทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างกวาดบ้าน ถูบ้าน หรือพาน้องหมาออกไปเดินเล่นไม่ต่ำกว่า 10 นาที ดังนั้นหากไม่อยากเป็นคนอ้วนในอนาคต เรามาขยับหลังมื้อเย็นเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญกันสักหน่อยดีกว่า
 
11. กินมื้อเย็นหน้าทีวี

          ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยไบรมิงแฮม พบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่กินมื้อเย็นไปด้วย ดูทีวีไปด้วยจะอร่อยกับอาหารมื้อนั้นและกินอาหารได้เยอะกว่ากลุ่มที่นั่งกินมื้อเย็นบนโต๊ะอาหาร อีกทั้งการได้ดูทีวีระหว่างกินอาหารอาจทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลินจนจบมื้อาหารแล้วก็ไม่อยากลุกไปไหน ลดโอกาสในการขยับเขยื้อนร่างกายเพิ่มขีดความสามารถของเมตาบอลิซึมนั่นเอง

12. ทำงานก่อนเข้านอน

          สายบ้างานต้องรู้ไว้เลยค่ะว่า การเช็กอีเมลงานก่อนนอนหรือเคลียร์งานก่อนนอนอาจส่งผลให้คุณนอนไม่หลับและอ้วนขึ้นได้ เพราะการทำงานในเวลานี้อาจพาความเครียดติดไปกับสมองของคุณในระหว่างที่คุณนอนหลับ ส่งผลให้เสี่ยงต่อการฝันเป็นตุเป็นตะจนร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
 
13. เล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอน

          น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่าสมาร์ทโฟนจะส่องแสงสีฟ้าผ่านหน้าจอออกมาแม้เราจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาก็ตาม ซึ่งแสงสีฟ้าที่ว่านี้มีอันตรายต่อสุขภาพของเราไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะในตอนกลางคืน หากเราเล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอน ร่างกายอาจโดนแสงสีฟ้าเล่นงานจนรบกวนการทำงานของเมลาโทนิน ฮอร์โมนสำคัญต่อการนอนหลับพักผ่อนของร่างกาย ทำให้เรานอนไม่หลับ นอนฝันร้าย และลามไปจนถึงอ้วนขึ้นได้ เพราะร่างกายจะส่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ทำให้ในวันรุ่งขึ้นเราจะรู้สึกอยากกินแต่อาหารรสหวาน อาหารฟาสต์ฟู้ด เพื่อเติมความสดชื่นให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว หายจากความอ่อนเพลียเพราะนอนไม่พอ

14. นอนดึกทุกวัน

          ขอย้ำอีกทีว่าการนอนไม่พอทำให้อ้วนขึ้นได้จริง ๆ โดยนายแพทย์ Stuart Quan ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เปิดเผยผลการศึกษาเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 ว่า การนอนหลับส่งผลโดยตรงต่อความเสี่ยงโรคอ้วน โดยพบว่าคนที่นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคอ้วนสูงถึง 45% ซึ่งในการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติและเข้าไปทำให้ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) หรือฮอร์โมนความหิวเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังทำให้ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความอิ่มลดลง จึงเป็นสาเหตุทำให้เราหิวบ่อยขึ้นนั่นเอง

          นอกจากนี้การพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการกินด้วย โดยจะทำให้เราเลือกกินอาหารจำพวกขนมขบเคี้ยว น้ำตาล คาเฟอีน อาหารแคลอรีสูง อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง และแอลกอฮอล์มากกว่าปกติ อีกทั้งยังอาจส่งผลให้กินอาหารไม่เป็นเวลา หรือรับประทานอาหารไม่ครบ 3 มื้อ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุของความอ้วนตามมาค่ะ
 
15. ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ซะสายโด่ง

          บางคนตั้งใจว่าจะนอนตื่นเที่ยงเลยก็มีค่ะ ซึ่งพฤติกรรมนอนตื่นสายที่เคยชินกันมาตลอดนี่แหละต้นตอของความอ้วน เพราะการนอนตื่นสายจะทำให้เราพลาดมื้อเช้าที่แสนจะสำคัญ อย่างที่ผลการวิจัยชิ้นหนึ่งได้บอกเอาไว้ว่า การได้กินอาหารที่มีโปรตีนสูงในมื้อเช้าจะช่วยให้เราควบคุมอาหารได้ตลอดทั้งวัน ทำให้รู้สึกหิวจุบจิบน้อยลง เสี่ยงต่อความอ้วนน้อยกว่าคนที่พลาดมื้อเช้าค่อนข้างมาก และหากยังไม่เชื่อก็ลองดูนี่

          - จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่กินอาหารเช้า ?

          ถ้าไม่อยากอ้วนขึ้น และมีสุขภาพพัง ๆ จากการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ก็พยายามเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้กันด้วยล่ะ

ภาพจาก pexels.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
brightside, prevention, eatthis, reader’s digest
http://health.kapook.com/view164754.html

Tuesday, January 17, 2017

คนนอนน้อยต้องรู้ ! แค่งีบหลับก็ช่วยให้ตื่น สดชื่นยิ่งกว่าดื่มกาแฟ




          อาจเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าแค่ร่างกายได้งีบหลับเพียง 15-20 นาที จะช่วยให้อาการง่วงงุนอ่อนเพลียที่เป็นมาเกือบทั้งวันถูกแทนที่ด้วยความสดชื่นตื่นเต็มตาได้ แต่วิธีนี้ช่วยให้สดชื่นได้จริง !

          บางครั้งการนอนหลับให้เต็มอิ่มยาวนาน 7-8 ชั่วโมงก็ยังทำให้เราตื่นมาพร้อมกับอาการไม่สดชื่นได้ ยิ่งในวันไหนที่นอนน้อยอาการมึนเบลอยิ่งเล่นงานเราหนักข้อจนเกือบเสียงานเสียการกันไปใหญ่ ซึ่งหากใครกำลังเผชิญกับพลังความอ่อนเพลียอันเนื่องมาจากการอดนอนหรือนอนไม่หลับ ลองงีบกันสักช่วงเวลาสั้น ๆ สิคะ แล้วร่างกายจะรู้สึกสดชื่นตื่นตัวมากขึ้น ทว่าหากใครยังสงสัยว่าแค่งีบหลับจะมีอานุภาพมากขนาดนั้นได้ยังไง เรามีคำตอบมาให้อ่านตรงนี้แล้ว

          การงีบหลับในช่วงเวลาสั้น ๆ สามารถปลุกพลังในร่างกายให้เราได้มากกว่า 58% ทั้งนี้ Sara C. Mednick ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนและนักเขียนหนังสือ Take a Nap ! Change Your Life ให้ข้อมูลมาว่า เพียงการงีบหลับสัก 15-20 นาทีในแต่ละครั้ง ก็สามารถรีเซตระบบการทำงานของสมองและช่วยปลุกความตื่นตัวให้ร่างกายได้ทันทีที่ลืมตาตื่น ความง่วงงุนก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง อานุภาพรุนแรงกว่ากินคาเฟอีนเป็นไหน ๆ

        ทั้งนี้เหตุผลที่การงีบหลับช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นเหมือนคนได้พักผ่อนเต็มอิ่มอย่างนั้นก็เพราะว่า ก่อนที่ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะอยากงีบหลับ ร่างกายเราจะรู้สึกเหมือนแบตจะหมด หรือเกิดความรู้สึกอ่อนล้าหนักมาก ดังนั้นการผล็อยหลับของเราที่แม้จะเกิดเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็สามารถทำให้ร่างกายหลับสนิทได้ทันทีเหมือนถอดปลั๊ก สมองได้ชัตดาวน์ตัวเองสักพักให้หายเหนื่อยล้า ไม่เหมือนที่เรานอนหลับยาว ๆ ตามปกติ ที่บางคนหัวถึงหมอนแล้วก็ยังนอนกระสับกระส่าย หรือรู้สึกหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืนซึ่งก็เท่ากับว่าร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างสมบูรณ์นั่นเอง

        อย่างไรก็ตาม การงีบหลับเพื่อปลุกความสดชื่นให้ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพควรอยู่ในช่วงเวลาระหว่าง 13.00-15.00 น. เพราะช่วงนี้จะเป็นช่วงที่นาฬิกาชีวิตหรือวงจรการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ต้องการการพักผ่อน ร่างกายและสมองจะมีการตอบสนองช้าลง จึงเหมาะแก่การหลับลึกในช่วงเวลาสั้น ๆ เป็นอย่างดี นอกจากนี้สภาพแวดล้อมที่เราจะงีบสักตื่นก็ควรเป็นที่มืด เงียบสงบ และมีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อช่วยให้เรางีบหลับได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

          อ้อ ! แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรงีบเพลินเกิน 30 นาทีต่อครั้งนะคะ เพราะหากเผลอหลับดิ่งลึกนานไปกว่านั้น อาจตื่นมาพร้อมกับอาการงัวเงียและมึนหัวเป็นที่สุดก็ได้

       

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
webmd
sleep.org
sleepfoundation
artofwellbeing
http://health.kapook.com/view164294.html

Monday, January 16, 2017

ชีวิตดีกับ 6 วิธีเลือกช่องคิวจ่ายเงินที่ซูเปอร์มาร์เกตอย่างไรให้ไวที่สุด




         ผลวิจัยเผย สุดยอดวิธีการเลือกแถวจ่ายเงินอย่างไรให้เร็วที่สุด ที่จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและลดปัญหาการต่อคิวอันแสนน่าเบื่อได้อย่างไม่น่าเชื่อ

          ปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนมักเจอและรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมากเวลาไปช้อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เกตก็คือ การรอคิวจ่ายเงินนั่นเอง ซึ่งช่วงเวลาที่สินค้าลดราคาหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าเคาน์เตอร์คิดเงินช่องไหน ๆ ก็เต็ม ยิ่งชั่วโมงที่เราเร่งรีบมาก ๆ ด้วยนั้นพูดได้คำเดียวเลยว่า "เซ็งไปอีก" 
          แต่ปัญหากวนใจเหล่านี้กำลังจะหมดไป เพราะว่าวันนี้เราจะมานำเสนอสุดยอดวิธีการเลือกช่องคิวที่จะช่วยให้การเข้าแถวจ่ายเงินของคุณนั้นรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแต่ละข้อนั้นเป็นผลงานการวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญมากมายจากประเทศสหรัฐอเมริกา เราไปดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีวิธีอะไรให้ทำตามกันบ้าง

1. เลือกแถวสั้นที่มีของเยอะดีกว่าแถวยาวแต่ของน้อย

          อาจฟังดูขัด ๆ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเลือกต่อแถวที่คนเยอะของน้อย มากกว่าแถวที่คนน้อยแต่ของเต็มรถเข็น ซึ่งนั้นเป็นการเลือกที่ผิด เพราะอ้างอิงจากอาจารย์คณิตศาสตร์พบว่า แถวที่ซื้อของน้อยเหมือนจะดูเร็วกว่าก็จริง แต่ว่าแคชเชียร์นั้นต้องเสียเวลากับการทักทาย คิดเงิน เอาของใส่ถุง และขอบคุณ โดยเฉลี่ยแล้วใช้เวลา 41 วินาทีต่อลูกค้าหนึ่งคน แต่การสแกนบาร์โค้ดสินค้าแต่ละชิ้นใช้เวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น

          นั่นหมายความว่า ถ้าลูกค้าก่อนหน้าเรามีของ 100 ชิ้น เราจะใช้เวลา 6 นาทีในการรอ กลับกันหากเราไปต่อแถวคน 4 คน ซึ่งมีของอยู่คนละ 20 ชิ้น เราจะต้องเสียเวลาในการรอเกือบ ๆ 7 นาทีเลยทีเดียว 

2. เลือกเข้าคิวทางฝั่งซ้ายเข้าไว้


          คนส่วนมากนั้นถนัดมือขวา ส่งผลให้เวลาเลือกต่อแถวจึงมีแนวโน้มที่จะเอนไปทางช่องคิวด้านขวาก่อนเสมอ ฉะนั้นเวลาเลือกต่อแถวครั้งหน้าควรมุ่งไปทางฝั่งซ้ายก่อนเลยรับรองคนน้อยกว่าแน่นอน

3. เลือกเเคชเชียร์ที่เป็นผู้หญิง

          จากการสังเกตการณ์พบว่า แคชเชียร์ที่เป็นผู้หญิงนั้นจะคิดเงินคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ชาย แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงแคชเชียร์ที่ดูอัธยาศัยดีเพราะหล่อนจะชวนเราคุยเยอะจนเสียเวลามากเกินไปนั่นเอง

4. เลือกต่อคิวหลังคนที่ซื้อของชนิดเดียวกันหลาย ๆ ชิ้น

          สินค้าหลายชิ้นต่างชนิดกัน ย่อมเร็วกว่าสินค้าต่างชนิดกันในจำนวนหรือปริมาณที่เท่ากัน ฉะนั้นลองแอบสังเกตคนก่อนหน้าเราดูสักนิดนึงว่า ของที่เขาซื้อส่วนมาเป็นแบบไหน เพราะของบางชนิดจะคิดเงินได้ช้ากว่า เช่น พวกที่ไม่สามารถสแกนบาร์โค้ดได้ แต่ต้องคีย์ข้อมูลตัวเลขแทนเป็นต้น

5. เลือกโฟกัสที่ความเร็วในการเคลื่อนตัวของแถว ไม่ใช่ความยาว 

          ก่อนจะเลือกช่องคิวต่อแถวนั้น เราควรหยุดแล้วมองดูภาพรวมว่าแถวแต่ละช่องนั้นเป็นอย่างไร เพราะผลการวิจัยพบว่าคนเรามักจะเลือกแถวที่สั้นจนลืมคำนึงถึงความเร็วในการเคลื่อนตัวของแถวนั่นเอง

6. เลือกต่อคิวผู้ชาย และระวังคิวที่มีผู้สูงอายุ

          ไม่ใช่เพียงจำนวนของคนในแถวหรือปริมาณสินค้าเพียงเท่านั้นที่เราต้องพิจารณา อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยประหยัดเวลาได้ก็คือการเลือกคนที่เราจะไปต่อคิวนั่นเอง เช่น หากเราต่อหลังผู้ชายอาจจะเร็วกว่า เพราะพวกเขาไม่ชอบการรอจึงมักทำอะไรเร็ว หรือพยายามเลี่ยงต่อคิวผู้สูงอายุเพราะมีโอกาสช้ากว่าในการเคลื่อนไหวอย่างการยกของและหยิบเงินในกระเป๋า

และอีกหลายวิธีที่เราสามารถประหยัดเวลาได้ด้วยตัวเอง นอกจากที่ได้กล่าวไปข้างต้น เช่น เลือกจ่ายเงินช่องที่รับเฉพาะเงินสดเท่านั้นเพราะเร็วกว่าการรูดบัตร  หรือถอดไม้แขวนและหยิบป้ายราคาออกมาให้เห็นชัดเจนหากเป็นพวกเสื้อผ้า รวมถึงแบ่งของกันเพื่อแยกจ่ายในช่องทางด่วนถ้าไปกันสองคน เป็นต้น

          สุดท้ายนี้หากวิธีที่เราได้นำเสนอไปนั้นคุณเคยลองมาหมดแล้วแต่ยังไม่มีข้อไหนเวิร์กเลย เราขอแนะนำให้คุณหาอะไรทำระหว่างต่อแถวเข้าคิว เนื่องจากนักจิตวิทยาเขาได้ทำการวิจัยออกมาแล้วว่า "สาเหตุที่เราคิดว่ามันนาน เป็นเพราะเรารู้สึกกำลังรอ ดังนั้นควรหากิจกรรมทำเพื่อฆ่าเวลาระหว่างนั้นอย่างคุยกับคนข้าง ๆ หรือหาอ่านข่าวบนมือถือ แล้วจะพบว่าเวลานั้นผ่านไปไวแบบไม่ทันได้คิดเลย"

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
nytimes.com
businessinsider.com
news.com.au
เครดิตภาพ  http://hilight.kapook.com/view/147063