Sunday, August 31, 2014

10 ผลไม้เพื่อหน้าสวยเปล่งปลั่ง




         คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า ถ้าอยากผิวสวย ต้อง "วิตามินซี" แต่วิตามินซีเพื่อผิวสวยจะต้องทานอะไรเข้าไป หรือเพียงแค่ใช้มาสก์ผิว และผลไม้อะไรที่มีวิตามีนซีสูงบ้าง แล้วจริง ๆ วิตามินซีทำไมถึงทำให้ผิวพรรณของเราสวยได้ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ. ..

          ประโยชน์ของวิตามินซีกับผิวพรรณ

          วิตามินซี หรือชื่อเต็มว่า Ascobic Acid เป็น วิตามินที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากการทานเข้าไป มีหน้าที่หลัก ๆ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากขบวนการในร่างกาย หรือจากมลพิษ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่าง ๆ เสื่อม หรืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่ผิดปกติได้ วิตามินซียังทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในขบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวกับผิวหนัง และของเส้นเลือดให้แข็งแรง ไม่เปราะ ยืดหยุ่นได้ดี และยังช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว ดังนั้นจึงช่วยในการลดริ้วรอย ด่างดำ รอยสิวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยปรับสีผิวที่คล้ำจากแสงแดดให้ดูกระจ่างใสขึ้น โดยจะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ

          ซึ่งผลไม้เนี่ยแหล่ะ ที่จะเป็นแหล่งของวิตามินซี ที่สาว ๆ ทุกคนควรจะรับทราบและหมั่นบริโภคเข้าไป เพื่อให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่ง สวยใส ด้วยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องพี่งสารเคมีแต่อย่างใด แล้วผลไม้ที่มีวิตามินซี คือชนิดไหนบ้าง .. มาดูกันค่ะ

1. ส้ม

          ส้มอุดมไปด้วยเส้นใยธรรมชาติ วิตามินซี เกลือแร่ และคอลลาเจนสูงทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น และมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้นขึ้น โดยนวดเปลือกส้มแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นนำไปทาบริเวณใบหน้า คอ และไหล่แล้วปิดทับด้วยผ้าบาง ๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เสร็จแล้วใช้ครีมบำรุงผิวตามปกติ สูตรนี้จะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้าได้มากเลยทีเดียว หรือผสมเนื้อส้ม 1 ผล กับ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย นำมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต โดยไม่ต้องปั่นละเอียดมากนัก นำส่วนผสมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก


2. แอปเปิล

          แอปเปิล อุดมไปด้วยเพคตินที่ช่วยทำให้เล็บแข็งแรง ซึ่งจะมีวิตามินซีที่สามารถช่วยให้ผิวพรรณสวย เปล่งปลั่ง และยังเป็นผลไม้ที่ทานแล้วไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย โดยนำแอปเปิลไม่ปอกเปลือก 1 ผล น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นให้ละเอียดพอกให้ทั่วใบหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้งแอปเปิลจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนและลดเลือน จุดด่างดำ ส่วนน้ำผึ้งช่วยให้หน้านุ่มเนียนกระจ่างใสขึ้น


3. สตรอว์เบอร์รี

          วิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี รวมถึงวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซียม แถมด้วยกรด Ascorbic acid ซึ่งสามารถช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เพียงรับประทานสตรอว์เบอร์รีสดทุกวัน ก็จะทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ ก็จะเรียบเนียนเปล่งปลั่ง ช่วยชะลอความชรา และการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร โดยนำสตรอว์เบอร์รี 3-4 ผล โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดสตรอเบอร์รีให้ละเอียด เติมโยเกิร์ต และน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาลงบนใบหน้าและลำคอที่ทำความสะอาดแล้ว ยกเว้นรอบบริเวณดวงตาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โยเกิร์ตจะช่วยสร้างความสมดุลให้ผิวในขณะที่สตรอเบอร์รีช่วยทำความสะอาดและ กำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพทำให้ผิวกระจ่างใสและสดชื่น


4. สับปะรด

          อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อันได้แก่ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ผิวหนัง กินบ่อย ๆ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีอีกด้วย โดยผสมน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง น้ำสะอาดคนให้เข้ากัน พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นบริเวณปากและดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก สับปะรดช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวได้สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน A วิตามิน C สูงช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ขึ้น


5. ทับทิม

          ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่อัดแน่นไปด้วยวิตามินเอ ซี อีสูง ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านการเสริมสร้างผิวสวย กระจ่างใส ทั้งยังช่วยการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี ใครอยากมีผิวขาวสวย หัวใจแข็งแรง แนะนำให้ลองดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้วรับรองผิวพรรณสวยขึ้นแน่นอน หรืออาจใช้มาสก์สำเร็จที่สกัดมาจากทับทิมก็ได้ค่ะ


6. มะเขือเทศ

          จะช่วยชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ และยังช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทานเล่น ๆ หรือปั่นเป็นน้ำผลไม้ทานก็ดีต่อสุขภาพผิวเช่นกัน หรือมาสก์ โดยการผสมน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลงและบำรุงผิวให้ชุ่ม ชื้น


7. มะนาว

          เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีที่ว่านี้ก็จะช่วยให้สาว ๆ นั้นมีผิวพรรณที่นุ่มเนียนสดใส และเปล่งปลั่งด้วย โดยผสมน้ำมะนาวครึ่งลูกและดินสอพอง 4-5 เม็ด นำดินสอพองและมะนาวมาผสมให้เข้ากัน จะได้ครีมที่เหนียวข้น พอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีก่อนเข้านอน และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละประมาณ 3 – 4 ครั้ง จะทำให้หน้าใสมากขึ้น หรือผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมมาคนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะทำให้ใบหน้าอ่อนวัย ใสเปล่งปลั่งค่ะ


8. ฝรั่ง

          มีวิตามินซีมาก รวมถึงมีวิตามินเอและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ช่วยขับสารพิษจนทำให้ผิวมีสุขภาพดีไร้ริ้วรอยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยนำเนื้อฝรั่งมาบดให้ละเอียด แล้วพอกหน้า จะช่วยป้องกันผิวเหี่ยวย่น วิธีแก้จุดสัมผัสที่หยาบกร้าน ถ้าคุณมีผิวที่กร้านจากการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลาทำให้ผิวหนังแห้งสากได้


9. แตงโม

          มีทั้งแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิดที่มีอยู่มากมาย ช่วยบำรุงผิวพรรณของสาว ๆ ช่วยล้างไต และของเสีย ขับปัสสาวะในร่างกาย สามารถมาสก์ได้ โดยนำแตงโมมาฝานให้เป็นชิ้นบาง ๆ จากส่วนที่แดงที่สุด จากนั้นให้นำชิ้นแตงโมเหล่านั้นมาแปะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด


10. อะโวคาโด

          เพราะในผลไม้ชนิดนี้มีวิตามิน เอ ซี อี ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และสารแอนตี้ออกซิเดนท์อย่าง วิตามิน B1 B2 B6 โดยนำอะโวคาโดสดครึ่งลูกผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา แล้วมาสก์หน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา จะทำให้ผิวหน้ากระชับตึง เฟิร์มขึ้นค่ะ

 
          เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับผลไม้ 10 ชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามินที่มีคุณสมบัติให้ผิวพรรณของเรานั้นขาวใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งการรับคุณค่าของวิตามินซีจากผลไม้เหล่านี้ ได้ทั้งทานเข้าไปและใช้มาสก์หน้าตามสูตรข้างต้น อย่างนี้สาว ๆ ก็หมั่นบำรุงผิวหน้าตัวเองนะคะ รับรองว่าใครเจอจะต้องทัก ว่าอายุ 20 แน่นอน ^^

แหล่งที่มา  Woman Plus, http://health.kapook.com/view97168.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, August 30, 2014

10 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์



         อาหารเหล่านี้ช่วยล้างสารพิษได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ควรทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วนบริโภค (1 ส่วนบริโภค = 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร)


หน่อไม้ฝรั่ง

          นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่ม ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายใน ช่วยไตขับสารพิษ และการบวมน้ำ โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน



บีทรูท

          เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบ ๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด



เบอร์รี่

          บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมาก นำไปทำเป็นสมูธตี้หรือสลัดผลไม้


 
บร็อกโคลี

          มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็ง เนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบ ๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่า หรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัด หรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง


 
กะหล่ำปลี

          กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัด หรือนำไปผัด หรือนำไปต้มและผัดเร็ว ๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก


 
มะนาว (lemons)

          สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูง จึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อน ดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุต ดื่มเพิ่มความสดชื่น



ลินสีด (Linseed) หรือเมล็ดแฟล็กซ์

          นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษ ให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบด แล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด


 
พริก

          อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริกและมะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดี และช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย


 
มะละกอ และสับปะรด

          มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีน และกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อน ๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้น ๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวาน หรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาว ทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง


 
ผักสลัดน้ำ หรือวอเตอร์เครส

          เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครสเป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดี ท็อกซ์ของตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูง จึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอม หรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส



แหล่งที่มา  Health Plus, http://health.kapook.com/view19213.html
เครดิตภาพ  https://in.pinterest.com/pin/534380312005501690/

Friday, August 29, 2014

อาหารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้สุขภาพดี ชะลอวัย

 



        หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่า "สารต้านอนุมูลอิสระ" ว่าเป็นสารที่มีประโยชน์ ทานแล้วจะช่วยให้สุขภาพดี ชะลอวัย ต้านโรคต่าง ๆ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสารชนิดนี้กันค่ะ

          สารต้านอนุมูลอิสระ คือ บรรดาเอนไซม์กรดอะมิโน อาหารเสริม วิตามิน และแร่ธาตุ ที่ปกป้องเราจากอนุมูลอิสระ อันเป็นปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งสามารถทำลายเซลล์และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ร่างกายเราผลิตอนุมูลอิสระทุกวันจากกระบวนการเผาผลาญเพื่อให้เกิดพลังงาน หมายถึง มันคือผลพลอยได้ที่เราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในอากาศ ควันบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ โรคภัยไข้เจ็บ ไปจนถึงอาหารปิ้งย่าง อายุที่มากขึ้น กระทั่งการออกกำลังกายอย่างหักโหมจนเกินไป ล้วนก่อให้เกิดอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น

          เพื่อรักษาระดับปริมาณของอนุมูลอิสระ ร่างกายของเราจะสร้างสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ตัวที่โดดเด่นได้แก่ แคตตาเลส โคเอนไซม์คิวเทน กลูต้าไธโอน เมลาโทนิน วิตามินเอ แอลฟาและเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี กรดไลโปอิก ธาตุซีลีเนียม ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส และธาตุสังกะสี

          โดยเมื่อเราอายุมากขึ้น อนุมูลอิสระก็จะสะสมมากขึ้น ในขณะที่ร่างกายสร้างสารต้านอนุมูลอิสระได้น้อยลง ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคหัวใจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และด้วยเหตุนี้เอง อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและอาหารเสริม เช่น ใบแปะก๊วย สารสกัดจากเมล็ดองุ่น สารสกัดจากชาเขียว ไอโซฟลาโวน ลูทีน และไลโคปีน จึงมีความจำเป็นต่อเรา และยิ่งเราเริ่มรับประทานอาหารเหล่านี้เร็วเท่าใด ก็ยิ่งส่งผลดีต่อร่างกายของเราในระยะยาวมากขึ้นเท่านั้น

 

บทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ

          งานวิจัยมากมายบ่งชี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรคโดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับอาหาร เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น รวมทั้งช่วยชะลอกระบวนการบางขั้นตอนที่ทำให้เกิดความแก่ โดยปกติร่างกายสามารถกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำอันตราย แต่ถ้ามีการสร้างอนุมูลอิสระเร็วหรือมากเกินกว่าร่างกายจะกำจัดทัน อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะสร้างความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยลดความเสียหายที่เกิด

ร่างกายได้รับอนุมูลอิสระจากไหน ?

          1. การหายใจ จากขบวนการเผาผลาญภายในร่างกายตลอดเวลา ซึ่งเราเรียกว่าปฏิกิริยาออกซิเดชันโดยมีออกซิเจนเป็นตัวเร่ง

          2. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการฆ่าเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวภายนอกได้รับจากแสงแดด, รังสี UV, ควันจากท่อไอเสีย, มลพิษในอากาศ, ฝุ่น, ควันบุหรี่, แอลกอฮอล์, สารเคมีในอาหาร, อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว, อาหารที่มีธาตุเหล็กมากกว่าปกติ, อาหารที่ไหม้เกรียม ยารักษาโรค ฯลฯ

แหล่งอาหารที่สำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระ

          สารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอ ซิลิเนียม สังกะสี แคโรทีนอยด์ (เบต้าแคโรทีน ลูทีน และไลโคปีน)

         
1. วิตามินซี อาหารที่ให้วิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม มะละกอสุก พริกชี้ฟ้าเขียว บรอกโคลี ผักคะน้า ยอดสะเดา ใบปอ ผักหวาน ผักกาดเขียว ตำลึง ผักบุ้ง เป็นต้น

 
         
2. วิตามินอี มีในน้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เมล็ดทานตะวัน เมล็ดอัลมอนด์ จมูกข้าวสาลี

 
         
3. ซีลีเนียม มีมากในอาหารทะเล ปลาทูน่า เนื้อสัตว์และตับ บะหมี่ ไก่ ปลา ขนมปังโฮลวีต

 
         
4. วิตามินเอ มีมากในตับหมู ตับไก่ ไข่ โดยเฉพาะไข่แดง น้ำนม พืชผักที่มีสีเขียวเข้ม ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น ผักตำลึง ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอสุก มะเขือเทศ แอปปริคอท

 
         
5. แคโรทีนอยด์ (เบต้าแคโรทีน ลูทีน และไลโคปีน) มีมากในผักที่มีสีเขียวเข้ม ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น ผักตำลึง ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอสุก มะเขือเทศ

 
ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระ

        
1. ชะลอกระบวนการแก่ชรา

        
2. ช่วยให้ร่างกายขับสารพิษที่ก่อมะเร็งและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง

        
3. ยับยั้งการเจริญเติบโตจากเนื้องอกต่าง ๆ ในร่างกาย

        
4. ช่วยป้องกันโรคปอดเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง

        
5. ช่วยบรรเทาอาการของโรคอัลไซเมอร์ได้

        
6. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ด้วย

        
7. ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

        
8. ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดโลหิตในสมองตีบ

        
9. ช่วยป้องกันโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม

        
10. ช่วยเป็นเกราะในการป้องกันมลพิษต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อม


แหล่งที่มา  woman plus, http://health.kapook.com/view95749.html

Thursday, August 28, 2014

ประโยชน์ของน้ำมะนาว ดื่มอุ่น ๆ ยามเช้า ดีแค่ไหนต้องพิสูจน์




           ประโยชน์ของน้ำมะนาวเปรี้ยวจี๊ด ชงดื่มอุ่น ๆ สักแก้วยามเช้าก็ทำให้ร่างกายสดชื่น สดใสไปตลอดทั้งวัน แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกเพียบ ดูซิมีอะไรบ้าง  

           อย่างที่เรารู้กันดีกว่าน้ำมะนาวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะใช้ในการลดน้ำหนัก แต่รู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำมะนาวอุ่น ๆ ตอนเช้าก่อนการทานอาหารก็จะช่วยทำให้มีสุขภาพที่ดีได้ด้วย เหมือนที่เว็บไซต์ tasty-yummies.com ได้บอกเล่าเอาไว้ถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำมะนาวในตอนเช้า ลองตามไปดูกันจ้า

ช่วยย่อยอาหาร

          น้ำมะนาวจะช่วยล้างสารพิษและสิ่งที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย เพราะในน้ำมะนาวนั้นมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับน้ำลายและกรดไฮโดรคลอริกที่อยู่ในน้ำย่อย ส่งผลให้ตับผลิตน้ำดีซึ่งเป็นกรดที่จำเป็นในการย่อยอาหาร นอกจากนี้มะนาวยังมีแร่ธาตุและวิตามินสูง ช่วยขับสารพิษที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร ฤทธิ์ในการย่อยของกรดที่มีอยู่ในน้ำมะนาวนั้นจะช่วยบรรเทาอาการเกี่ยวกับอาหารไม่ย่อย อย่างเช่น กรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ นอกจากนี้สมาคมมะเร็งในอเมริกายังแนะนำว่าควรจะดื่มน้ำมะนาวอุ่น ๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ไม่มีสารตกค้างซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งในลำไส้ได้

ช่วยดีท็อกซ์และเป็นยาขับปัสสาวะ

           น้ำมะนาวจะช่วยขจัดสิ่งต่าง ๆ ในร่างกายออกผ่านออกทางปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานดีขึ้น นอกจากนี้กรดซิตริกในน้ำมะนาวยังจะช่วยเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วย กระตุ้นตับและช่วยในการล้างสารพิษอีกด้วย


ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน

            มะนาวมีวิตามินซีสูงช่วยต่อสู้โรคหวัด และยังมีโพแทสเซียมสูงซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและเส้นประสาท ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิตด้วย วิตามินซีที่พบในมะนาวนั้นยังช่วยต่อต้านการอักเสบ และช่วยรักษาโรคหอบหืด และโรคอื่น ๆ เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย ซึ่งธาตุเหล็กนี้มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างมาก แถมมะนาวเปรี้ยวจี๊ดยังมีซาโปนินซึ่งช่วยต่อต้านเชื้อไข้หวัดและลดเสมหะในร่างกายได้

ปรับสมดุลของค่า pH ในร่างกาย

           แม้ว่ามะนาวมีทั้งกรดซิตริกและแอสคอร์บิก ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด แต่เมื่อผสมกับน้ำดื่มแล้วน้ำมะนาวจะมีฤทธิ์เป็นด่าง หรือที่เราเรียกว่า Alkaline Water ซึ่งจะช่วยในการลดความเป็นกรดในเลือด อีกทัั้งแร่ธาตุที่อยู่ในมะนาวยังช่วยปรับสมดุลความเป็นด่างให้แก่เลือด การดื่มน้ำมะนาวเป็นประจำจะช่วยลดความเป็นกรดในร่างกายโดยเฉพาะกรดยูริคซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการปวดและการอักเสบ

ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง

           วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ สามารถช่วยลดริ้วรอย สิว แก้ปัญหาผิวมัน ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และช่วยฆ่าแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว แถมยังช่วยทำให้สุขภาพผิวดีจากภายในสู่ภายนอก เราสามารถนำมะนาวมาใช้กับแผลเป็นโดยตรงเพื่อทำให้แผลเป็นจางลงได้อีกด้วย ได้ยินแบบนี้แล้วสาว ๆ จะไม่ดื่มน้ำมะนาวได้ไงล่ะเนอะ
  
ช่วยเพิ่มพลังและทำให้อารมณ์ดีขึ้น

          พลังงานของมนุษย์ส่วนใหญ่มาจากอะตอมและโมเลกุลในอาหารซึ่งประกอบด้วยโมเลกุล ประจุบวก ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะทำให้ร่างกายทำงานช้าลง แต่มะนาวก็เป็นหนึ่งในอาหารไม่กี่ชนิดที่มีโมเลกุลประจุลบในปริมาณสูง จึงช่วยทำให้ร่างกายมีพลังมากขึ้น นอกจากนี้กลิ่นของน้ำมะนาวยังช่วยปรับอารมณ์ที่ขุ่นมัวให้ดีขึ้น ช่วยชำระล้างจิตใจยังช่วยลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วยล่ะ

ช่วยรักษาแผลและลดการอักเสบ

          วิตามินซีที่อยู่ในน้ำมะนาวมีคุณสมบัติในการรักษาแผลและเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการบำรุงรักษากระดูกเนื้อเยื่อและกระดูกอ่อน นอกจากนี้วิตามินซียังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ลดความเครียด ลดอาการบาดเจ็บและช่วยทำให้สุขภาพดีอีกด้วย

ลมหายใจสดชื่นขึ้น

          นอกจากทำให้ลมหายใจสดชื่นแล้ว น้ำมะนาวยังช่วยบรรเทาอาการปวดฟันและโรคเหงือกอักเสบได้ แต่กรดซิตริกที่อยู่ในน้ำมะนาวนั้นสามารถกัดกร่อนเคลือบฟันได้เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อให้การดื่มน้ำมะนาวได้ผลดีมากกว่าผลเสียเราก็ควรจะแปรงฟันก่อนที่จะดื่มน้ำมะนาว และควรจะบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหลังจากที่ดื่มทุกครั้งค่ะ

เติมความชุ่มชื่นให้ร่างกาย

          น้ำมะนาวและน้ำอุ่นจะช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงโดยการให้ความชุ่มชื้นและเติมของเหลวในร่างกายที่หายไป เมื่อร่างกายของคุณขาดน้ำ จะทำให้เกิดผลกระทบมากมาย อาทิเช่น รู้สึกเหนื่อย ท้องผูก ภูมิคุ้มกันต่ำ ความดันโลหิตต่ำ หมดแรง นอนไม่หลับ อารมณ์ไม่ดีและรู้สึกเครียด

ช่วยลดน้ำหนัก

           มะนาวมีไฟเบอร์สูงซึ่งทำให้เรารู้สึกอิ่ม จึงช่วยควบคุมความอยากอาหารได้ มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างจะทำให้สามารถลดน้ำหนักได้เร็วกว่าปกติ ดังนั้นการดื่มมะนาวในตอนเช้าจะช่วยทำให้ความอยากอาหารลดลงและสามารถลดน้ำหนักได้จริง


          ทราบอย่างนี้แล้วเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงหันมาให้ความสนใจในการดื่มน้้ำมะนาวอุ่น ๆ ในตอนเช้าเพิ่มขึ้นใช่ไหมล่ะคะ แล้วก็ใครที่ทดลองแล้วได้ผลดี ก็อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะจ๊ะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต