Friday, December 30, 2016

กินไข่ไก่อย่างไร ให้ได้ประโยชน์




ปัจจุบันนักโภชนาการและผลวิจัยส่วนใหญ่ต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไข่ไก่" เป็นอาหารชนิดเดียวที่มีสารอาหารครบถ้วนเกือบทุกชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะโปรตีนที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะเป็นโปรตีนชนิดเดียวที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ


และที่สำคัญองค์การอนามัยโลก (World Food Organization : WFO) ใช้โปรตีนไข่ (egg proteins) และกรดอะมิโน (amino acids) เป็นค่าเปรียบเทียบเพื่อประเมินคุณภาพโปรตีนกับอาหารชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ ไข่ยังเป็นแหล่งแร่ธาตุและวิตามินที่ครบถ้วน ยกเว้นเพียงวิตามินซีและเคเท่านั้น "ไข่ไก่" จึงถือได้ว่า "เป็นอาหารบำรุงร่างกายที่ดีที่สุด ที่หาได้ง่าย ราคาย่อมเยา เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย"

วันนี้ขอยกตัวอย่างสารอาหารสำคัญบางชนิด ซึ่งสารอาหารชนิดหนึ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของไข่ไก่ คือ โคลีน (Choline) เนื่องจากเป็นสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่อยู่ระหว่างการให้นมบุตร นอกเหนือจากที่โคลีนจะช่วยบำรุงสมองและเสริมความจำแล้ว จากงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า โคลีนยังเป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่ เรียกว่าเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อคนเราในทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่เป็นทารกจนวัยชราเลยทีเดียว

ส่วนลูธีน (Lutein) และ ซีแซนทิน (zeaxanthin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในไข่แดง ซึ่งช่วยชะลอโรคจอประสาทตาเสื่อม และในการผลิตไข่ไก่สมัยใหม่ยังสามารถเพิ่มปริมาณแร่ธาตุเช่น โอเมก้า3 DHA EPA ให้สะสมในไข่มากขึ้น เพื่อผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากแร่ธาตุดังกล่าวได้โดยตรง

"คอเลสเตอรอล" ในไข่ช่วยลดปัญหาหลอดเลือดอุดตัน
ที่ผ่านมาผู้บริโภคเคยมีความกังวลต่อคอเรสเตอรอลในไข่ไก่ เพราะเข้าใจว่าคอเรสเตอรอลเป็นตัวการสำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดและความดัน แต่งานวิจัยจากสถาบันที่เชื่อถือได้ที่ทำขึ้นในช่วงหลังๆ พบว่าในอดีตมีการวิเคราะห์ปริมาณคอเรสเตอรอลในไข่ไก่ไม่ตรงกับความจริง และจากข้อมูลของกองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าไข่ไก่ 1 ฟองมีโปรตีนประมาณ 6.25 กรัม หรือประมาณ 10-15% ที่ร่างกายต้องการต่อวัน มีคอเรสเตอรอลประมาณ 213 กรัม มีไขมันอิ่มตัวประมาณ 1.5 กรัมเท่านั้น ในขณะที่มีไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าคือ 1.91 กรัม ซึ่งร่างกายจะนำไขมันไม่อิ่มตัวไปใช้ง่าย ไม่ก่อปัญหาโรคหลอดเลือด

คอเลสเตอรอลที่เราจะได้รับจากไข่จะช่วยเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลตัวดีที่ช่วยลดปัญหาหลอดเลือดอุดตัน เนื่องจากไข่มีทั้งคอเลสเตอรอลตัวดี (HDL) เลซิทินมีกลไกที่สามารถจับคอเลสเตอรอลและขับออกจากร่างกายจึงมีผลให้การดูดซึมของคอเลสเตอรอลเข้าสู่กระแสเลือดไม่มากเท่าคลอเลสเตอรอลจากไขมันสัตว์ จึงสบายใจได้เลยว่าไข่ไม่ใช่ผู้ร้ายแถมยังช่วยแก้ปัญหาโรคหลอดเลือดอุดตัน ได้ด้วย
จริงๆแล้วคอเลสเตอรอลกว่า 80% ร่างกายเราสามารถสร้างขึ้นได้เองจากตับ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ ต้องลดความเสี่ยงที่ส่งผลต่อตับ ลดความเครียด บริโภคอาหารให้ หลากหลายถูกหลักโภชนาการ จะช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้มาก

สำหรับคนที่ระมัดระวังเรื่องน้ำหนักขอให้สบายใจได้ จากการงานวิจัยพบว่า ไข่เป็นอาหารที่ให้พลังงานแคลอรี่ต่ำ และมีโปรตีนคุณภาพครบถ้วน ดังนั้นจึงเป็นเมนูทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก สารอาหารในไข่ไก่ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มนานกว่าเดิม ดังนั้น การรับประทานไข่เป็นอาหารเช้าจะช่วยให้เราควบคุมน้ำหนักได้ดี และลดความเสี่ยงที่จะมีน้ำหนักเกินอีกด้วย

สูตรลับสุขภาพดี "กินไข่ทุกวัน กินไข่ทุกวัย กินอะไรใส่ไข่ด้วย"
คำแนะนำการรับประทานไข่ไก่ที่ช่วยให้ร่างกายเราได้รับประโยชน์สูงสุด ส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกัน คือ ในเด็กวัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร และผู้สูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถรับประทานไข่ได้วันละ 1 ฟอง และทานได้ทุกวัน

ยกเว้นเพียงเด็กเล็กที่ควรเริ่มให้ไข่แดงต้มสุกผสมข้าวบดในปริมาณน้อยๆ ตั้งแต่อายุ 6-7 เดือนสามารถผสมไข่แดงต้มสุกครึ่งฟองผสมกับข้าวบด และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1 ฟอง เมื่อเด็กอายุ 7 เดือนขึ้นไป ส่วนผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และผู้ที่ต้องควบคุมอาหารที่มีไขมัน ควรบริโภคไข่ 3 ฟองต่อสัปดาห์หรือตามคำแนะนำของแพทย์

ส่วนจะรับประทานไข่อย่างไรให้ประโยชน์ และปลอดภัย แนะนำว่าให้กินไข่สุก เพราะร่างกายย่อยไข่ไม่สุกได้ยาก ไข่ที่ไม่สุก จะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และไข่ข่าวดิบจะขัดขวางการดูดซึมวิตามินไบโอติน ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อกระบวนการเผาผลาญพลังงาน และทำให้ร่างกายรับประโยชน์จากสารอาหารที่ทานเข้าไปได้ไม่เต็มที่ ที่สำคัญเมนูอาหารไข่มีให้เลือกมากมาย

สำหรับประเทศไทยมีการรณรงค์บริโภคไข่ไก่มาอย่างต่อเนื่อง โดยชูแนวคิด "กินไข่ทุกวัน กินไข่ทุกวัย กินอะไรใส่ไข่ด้วย" ในโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง ตามแผนยุทธศาสตร์ไก่ไข่พ.ศ. 2557–2561 ที่ต้องการเพิ่มปริมาณการบริโภคไข่ไก่ของคนไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 220 ฟองต่อคนต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศข้างเคียงแล้ว เช่น จีน 340 ฟอง ญี่ปุ่น 330 ฟอง มาเลเซีย 300 ฟอง และสหรัฐฯ 290 ฟอง การรณรงค์ดังกล่าว นอกจากจะสนับสนุนให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมไก่ไข่ของพี่น้องเกษตรกรไทยได้อีกทางหนึ่งด้วย

เพราะฉะนั้นอย่าลืม "กินไข่ทุกวัน กินไข่ทุกวัย กินอะไรใส่ไข่ด้วย" นะครับ

ที่มา : กรมประชาสัมพันธ์
โดย น.สพ.กิตติ ทรัพย์ชูกุล ประธานคณะทำงานรณรงค์เพิ่มการบริโภคไข่ไก่  คณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ไข่ไก่
http://www.thaihealth.or.th/Content/34340-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%20%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C.html
เครดิตภาพ   https://www.pinterest.com/pin/139470919679667487/

Wednesday, December 28, 2016

5 นิสัยที่จะช่วยพัฒนาเราให้เก่งมากยิ่งขึ้น




นิสัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตและการทำงานอะไรบ้าง ที่เรานำมาใช้พัฒนาตัวเอง

          การพัฒนาตนเองถือเป็นสิ่งที่ดีและเราควรมีการพัฒนาอยู่เสมอ ยิ่งเรามีการพัฒนามากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งทำให้เราเก่งมากขึ้น และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น แล้วสิ่งที่จะทำให้เราเก่งขึ้นล่ะมีอะไรบ้าง ? วันนี้เราจึงขอแนะนำ 5 นิสัยที่จะช่วยพัฒนาให้เราเก่งขึ้น

1. อ่านหนังสือวันละหนึ่งบท และติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ

          การอ่านหนังสือจะช่วยให้เราพัฒนาทางด้านความคิด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิยาย หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือหนังสืออื่น ๆ ก็สามารถพัฒนาเราได้ หากเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำหรือธุรกิจของเรายิ่งดีมาก ๆ เพราะอาจจะนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราได้นั่นเอง

          นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว การติดตามข่าวสารก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเราจะได้รับไอเดียใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ ที่จะช่วยพัฒนาความคิด ความรู้ ทัศนคติ ของเราได้ และอาจจะนำไปต่อยอดให้กับธุรกิจเราได้อีกด้วย

2. ตั้งข้อสงสัยหรือความเห็นต่าง นำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ในทุก ๆ วัน

          หลังจากอ่านหนังสือ เราอาจจะลองตั้งข้อสงสัยหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เราอ่านไป เพื่อพัฒนาความคิดของเรา โดยอาจจะแสดงความคิดเห็นในแบบที่ต่างออกไป หรือนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ก็ดี เพราะการที่คิดอะไรเดิม ๆ ความเห็นคล้อยตามคนอื่นไปหมดนั้นจะทำให้เราพัฒนาความคิดได้ช้าลง 

          ดังนั้นเราจึงควรลองคิดอะไรที่แตกต่างออกไป เพื่อที่จะได้เป็นการเปิดมุมมองของเรา เพื่อรับกับไอเดียใหม่ ๆ ความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย  แต่ต้องไม่ลืมที่จะยอมรับในความเห็นของคนอื่นและยึดหลักเหตุผลในการคิดด้วยนะคะ

3. หาเรื่องที่สนใจ ศึกษาอย่างจริงจัง จดบันทึก และแบ่งปันให้ผู้อื่น

          การที่เรารู้ว่าตัวเองสนใจเรื่องไหนถือเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ แต่หากยังไม่รู้ก็ค้นหาให้เจอว่าเราชอบเรื่องไหน จากนั้นจึงลงมือศึกษาอย่างจริงจัง เพราะหากเราชอบและรักในสิ่งที่เราศึกษาจะทำให้ศึกษาได้เร็วและได้ดีมาก จากนั้นจึงเริ่มลงมือทำและต้องไม่ลืมที่จะจดบันทึกในสิ่งที่เราได้ศึกษามา เพื่อเป็นการทบทวนและหากลืมก็สามารถย้อนกลับไปดูได้อีกนั้นเอง 

          นอกจากนั้นการที่เราแบ่งปันความรู้ให้ผู้อื่น ๆ ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะเราจะได้ทบทวนความรู้ที่มี และอาจจะได้ไอเดียใหม่ ๆ เป็นของแถมกลับมาก็ได้ เพราะการแบ่งปันความรู้ไม่มีเสีย มีแต่จะได้เพราะความรู้มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการแบ่งปัน

4. ก้าวข้ามความกลัว

          ความกลัวคือสิ่งพื้นฐานที่เราทุกคนมี แต่ต่างกันที่ใครจะกล้าที่จะก้าวข้ามความกลัวนั้นไป โดยคนที่ประสบความสำเร็จมักจะเอาชนะและก้าวข้ามความกลัวในหัวไปได้  หลาย ๆ คนที่กลัวที่จะลงมือทำ หรือมีเรื่องสงสัยหรือไม่เข้าใจแต่ก็กลัวที่จะสอบถาม จึงทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิตไป และเพราะนั้นก้าวข้ามความกลัว เอาชนะความกลัวได้เมื่อไหร่ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแน่ ๆ ค่ะ

5. เลือกที่จะอยู่ในสังคมที่ดี

          การอยู่ในสังคมที่ดีในที่นี้คือ การที่อยู่ในที่มีการคิดบวก มีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียใหม่ ๆ มาคุยกันเสมอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณเก่งขึ้นได้ และการคลุกคลีอยู่กับคนที่มีความรู้ ความสามารถก็จะช่วยทำให้คุณมีแรงบันดาลใจในการที่จะเรียนรู้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จอีกด้วย เพราะคนที่มีความรู้เหล่านี้มักจะมีการพูดถึงความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ยิ่งทำให้เราอยากเรียนรู้มากขึ้นนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Masii.co.th
http://money.kapook.com/view153670.html

6 วิธีง่าย ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานใน 10 นาที




เคล็ดลับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใน 10 นาที ที่จะช่วยเติมพลังกาย พลังใจให้คนทำงานทุกคน

          การทำงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ หรือต้องจดจำอะไรมาก ๆ ในทุก ๆ วันอาจดึงพลังงานออกจากร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานตกหล่นไปบ้าง นิตยสาร Secret เลยแนะนำให้ลองใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อช่วยเรียกแรงใจกลับมาอีกครั้ง ให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


1. เขียน 3 สิ่งที่คุณอยากขอบคุณ

          หากเรามองย้อนกลับไปในอดีต ย่อมมีผู้คนมากมายที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อนฝูง คนรัก หรือแม้กระทั่งศัตรู และปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นเสมือนแรงผลักดันให้เราก้าวมาถึงวันนี้

          จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยไมอามี ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่เขียนบันทึกถึงสิ่งที่ตนรู้สึกอยากขอบคุณเป็นประจำทุกวันมักทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กระตือรือร้น มุ่งมั่น และมีพลังงานในการทำงานมากกว่าคนทั่วไป ทั้งยังเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและมีความสุขมากกว่าด้วย


2. จัดโต๊ะทำงาน

          การจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอนับเป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะการจัดโต๊ะจะทำให้พื้นที่ทำงานดูสะอาดตา เพิ่มพื้นที่ในการใช้สอย เพิ่มความสะดวกในการหยิบใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งยังช่วยเพิ่มความรู้สึกอยากทำงานอีกด้วย


3. พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน

          การเก็บตัวเงียบ ไม่พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน นอกจากทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเพื่อนร่วมงานย่ำแย่แล้ว ยังส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอีกด้วย เพราะการที่คุณไม่สนทนากับเพื่อนร่วมงานเท่ากับปิดหูปิดตาตนเองจากความคิดเห็นและคำแนะนำต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของคุณ ดังนั้นการรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

 
4. เขียนเป้าหมายสูงสุดในแต่ละวัน

          การเขียนเป้าหมายสูงสุดในการทำงานในแต่ละวันช่วยทำให้เป้าหมายที่เลือนรางอยู่ในความคิดกลายเป็นเรื่องที่เป็นรูปธรรมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น การกระทำดังกล่าวช่วยให้มีแรงบันดาลใจและกระตือรือร้นในการทำงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่องานที่ทำนั่นเอง


5. จดรายการสิ่งที่ต้องทำ

          ในแต่ละวันบางคนอาจมีเรื่องต้องทำนับสิบอย่าง งานบางอย่างต้องทำให้สำเร็จลุล่วงภายในวันนั้น ขณะที่งานบางอย่างสามารถผัดผ่อนไปทำในวันถัดไปได้ เพราะฉะนั้นการเขียนสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันโดยจัดเรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย จะช่วยให้ชีวิตเป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น และทำงานเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด แถมยังทำให้มีเวลาพักผ่อนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย


6. อ่านคำคมหรือเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ

          การอ่านคำคมหรือเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จสามารถช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทำงานได้ เพราะเรื่องราวดังกล่าวช่วยจุดประกายในการทำงาน ทั้งยังช่วยปรับทัศนคติและมุมมองให้เป็นไปในแง่บวกมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นเราอาจได้แนวคิดและวิธีปฏิบัติดี ๆ จากบุคคลที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ด้วย

          ลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ

ภาพจาก stocksnap.io

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.goodlifeupdate.com/category/healthy-mind/
http://health.kapook.com/view156347.html
เครดิตภาพ  http://health.kapook.com/view156347.html

Monday, December 26, 2016

ปีใหม่นี้ปรับการบริโภคอย่างไร...ให้สุขภาพดี




          อีกไม่นาน เทศกาลปีใหม่กำลังจะก้าวเข้ามาพร้อมกลิ่นอายแห่งความสุขหรรษา พร้อมกับงานเลี้ยงสังสรรค์และวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน แต่สิ่งที่ตามมาซึ่งใคร ๆ ก็ไม่อยากจำ คือ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ที่มาพร้อมกับความเสื่อมถอยและการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกาย จนอาจเกิดปัญหาสุขภาพตามมา ปีใหม่นี้เรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อมอบสุขภาพที่ดีเพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวเองกันดีกว่า

           “อาหารหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการดูแลสุขภาพร่างกาย อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การเสริมสร้างส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งการให้พลังงาน ขณะเดียวกันยังช่วยให้มีสุขภาพดีและชะลอวัยได้อีกด้วย บริโภคอย่างไรก็จะย่อมจะได้อย่างนั้น จึงแนะนำว่าควรจะปฎิบัติตัวดังนี้

          * บริโภคอาหารให้หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ ในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ โดยแนะนำให้พยายามเลือกชนิดของอาหารให้หลากหลาย เน้นกลุ่มผักและผลไม้เป็นหลัก เพื่อให้มีสารอาหารครบทุกหมู่ ถ้าเราบริโภคอาหารซ้ำซาก ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน บางชนิดอาจมากเกินไปและบางชนิดจะน้อยเกินไป ขณะเดียวกันควรรับประทานให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน ถ้ากินมากเกินกว่าการใช้ก็จะทำให้น้ำหนักเกินและอ้วนได้ แต่ถ้ากินน้อยแต่ต้องใช้พลังงานมาก ก็อาจทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงในการทำงาน จึงควรบริโภคอาหารที่มีไขมันแต่พอควร หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัดและเค็มจัด และใส่ใจกับการดื่มน้ำให้พอเพียงกับความต้องการของร่างกาย

           * บริโภคอาหารจากธรรมชาติ ทุกวันนี้อาหารที่วางจำหน่ายในท้องตลาด มักถูกดัดแปลงและปรุงแต่งใหม่ หรือผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นเพื่อให้รสชาติที่อร่อย ถูกใจผู้บริโภคและเก็บรักษาได้นาน แต่คุณทราบหรือไม่ว่าอาหารที่ถูกดัดแปลง เช่น ข้าวที่ถูกขัดสีจนขาวจะสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการไป รวมไปถึงอาหารที่มีการใส่วัตถุกันเสียหรือสารกันบูด ล้วนแล้วแต่มีผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง การบริโภคอาหารจากธรรมชาติ ที่นอกจากจะให้คุณค่าทางโภชนาการแล้วยังมีสารที่ให้ประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพ เช่น อาหารจำพวกเห็ดทางการแพทย์ เช่น เห็ดไมตาเกะ ถั่งเฉ้า เห็ดยามาบูชิตาเกะ มีประโยชน์ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง หรือกลุ่มผลไม้จำพวกบิลเบอร์รี่ จัดเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทางธรรมชาติ ซึ่งก็คือแอนโธไซยานินที่มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยถนอมสายตา เป็นต้น

            * บริโภคโปรตีนให้เหมาะสมเป็นประจำ โดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้ง เพราะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้เป็นพลังงาน เสริมสร้างการเจริญเติบโตซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลาย และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อีกด้วย ชาวจีนจะนิยมเสริมพลังสมองด้วยการบริโภคอาหารจำพวกโปรตีนจากธรรมชาติอย่างเช่น ซุปไก่ตุ๋นซึ่งถูกพัฒนามาเป็นซุปไก่สกัดที่เพิ่มความสะดวกในการบริโภคในยุคนี้ มีงานวิจัยจากในหลาย ๆ ประเทศ พบว่า ซุปไก่สกัด มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยช่วยให้เลือดสามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ การคิด ตัดสินใจ ได้ดีขึ้น ทำให้มีสมาธิดีขึ้น รวมทั้งการช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพด้านการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน จึงทำให้รู้สึกมีแรง และช่วยให้ฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า

          *บริโภคอาหารเช้าเป็นประจำ อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด อาหารเช้าที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและร่างกาย เราควรบริโภคอาหารเช้าที่มีคุณภาพอย่างคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะจะค่อย ๆ ปลดปล่อยกลูโคสให้กับสมองโดยใช้เวลานานขึ้นในการย่อยและดูดซึม และอาหารเช้าที่มีโปรตีนเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดี น้ำตาลในเลือดไม่สูง อาหารเช้าแบบง่าย ๆ ได้แก่ เกาเหลาและธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวซ้อมมือ ก๋วยเตี๋ยวน่องไก่น้ำ ข้าวต้มเครื่อง ขนมปังไข่ดาว หรืออาจเสริมด้วยซุปไก่สกัด 

          ไม่มีคำว่าสายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม ขณะเดียวกันต้องให้เวลาสำหรับการพักผ่อนและการออกกำลังกายที่เหมาะสม เลี่ยงหรือปล่อยวางจากความเครียดที่ผ่านเข้ามา แล้วสุขภาพกายและจิตใจของคุณก็จะแข็งแรง แลดูอ่อนกว่าวัย ไม่ว่าปีใหม่จะผ่านไปกี่ปีก็ตาม


ข้อมูลโดย ดร.นพ.เทพ เฉลิมชัย อายุรแพทย์
http://health.kapook.com/view163143.html
เครดิตภาพ   http://health.kapook.com/view163143.html