Tuesday, September 30, 2014

กินเจอย่างไร ไม่ให้ป่วย




         เทศกาลกินเจได้รับความนิยมอย่าง แพร่หลาย ซึ่งนอกจากจะได้บุญจากการละเว้นเนื้อสัตว์แล้ว ยังได้สุขภาพที่ดีอีกด้วย แต่ถ้าหากกินผิดหลักระวังจะป่วยได้นะคะ มาดูกันว่าควรเลือกการกินเจอย่างไรถึงจะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

ล้างให้สะอาด

          แน่นอนว่าวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหารเจ ส่วนใหญ่จะมีวัตถุหลักคือ ผัก การนำผักมาประกอบอาหารควรล้างให้สะอาด ไม่มีสารพิษจากยากำจัดแมลงตกค้าง ควรล้างด้วยน้ำไหล 2 นาที หรือแช่ด้วยเกลือ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร หากมีน้ำส้มสายชูก็สามารถนำมาใช้ล้างผักได้เช่นกัน อัตราส่วนครึ่งถ้วยต่อน้ำ 4 ลิตร โดยแช่ไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นน้ำมาล้างน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง

          แต่หากดูแล้วยุ่งยากเกินไป หรือไม่สะดวกที่จะทำเอง การเลือกซื้ออาหารเจจากร้านค้าควรเลือกร้านที่สะอาด ตามหลักโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีต่อคนทานอย่างเรา ๆ นะคะ

ลดอาหารเค็มหรือหวานเกินไป

          เนื่องจากการปรุงอาหารเจจะไม่มีส่วนผสมบางอย่างที่สามารถปรุงได้ ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วมักใช้ซีอิ๊ว ซอส น้ำตาลเป็นเครื่องปรุงหลัก แต่ความเค็มมีโซเดียมสูง ส่งผลต่อภาวะความดันโลหิตสูงและไตทำงานหนัก ส่วนความหวานจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ ดังนั้นควรลดการเติมซอส ซีอิ๊ว และน้ำตาลนะคะ

เลี่ยงแป้งซะ

          ใครว่ากินเจแล้วจะผอม ช้าก่อน ! อาหารเจส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมที่เป็นแป้ง ดังนั้นอาหารเจที่มีแป้งมาก โดยเฉพาะประเภทผัด ทอด จะมีไขมันสูง หากได้รับเกินความจำเป็นจะทำให้น้ำหนักเกินและอ้วน ควรเน้นประเภทต้มที่มีผักเป็นส่วนประกอบจะดีที่สุดค่ะ

ห้ามขาดอาหารประเภทนี้

          อย่างที่ทราบกันดีว่าอาหารเจไม่มีเนื้อสัตว์ จึงควรเลือกอาหารที่มีถั่วหรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น น้ำเต้าหู้ ฟองเต้าหู้ โปรตีนเกษตร และซื้อจากร้านอาหารหรือแผงลอยมีป้ายสัญลักษณ์ อาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) เพื่อไม่ให้ขาดสารอาหารจนเกินไป

          การถือศีลกินเจเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตและร่างกาย ได้ทั้งบุญเนื่องจากไม่มีฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และยังได้สุขภาพที่ดีจากการทานผักผลไม้มากขึ้นอีกด้วยนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม อาหารเจนั้นทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย แม้จะมีผลิตภัณฑ์ที่ทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ในรูปแบบต่าง ๆ แต่เป็นโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์จากแป้ง จึงควรเลือกกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทั้ง 3 มื้อ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และควรเลือกบริโภคอาหารประเภทธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ รวมทั้งเต้าหู้ โปรตีนเกษตรเป็นแหล่งโปรตีนทดแทน


แหล่งที่มา  Momypedia, http://health.kapook.com/view99721.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Monday, September 29, 2014

ประโยชน์ของมะระ



 
         ก็อย่างที่โบราณเค้าว่ากัน ว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา สิ่งที่น่าคิดก็คือ ทำไมของที่มีประโยชน์ส่วนใหญ่มักจะมีรสชาติที่ไม่น่ารับประทาน ไม่อร่อยลิ้นเอาเสียเลย ก็อย่างเช่นเจ้ามะระนี่หล่ะค่ะ ที่มีรสชาติขมซะจนไม่อยากจะรับประทาน ภายใต้หน้าตาที่อัปลักษณ์ของมัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะหันมาปฏิวัติการกินเสียใหม่นะคะ ชาวเอเชียรู้จักกันดีถึงสรรพคุณของมะระ แต่ชาวฝั่งตะวันตกกลับกลัวที่จะกินมัน ทั้งที่ยังไม่รู้ประโยชน์ที่แสนจะอัศจรรย์ของมันแม้แต่น้อย เรามาดูประโยชน์ของมะระกันเลยดีกว่านะคะ

          อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อย ออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟจิ้ม แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ

          ต่อมา..ก็คือ คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้น ด้วยสารอาหารในมะระ ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ

 
          นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, เป็นต้น

          เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดะมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนาน ๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุง หรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ

          แถมท้ายอีกนิดนะค่ะ ด้วยข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบ ๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะค่ะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะ เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่าง อย่าทานมะระมากจนเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

 
          โอ้ โห!!! ไม่น่าเชื่อเลยนะค่ะ ว่ามะระที่มีรสชาติที่ขม ไม่น่ารับประทาน ที่ใครหลายคนไม่ชอบรับประทานกันนั้น จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายจนเราคาดไม่ถึงขนาดนี้ ดังนั้นเราควรจะหันมารับประทานมะระกันบ้างนะค่ะ จะได้มีสุขภาพที่ดีกันนะค่ะ


แหล่งที่มา  Teenpath, http://health.kapook.com/view12109.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Sunday, September 28, 2014

6 อาการแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น หลังไม่กินคาร์โบไฮเดรต




       สาว ๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ก็คงได้ยินกันมาบ่อย ๆ แหละ ว่าไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากนัก แต่การที่ไม่ให้กินมาก ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรกินเลยสักหน่อย เพราะร่างกายของคนเราต้องการอาหารให้ครบ 5 หมู่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องเลือกกินและต้องจำกัดปริมาณให้ได้ หากใครที่เอาจริงเอาจังกับการลดน้ำหนักจนไม่กินคาร์โบไฮเดรตเลย ระวังจะเกิด 6 อาการเหล่านี้นะจ๊ะ

     
หมดพลังงาน

          หากสาว ๆ จะตัดการกินคาร์โบไฮเดรตเพื่อลดน้ำหนัก ก็อาจจะได้ผลดีอยู่ แต่มันจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจนไม่อยากจะทำอะไรเลยล่ะ เพราะสมองและกล้ามเนื้อของคุณต้องการกลูโคสจากคาร์โบไฮเดรตมาช่วยในการทำงาน หากขาดคาร์โบไฮเดรตไปก็จะทำให้ขาดพลังงานด้วย ฉะนั้นคุณไม่ควรจะตัดการกินคาร์โบไฮเดรตออกไปซะทีเดียวเลยนะ

     
ขาดสารอาหาร

          ไม่ว่าจะตัดอาหารหมู่ไหนไป ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายทั้งนั้นแหละ ยิ่งคาร์โบไฮเดรตเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการทำงานของสมอง ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีใหญ่เลยถ้าคุณจะลดน้ำหนักด้วยการตัดการกินคาร์โบไฮเดรต ไป ฉะนั้นคุณอาจจะเลือกกินคาร์โบไฮเดรตให้มากในมื้อเช้าหรือกลางวัน แล้วค่อยลดในมื้อเย็นก็ได้นะ

     
ขาดความคล่องตัว

          ถ้าในระหว่างการลดน้ำหนักคุณต้องออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง บอกเลยว่าร่างกายของคุณยิ่งต้องการคาร์โบไฮเดรตช่วยเติมพลังอย่างยิ่ง ซึ่งคุณอาจจะเลือกการกินคาร์ไบไฮเดตรจากพวกอาหารที่อุดมไปด้วยโฮลเกรนก็ได้ นะ ไม่อย่างนั้นล่ะเวลาออกกำลังกายคุณคงไม่มีความคล่องตัวและเหนื่อยหอบไวกว่า ที่เคย

สมองไม่สดใส

          หากคุณคิดจะไม่รับคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่ร่างกายเพราะกลัวอ้วน บอกเลยว่าสมองของคุณจะไม่สดใสคิดอะไรไม่ค่อยออก ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าคาร์โบไฮเดรตน่ะสำคัญต่อสมองเอามาก ๆ เลย ซึ่งคุณควรจะหันมารับคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอประมาณ 90-130 กรัมต่อวัน จะช่วยให้สมองของคุณปลอดโปร่ง จะคิดอะไรก็ปิ๊งไอเดียใหม่ได้ตลอด

     
ความจำแย่

          เคยไหมที่คุณมักจะหลง ๆ ลืม ๆ ในสิ่งที่ไม่ควรลืม ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณอาจพักผ่อนไม่เพียงพอหรือเครียดเกินไป แต่หากคุณมักจะหลง ๆ ลืม ๆ ในช่วงที่งดการกินคาร์โบไฮเดรต ขอบอกเลยว่าชัดเจนแล้วล่ะว่าเป็นเพราะการได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอ เพราะสมองต้องพึ่งกลูโคสที่ได้มาจากคาร์โบไฮเดรตเพื่อกระตุ้นการทำงานยังไง ล่ะ

     
หิวโหยตลอดเวลา

          ถ้าคุณงดการกินคาร์โบไฮเดรต แล้วหันไปกินเนื้อในปริมาณมาก แต่คุณก็ยังรู้สึกหิวโหยอยู่ตลอดเวลา นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าคุณลดการกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ฉะนั้นลองหันมาเพิ่มการกินคาร์โบไฮเดรตบ้าง แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้รับเลย แล้วลองดูสิว่าร่างกายของคุณมีอาการหิวโหยน้อยลงหรือไม่


          เห็นไหมล่ะ ว่าในแต่ละวันร่างกายของคนเราต้องการอาหารครบทุกหมู่ หากขาดไปมื้อใดมื้อหนึ่ง แน่นอนก็จะต้องส่งผลเสียต่อสุขภาพแน่นอน ฉะนั้นสาว ๆ ที่กำลังลดน้ำหนักต้องกินอาหารให้ครบทุกหมู่ แต่ควรเลือกกินและจำกัดปริมาณให้พอเหมาะด้วยนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมกินคาร์โบไฮเดรตด้วยนะ ^_^

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, September 27, 2014

สื่อสารอย่างไรให้เข้าใจน้องเหมียวมากขึ้น




          บางคนที่เคยเลี้ยงแมวเป็นครั้งแรกคง จะเจอปัญหาการสื่อสารกับน้องเหมียว เพราะคุณอาจจะไม่รู้ว่าควรสื่อสารหรือแสดงลักษณะท่าทางอย่างไรเพื่อให้คุณ และแมวเข้าใจกันมากขึ้น วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีที่แสนจะง่ายที่จะทำให้ การสื่อสารระหว่างคุณกับน้องเหมียวเป็นเรื่องกล้วย ๆ แถมยังทำให้คุณเข้าใจพฤติกรรมที่น้องเหมียวแสดงออกมาได้อีกด้วย ดังนี้ค่ะ


  1. สื่อสารด้วยคำพูด หรือเสียงเรียก

           แน่นอนว่าการพูดเป็นการสื่อสารแรก ๆ ที่เราใช้กัน การสื่อสารกับเจ้าเหมียวของคุณเองก็เช่นเดียวกัน เจ้าของควรพูดกับเจ้าเหมียวของคุณด้วยคำพูดง่าย ๆ อย่างเช่น ส่งเสียงเรียกเหมียว ๆ หรืออาจจะเป็นการเรียกชื่อของน้องเหมียวเอง เพื่อที่เจ้าแมวเองจะได้รู้ว่าคุณกำลังพยายามที่จะสื่อสารและทำความเข้าใจ มันอยู่

  2. สังเกตจากหาง

           หางจะเป็นส่วนที่บ่งบอกอารมณ์และพฤติกรรมของน้องแมวว่าต้องการจะทำอะไร กำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน แล้วกำลังจะทำอะไร อย่างเช่น เมื่อน้องแมวชูหางตั้งขึ้นเล็กน้อย คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่าน้องเหมียวกำลังมีความสุขอยู่ หรือเวลาที่หางของน้องเหมียวสั่นไปมา อาจจะเป็นเพราะน้องเหมียวกับกำลังตื่นเต้นก็เป็นได้

  3. ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

           ใช่แล้วค่ะการสังเกตจากดวงตาของน้องเหมียวก็เหมือนกับการสังเกตดวงตาของคน เพราะจะทำให้คุณรู้เช่นกันว่าตอนนี้น้องเหมียวรู้สึกอย่างไรอยู่ เช่น เวลาที่ตาน้องเหมียวขยายออกอาจจะเป็นไปได้ว่า น้องเหมียวรู้สึกตื่นเต้น หรืออาจจะรู้หวาดกลัว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่น้องเหมียวเผชิญอยู่ค่ะ


4. ส่วนหัวและหูบ่งบอกอารมณ์

           ให้เจ้าของน้องเหมียวลองสังเกตดี ๆ ที่หูของแมวเพราะการที่หูขยับไปขยับมาไม่เหมือนกัน ก็บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ต่างไปเช่นเดียวกันค่ะ ส่วนอื่น ๆ บนหัวอย่างเช่น ปาก ลิ้น หรือจมูกก็สามารถทำให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของน้องแมวได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ลิ้นของน้องเหมียวสั่นไป-มา นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า น้องเหมียวรู้สึกกังวล หรือการที่เห็นจมูกของน้องเหมียวเปียก ก็อาจเป็นไปได้ว่าน้องเหมียวกำลังไม่สบายอยู่นะคะ

 
  5. ท่าทางประกอบเวลาพูด

           ถึงแม้ว่าการพูดคุยกับน้องเหมียวจะเป็นการที่จะทำให้น้องเหมียวเข้าใจคุณมาก ขึ้น แต่ลักษณะท่าทางเองก็สำคัญเช่นเดียวกัน เพราะการที่คุณแสดงท่าทางไปด้วยขณะที่พูดนั้นจะทำให้น้องเหมียวจดจำท่าทาง ได้ เช่น ถ้าคุณบอกให้แมวนั่งลงพร้อมกับทำมือประกอบ แมวก็จะเข้าใจความหมายที่คุณต้องการสื่อออกมาได้ง่ายขึ้น

  6. ฟังเสียงร้องจากน้องเหมียว

           คนที่เลี้ยงแมวอาจจะเคยได้สังเกตว่าเวลาที่น้องแมวต้องการสื่อสารกับคุณ ส่วนมากน้องแมวจะส่งเสียงเรียกด้วยการร้องเหมียว ดังนั้นคุณควรสังเกตการร้องของน้องเหมียวดี ๆ เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจว่าน้องเหมียวต้องการจะบอกอะไรกับคุณ อย่างเช่น ถ้าน้องแมวร้องเหมียว ๆ สั้น ๆ ก็คือการทักทาย หรือว่าจะเป็นการส่งเสียงเหมียว ๆ หลายครั้งให้รู้ไว้เลยว่าน้องแมวกำลังตื่นเต้นกับบางสิ่งบางอย่างอยู่


           ไม่ยากเลยใช่ไหมคะกับการสื่อสารกับน้องเหมียวของคุณ เพียงแค่คุณรู้จักสังเกตพฤติกรรมของน้องแมว และศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าลักษณะท่าทางที่น้องเหมียวแสดงออกมานั้นคือ อะไร เท่านี้ทั้งคุณเองและเจ้าเหมียวก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขพร้อมความเข้า ใจซึ่งกันและกันแล้วล่ะ


เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/520728775638607299/