Friday, October 30, 2015

ผลไม้ลดไขมัน 10 ชนิด อยากพิชิตความอ้วน ต้องลอง !



               

  ผลไม้ลดไขมัน ผู้ช่วยดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณพิชิตความอ้วนได้อย่างง่ายดาย ดูสิว่าจะมีผลไม้ชนิดไหนบ้างที่คุณต้องลอง ! มาดูกันเลย

          สมัยนี้ถึงแม้จะมีอาหารคลีนสำหรับลดความอ้วนมาให้สาว ๆ ได้เลือกรับประทานกันเยอะแยะมากมาย แต่ทว่ากว่าจะได้กินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ เพราะไหนจะต้องเข้าไปหาข้อมูลร้านในอินเทอร์เน็ต ไหนจะต้องสั่งซื้อ และกว่าจะได้กินก็ใช้เวลาส่งอีกตั้งหลายวัน ดังนั้นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับใครที่ไม่อยากจะยุ่งยาก บอกเลยว่า "ผลไม้ลดความอ้วน" นี่แหละค่ะช่วยคุณได้ แถมยังหาซื้อตามตลาดได้ง่าย ๆ และยังมีราคาถูกอีกด้วย ว่าแต่จะมีผลไม้อะไรบ้างที่กินแล้วจะช่วยลดความอ้วนได้ วันนี้กระปุกดอทคอมมีข้อมูลมาฝากคุณสาว ๆ กันแล้วค่ะ บอกเลยว่าใครที่อยากจะพิชิตความอ้วน ต้องลอง !

1. มะละกอสุก

          มะละกอ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี และซี และยังมีใยอาหารสูง รับประทานแล้วจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นาน ทั้งนี้ยังจะช่วยเร่งการเผาผลาญและสลายไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย แถมยังเป็นยาระบายชั้นดี สำหรับใครที่ท้องผูกหรืออยากให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มะละกอช่วยคุณได้อย่างแน่นอน

2. แอปเปิลเขียว

          แอปเปิลเขียว นับว่าเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ และมีน้ำตาลน้อย นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุสูง กินแล้วจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มได้นาน และช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่แอปเปิลจะกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมของคนที่กำลังลดความ อ้วนในทุกวันนี้

ส้มเขียวหวาน

          ส้ม เขียวหวานนอกจากจะมีวิตามินซีสูง ช่วยให้ผิวพรรณดีแล้ว สาว ๆ รู้ไหมว่าส้มเขียวหวานยังจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น แถมยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีแคลอรีต่ำ 2 ผลให้พลังงานแค่ 60 แคลอรีเท่านั้นเอง

4. ฝรั่ง

          ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูงและยังมีแคลอรีต่ำ รับประทานแล้วจะช่วยทำให้อิ่มง่าย นอกจากนี้ฝรั่งยังมีคุณสมบัติช่วยลดการสลายตัวของแป้งและลดการดูดซึมของ น้ำตาล ทำให้เป็นผลไม้ที่เหมาะมาก ๆ สำหรับคนที่กำลังลดความอ้วน

5. สตรอว์เบอร์รี

          สต รอว์เบอร์รีลูกสีแดง ๆ ที่สาว ๆ นิยมรับประทาน ถือเป็นผลไม้ลดความอ้วนที่ดีอีกชนิดหนึ่งที่คนลดน้ำหนักไม่ควรพลาด เพราะสตรอว์เบอร์รีลูกเล็ก ๆ นี้สามารถช่วยควบคุมปริมาณแคลอรี ลดไขมัน และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น และยังให้วิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย

6. เสาวรส

          ผลไม้รสเปรี้ยวอย่าง เสาวรส กำลังได้รับความนิยมจากคนที่กำลังลดความอ้วนอย่างมาก เพราะมีแมกนีเซียมช่วยให้การเผาผลาญไขมันทำงานได้ดี แถมยังกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้คล่อง นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงมาก ๆ รับประทานบ่อย ๆ นอกจากจะช่วยคุมน้ำหนักแล้วยังจะทำให้ผิวพรรณดีขึ้นอีกด้วย

7. ลูกแพร์

          ผล ไม้ที่มีไฟเบอร์สูงเหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนักต้องยกให้ ลูกแพร์ นี่แหละค่ะ เพราะเมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกว่าอิ่มท้องได้ง่ายและอิ่มได้นาน เรียกได้ว่าเป็นผลไม้ที่รับประทานแล้วจะช่วยให้คุณอยากเลิกกินขนมจุบจิบไป เลยเชียวล่ะ

8. แก้วมังกร

          แก้วมังกร ผลไม้หน้าตาประหลาด ๆ แต่เชื่อไหมว่าช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างดีเลยทีเดียวล่ะ เพราะแก้วมังกรมีทั้งวิตามินซี โปรตีน ฟอสฟอรัส แคลเซียม และเส้นใยอาหารสูง กินแล้วจะช่วยให้อิ่มได้นาน และนอกจากนี้เม็ดเล็ก ๆ สีดำ ๆ ที่อยู่ในเนื้อแก้วมังกรยังมีกรดไขมันที่ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย

9. ทับทิม

          ทับทิม เมล็ดสีแดงน่ารับประทานนี้ ถือเป็นสุดยอดผลไม้ลดไขมันที่คนอยากลดความอ้วนต้องลอง เพราะทับทิมสามารถช่วยสลายไขมันตัวร้าย อีกทั้งยังช่วยลดไขมันและลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ซึ่งหากรับประทานบ่อย ๆ นอกจากจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้แล้วยังจะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย

10. กีวี

          กีวีเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีกากใยอาหารและวิตามินซีสูง รับประทานบ่อย ๆ จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลและสลายไขมันในเส้นเลือด ทั้งนี้เมล็ดสีดำเล็ก ๆ ของกีวียังจะช่วยปรับสมดุลของระบบย่อยอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานมากขึ้น

          ผล ไม้ลดไขมันเหล่านี้ นอกจากจะอร่อยแล้วยังช่วยลดความอ้วนได้ดีมาก ๆ ดังนั้นช่วงนี้ใครที่กำลังลดความอ้วนกันอยู่ นอกจากจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายกันแล้ว ก็ลองให้ผลไม้เหล่านี้เป็นผู้ช่วยลดความอ้วนดูสิคะ รับรองว่าได้ผลเกินคาดเชียวล่ะ

เครดิตภาพ   http://www.tinyzone.tv/HealthDetail.aspx?ctpostid=2875

Monday, October 26, 2015

เปรียบเทียบชัด ๆ จังก์ฟู้ด VS อาหารเพื่อสุขภาพ 200 กิโลแคลอรี ต่างกันแค่ไหน




อาหาร 200 กิโลแคลอรี คำนวณยังไง ปริมาณอาหารแค่ไหนถึงจะนับได้ 200 กิโลแคลอรี พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างจังก์ฟู้ดกับเฮลธ์ตี้ฟู้ด
 

          วิธีลดน้ำหนักด้วย การคำนวณแคลอรีในอาหาร เป็นวิธีลดน้ำหนักยอดนิยมวิธีหนึ่ง ซึ่งหลายคนก็บอกว่าคำนวณแคลอรีในอาหารก็แล้ว กินผักผลไม้เยอะกว่าแป้งและไขมันก็แล้ว แต่ไม่เห็นน้ำหนักจะลดลงสักเท่าไร
   
          เอ๊ะ ! หรือ 200 กิโลแคลอรีที่คุณกินเข้าไปมันให้ไขมันมากกว่าสารอาหารดี ๆ กันล่ะ ถ้าอย่างนั้นลองมาดูภาพเปรียบเทียบชัด ๆ ระหว่างอาหารเพื่อสุขภาพและจังก์ฟู้ด ขนมต่าง ๆ ในปริมาณ 200 กิโลแคลอรี อาหารเหล่านี้ 200 กิโลแคลอรีเท่ากัน แต่แน่นอนว่าสารอาหารและคุณประโยชน์ต่างกันลิบลับนะจ๊ะ

          ตัวอย่างการเปรียบเทียบอาหารเพื่อสุขภาพและจังก์ฟู้ดในปริมาณ 200 กิโลแคลอรี มากน้อยแค่ไหน และควรเลือกกินอะไรดี มาดู !

 นมรสจืด 333 มิลลิลิตร/น้ำอัดลม 496 มิลลิลิตร

 เมลอน 553 กรัม/ เฟรนช์ฟรายส์ 73 กรัม

 แอปเปิล 385 กรัม/พาสต้าปรุงสุก 145 กรัม

 ไข่ 150 กรัม/มัฟฟินบลูเบอร์รี 72 กรัม

 บรอกโคลี 588 กรัม/อมยิ้ม 68 กรัม

 ขนมปังโฮลเกรน 90 กรัม/ มันฝรั่งแผ่นเรียบทอดกรอบ 37 กรัม

 หอมแดง 475 กรัม/ฮอทดอก 66 กรัม

 องุ่นแดง 290 กรัม/โดนัทเคลือบน้ำตาล 52 กรัม

 โยเกิร์ตรสสตรอว์เบอร์รีไขมันต่ำ 196 กรัม/ชีสเบอร์เกอร์ครึ่งชิ้น 75 กรัม

 พริกหยวก 740 กรัม/แครกเกอร์รสเค็ม 50 กรัม

 ถั่วดำกระป๋อง 186 กรัม/เยลลี่ 51 กรัม

 ถั่วเขียวต้ม 357 กรัม/ซีเรียลอบกรอบ รสวานิลลา 55 กรัม

 เบบี้แครอท 570 กรัม/ช็อกโกแลตบาร์ 41 กรัม  

          เห็น ได้ชัดเลยว่าอาหารขยะหรือบรรดาขนมปังและของหวาน กินไปเพียงไม่กี่กรัมก็ได้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี เทียบเท่าพลังงานในอาหารเพื่อสุขภาพอย่างอาหารประเภทผักและผลไม้ที่ปริมาณเยอะกว่าเห็น ๆถ้าเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะก็ได้รับประโยชน์จากวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน มากกว่าขนมต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยแป้ง ไขมัน และน้ำตาล

*หมายเหตุ อัพเดทข้อมูลล่าสุดวันที่ 25 ตุลาคม 2558 เวลา 8.30 น.

ภาพจาก wiseGeek

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
wiseGeek
indiatimes
http://health.kapook.com/view132511.html

Saturday, October 24, 2015

หนาวสนุกสุขภาพไฉไล





          หนาวสนุกสุขภาพไฉไล ไม่ว่าหนาวไหนก็ Happy ได้ด้วยสุขภาพแบบฟิตเปรี๊ยะ (Momypedia)

          ลมหนาวมาแล้วจ้า!!! หลายคนคงได้สัมผัสกับลมหนาวกันบ้างแล้วใช่ไหมคะ ถึงอากาศจะดีแค่ไหนก็อย่าเผลอตัวเผลอใจไปยืนรับลมหนาวจนไม่สบายเชียวนะคะ เพราะเดี๋ยวป่วยยาวไปถึงปีใหม่จะอดเที่ยวกันพอดี

          เพื่อไม่ให้หน้าหนาวนี้ต้องมีใครนั่งสั่งน้ำมูกจนจมูกแดง หรือนอนซมพิษไข้อยู่แต่บ้าน เรามาเตรียมตัวฟิตสุขภาพให้ดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากันดีกว่า จะได้สนุกกับหน้าหนาวได้อย่างเต็มเหนี่ยวไปเลย


         
 1. อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง อากาศแห้งเย็นมักจะทำให้ผิวเราแห้งกร้าน หรือแตกเป็นขุย ฉะนั้นครีมทาผิวจึงสำคัญค่ะ เลือกครีมที่มีส่วนประกอบของมอยเจอร์ไรเซอร์สูง หรือมีน้ำมันเล็กน้อย ครีมแบบนี้จะช่วยกักเก็บ และเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวในช่วงหน้าหนาวได้เป็นเลิศ แต่สำหรับเจ้าตัวน้อย ก็ให้ใช้เบบี้ออยล์ทาผิวหลังอาบน้ำจะดีที่สุดค่ะ เพราะไม่ระคายเคืองผิว ไม่มีน้ำหอม แต่อย่าทาเยอะไปนะคะไม่งั้นลูก ๆ อาจจะกลายเป็นหมูน้อยอาบน้ำมันไปซะก่อน หรือคุณพ่อคุณแม่จะใช้ด้วยก็ได้ค่ะ

         
 2. ใส่ใจเรื่องอาหาร แน่นอนค่ะว่าเย็น ๆ หนาว ๆ แบบนี้ต้องคู่กับอาหารอุ่น ๆ ร้อน ๆ ดังนั้นควรเลือกทานอาหารร้อน เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ส่วนใครที่ยังชอบทานของเย็น ๆ พวกไอศกรีม น้ำแข็งใส หรือน้ำเย็น ๆ อยู่ล่ะก็ ลองลดลงบ้างค่ะ ถ้าไม่อยากเป็นหวัดหรือปวดท้อง เพราะกระเพาะและกล้ามเนื้อมีการหดตัวย่างรวดเร็วค่ะ

         
 3. ทำความสะอาดที่นอน อันนี้สำคัญค่ะ เพราะหน้าหนาวแบบนี้เราจะชอบซุกตัวกับที่นอนแบบสุขอุรากันเกินไป แต่ในหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะที่ชุดเครื่องนอนของเรามักจะมีกลิ่นอับ ไรฝุ่น ดังนั้นหมั่นเอาชุดเครื่องนอนทั้งหลายแหล่มาซักตาก หรือผึ่งแดดอยู่เสมอ เพราะในหน้าหนาวที่ผิวเราแห้งอยู่แล้ว เราอาจจะไปแพ้ไรฝุ่นจากที่นอนจนทำให้เกิดอาการคัน เป็นแผล หรือมีปัญหาโรคผิวหนังได้นะคะ

         
 4. ระวังโรคหน้าหนาวทั้งหลาย ไม่ว่าจะหวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัดเยอรมัน อีสุกอีใส อุจจาระร่วง รวมไปถึงอาการผื่นคัน ไมเกรน ปวดเกร็งตะคริว ถ้าพบว่ามีอาการน่าสงสัย เช่น ตัวร้อนต่อเนื่องไข้ไม่ลด ท้องเสียต่อเนื่อง หรือผิวหนังเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน อาจจะดูจิตกจริตไปหน่อยแต่กันไว้ดีกว่าแก้เพราะโรคภัยสมัยนี้รุนแรงขึ้นทุก วันนะคะ

         
 5. อย่าใช้ยามั่ว ๆ ถ้าเกิดป่วยแบบไม่ทันตั้งตัว ไหนจะแพ้อากาศจามไม่หยุด น้ำมูกไหล เป็นหวัดตัวร้อน ผื่นคัน หรือผิวแห้งแตกรุนแรงจนมีอาการเจ็บหรือมีเลือดซึม อย่าหายามาใช้เองเชียวนะคะ ควรพบแพทย์เพื่อดูอาการ และรับยา เพราะยาตัวเดียวกันไม่ได้ใช้ได้กับทุกคนที่แม้จะเหมือนอาการเหมือนกัน

         
 6. ชุดยังชีพ ไม่ ว่าจะเสื้อกันหนาว เสื้อแขนยาว ผ้าพันคอ ถุงเท้า หรือแม้แต่ถุงมือ ของพวกนี้ต้องเตรียมไว้เสมอค่ะ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ถ้าอากาศหนาวมากก็ควรใส่ถุงเท้านอนตลอดค่ะ เพราะบริเวณเท้าเราจะรับความเย็นไว้มากที่สุด และจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ไม่สบายได้

         
 7. กระเป๋าน้ำร้อน ไม่ได้เวอร์นะคะ แต่ควรมีไว้บ้างถึงจะดี ปัจจุบันมีกระเป๋าน้ำร้อนขนาดพกพาเล็ก ๆ ถ้าวันไหนรู้สึกหนาวมากจนชุดยังชีพก็เอาไม่อยู่แล้ว ให้เทน้ำร้อนใส่กระเป๋านำร้อนแล้วพกติดตัวไปเลยค่ะ ถือไว้ให้อุ่นมือ หรือเอาไปซุกไว้ในตัวก็ช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้ดีค่ะ

         
 8. ออกกำลังกายอย่าได้ขาด หน้าหนาวแล้วก็อย่าฉวยโอกาสขี้เกียจไปออกกำลังกายนะคะ ยิ่งหนาวก็ยิ่งต้องออกกำลังกายให้ร่างกายได้อบอุ่น และแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะถ้าเราเอาแต่นอนซุกผ้าห่มสบายใจ ไหนจะอ้วนเอย ไหนกล้ามเนื้อจะอ่อนแรงเอย แล้วยังจะให้รู้สึกเหนื่อยง่ายด้วย ดังนั้นออกกำลังกายกันเถอะค่ะ

         
 9. รักษาความสะอาดของร่างกาย ข้อนี้ขอไว้เลยว่าอย่าลืม ถึงจะหนาวแค่ไหนก็ต้องอาบน้ำเสมอ เพราะร่างกายเราไปเจอสิ่งสกปรกภายนอกมาเยอะ อาจเกิดการสะสมเชื้อโรคจนนำไปสู่อาการเจ็บป่วยได้ แต่ถ้าหนาวจนทนไม่ไหวจริง  ๆ ก็แนะนำให้ทำน้ำอุ่นผสมน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย แล้วใช้ผ้าขนหนูชุบมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายแทนได้ แต่อย่าทำบ่อยนะคะเพราะทางที่ดีที่สุดคือต้องอาบน้ำให้สะอาดค่ะ

          แค่นี้ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะทำหมดทุกข้อหรือเลือกทำแค่บางข้อ ก็ขอให้ทุกครอบครัวอบอุ่นแบบสุขภาพดีกันตลอดหน้าหนาวไปเลยค่ะ


เรื่อง : วิไลลักษณ์ @Momypedia
Momypedia
http://health.kapook.com/view18468.html
เครดิตภาพ   https://maudestandard.wordpress.com/category/plants-2/full-sun/

Thursday, October 22, 2015

ใช้เจลประคบร้อนเย็นอย่างไรดีให้ถูกต้อง?




          เราคงทราบดีกันอยู่แล้วว่าในขณะที่ กำลังดำเนินกิจวัตรประจำวัน  หรือออกกำลังกาย เล่นกีฬา แล้วได้รับบาดเจ็บ ฟกช้ำ บวม ข้อเท้าแพลง หรือมีบาดแผลฉีกขาด มีเลือดออก เจลประคบร้อนเย็นจะมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการปวดบวม หรืออักเสบ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้จริงๆ หลายๆท่านก็ยังสับสนว่าจะเลือกใช้เจลเพื่อประคบร้อนหรือเย็นดี การรักษาบรรเทาอาการจึงจะได้ผลเต็มประสิทธิภาพ
 
      
        ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจหลักการก่อนว่า การประคบร้อนหรือเย็นมีผลต่างกันอย่างไร  การประคบเย็นความเย็นจะช่วยทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดออกน้อยลง ทั้งเลือดที่ออกนอกร่างกายให้เห็นได้ และเลือดที่ออกนอกเส้นเลือดในร่างกาย ดังนั้น อาการบวมก็จะน้อย มีการดูดซึมน้ำกลับเข้าหลอดเลือดช่วยให้ยุบบวม จึงช่วยลดการบาดเจ็บ การอักเสบ นอกจากนี้ ความเย็นยังช่วยลดการนำกระแสประสาทที่รับความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้บรรเทาอาการปวดได้  ในขณะที่ประคบร้อน ความร้อนจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว ทำให้เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มเลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น จะช่วยนำออกซิเจนและเม็ดเลือดขาว มาช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และดูดกลับของเสียได้เร็วขึ้น การซ่อมแซมการบาดเจ็บดีขึ้น กล้ามเนื้อคลายตัว และช่วยบรรเทาอาการปวด ช่วยลดการสร้างพังผืดทำให้แผลหายเร็วขึ้น

ประคบเย็น  เมื่อใด?

        เมื่อต้องการบรรเทาอาการปวด อาการอักเสบในระยะเฉียบพลัน ในช่วง 24 - 48 ชั่วโมงแรกหลังได้รับบาดเจ็บ   ลดปวดแสบร้อน ลดบวม เช่น ปวดศีรษะหรือมีไข้สูง,ปวดเมื่อยตามร่างกาย,ปวดฟัน,แผลน้ำร้อนหรือไฟลวกที่ ไม่รุนแรง,ข้อเคล็ด,บาดเจ็บหลังการเล่นกีฬา,แมลงสัตว์กัดต่อย,เลือดกำเดา ไหล,มีดบาด,แผลหลังผ่าตัด,หลังถอนฟัน,ถูกแดดเผา,ตาบวม,อาการก่อนรูมาติ ซึม,ก่อนเป็นไมเกรน และยังใช้เพื่อทำให้สดชื่น ผ่อนคลายความเครียด

       วิธีประคบเย็น   นำถุงเจลสำหรับประคบร้อนเย็น ( cold-hot pack) ที่แช่ในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง กดประคบบริเวณที่บาดเจ็บ ครั้งละ 15 - 20 นาที (ไม่ควรใช้เวลานานกว่านี้ และไม่วางที่เดียวนานเกินไป จะเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อได้) ทำซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง ใน 24 ชั่วโมงแรก หรือทำซ้ำเมื่อผิวหนังกลับสู่อุณหภูมิปกติ หลังจากนั้นประคบห่างลง เป็น 3 - 4 ครั้งต่อวัน ในวันที่ 2 ควรให้บริเวณบาดเจ็บอยู่นิ่งๆ และยกสูงกว่าระดับหัวใจ ไม่ควรนวด คลึง บริเวณที่บาดเจ็บ เพราะจะยิ่งทำให้มีเลือดออก และบวมมากขึ้น การประคบเย็น ต้องระมัดระวัง อย่าให้น้ำแข็งกระทบผิวหนังโดยตรงโดยควรสวมปลอกผ้าที่มักมีให้มากับอุปกรณ์ หรืออาจใช้ผ้าขนหนูพันหุ้ม หรือไม่ควรใช้ความเย็นจัดนานจนเกินไป ทำเช่นนี้ประมาณ 48-72ชั่วโมง เช่นหลังการผ่าตัดหรือการถอนฟันประคบเย็นก่อนเพื่อลดอาการปวดบวม หลังจากนั้น 2-3วัน(ตามแพทย์สั่ง) จึงค่อยประคบร้อนเพื่อลดรอยฟกช้ำ

ข้อควรระวังในการประคบเย็น 

1.ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการรับความรู้สึก 
2.บริเวณที่เลือดไปเลี้ยงไม่พอเพียง 
3.ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร 
4.ผู้ป่วยที่มีปฏิกิริยาต่อความเย็น เช่น มีเม็ดเลือดแตก แพ้ความเย็น ทนความเย็นไม่ได้ เส้นประสาทอักเสบ จากความเย็น เป็นต้น 

ประคบร้อน เมื่อใด?

        เริ่มใช้หลังจากมีอาการผ่านไปแล้ว 48 ชั่วโมง  เพื่อลดอาการปวดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อาการที่ควรประคบร้อน เช่น ปวดตึงของกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า หลัง น่อง ปวดประจำเดือน ปวดข้อ ปวดฟัน เต้านมคัดตึงในสตรีให้นมบุตร คัดจมูก เมื่อยล้าสายตา อาการไม่สบายผิวเนื่องจากการแพ้ ใต้ตาคล้ำ  อาการหลังรูมาติซึม และตากุ้งยิง

        วิธีประคบร้อน  เริ่มใช้หลังจากมีอาการผ่านไปแล้ว 48 ชั่วโมง ใช้เจลประคบร้อนที่ทำให้ร้อนแล้ว สวมด้วยปลอกผ้าที่มีมากับอุปกรณ์ หรือใช้ผ้าขนหนูพัน ทดสอบอุณหภูมิที่จะประคบไม่ให้ร้อนเกินไป วางเจลประคบบริเวณที่มีอาการ ประมาณ 15-20 นาที โดยขยับเปลี่ยนบริเวณที่วางบ่อยๆ วันละ 2-3 ครั้ง    

ข้อควรระวังในการประคบร้อน 

1.ห้ามประคบร้อนในบริเวณที่มีการบาดเจ็บหรืออักเสบเฉียบพลัน โดยเฉพาะใน 24 ชั่วโมงแรก
2.ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ 
3.บริเวณที่มีปัญหาอาการชา หรือขาดเลือดไปเลี้ยง 
4.บริเวณที่อยู่ใกล้ก้อนเนื้องอกหรือเป็นมะเร็ง 
5.ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร 
6.ความร้อนที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดรอยดำไหม้หรือแผลพุพองได้ 
7.บริเวณที่มีแผลเปิด มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

        จะเห็นได้ว่า การใช้เจลประคบร้อน หรือประคบเย็น มีประโยชน์ทั้งสองอย่าง เราจึงควรเลือกใช้ให้ถูกกับเวลาและสาเหตุที่เป็น ก็จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวด  ลดอาการอักเสบลงได้มาก

http://www.healthymax.co.th/idea_detail.aspx?id=15