Sunday, September 29, 2013

ข้อควรรู้เรื่องการนอน




เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลับสบายยามหัวถึงหมอน หรือหลับได้ทุกที่ทุกสถานการณ์ การนอนสำคัญและเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ มากกว่าที่คุณคิด ถ้าคุณมีอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือง่วงหลับประจำตอนกลางวัน สาเหตุใดที่เป็นปัญหาที่กวนใจแท้จริง และปัญหาใดเป็นความเชื่อผิดๆ กันแน่

ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพักไปด้วย 

ข้อเท็จจริง : ในขณะหลับร่างกายจะหยุดพักผ่อนตามไปด้วย แต่สมองยังคงทำงานอยู่ การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้รับการชาร์ตแบตเตอรี่เพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของ ร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ

ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก 

ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป ทั้งนี้อายุที่มากขึ้น ประกอบกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง
 
ความเชื่อ : การนอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย 

ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเราจะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนเป็นประจำแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับให้นอนน้อยได้ตลอด เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ

ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ 

ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวันอาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียง พอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกตอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องไปปรึกษาแพทย์ต่อไป

ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก 

ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูกผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทำให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายรับประทานอาหารเกินพอดี น้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด

แหล่งที่มา  http://www.baanjomyut.com/library_2/focus_on_the_bed/index.html

Friday, September 27, 2013

รวมเหตุผล...ผู้หญิง'บ่อน้ำตาตื้น'กว่าผู้ชาย

 
ผู้ชายส่วนใหญ่มักรำคาญบรรดาผู้หญิงบ่อน้ำตาตื้น ทะเลาะกันนิดหน่อย น้ำตาก็ร่วงเป็นสาย  แต่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนอยากจะร้องไห้ เพียงแต่มันเป็นธรรมชาติของเพศต่างหาก

ขึ้นชื่อว่า ผู้หญิงหมายถึงเพศผู้อ่อนแอ เจอเรื่องหนักหนากดดันอะไรในชีวิต  แม้ผู้ชายใจแข็งทั้งหลาย จะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต  แต่เชื่อไหมว่า ผู้หญิงนี่แหละ  สามารถหลั่งน้ำตาคร่ำครวญได้ง่ายๆ  ซึ่งสาเหตุของการเสียน้ำตา อย่าโทษที่ตัวผู้หญิงว่าเป็นคนอ่อนไหว ขี้แย  เพียงแต่ว่ามันเป็นธรรมชาติของเพศที่โลกได้สร้างสรรค์มาแต่ไหนแต่ไร

นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐ ได้ระบุเหตุผลที่สาวๆ สามารถร้องไห้ได้ง่าย  และใช้เวลาในการบิวต์ไม่นานว่า มีทั้งหมด 3 เหตุผลด้วยกัน

1)    ขนาดของท่อน้ำตา  ความแตกต่างของเพศชายและหญิง ไม่ได้มีแค่รูปร่างและอวัยวะภายนอกเท่านั้น  ท่อน้ำตาที่ลึกเข้าไปในดวงตาก็มีขนาดแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด สำหรับผู้หญิงมีท่อน้ำตาเล็กและอยู่ตื้นกว่าผู้ชาย ที่ซึ่งมีท่อน้ำตากว้างและอยู่ลึก กว่าที่น้ำตา จะเดินทางออกมาได้จึงใช้เวลานาน  อีกทั้งต้องใช้อารมณ์ช่วยกระตุ้นอย่างสูงทีเดียว

2)    ฮอร์โมนเพศ  หน้าที่หลักของผู้หญิงก็คือการเป็นแม่ของลูก ซึ่งฮอร์โมนเพศหญิงนี่แหละที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกให้อ่อนไหวง่ายๆ  ยิ่งเจอภาวะกดดันจากรอบข้าง  น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลอย่างไม่รู้ตัว แต่สำหรับฮอร์โมนเพศชายมีธรรมชาติของความอดทนต่อการกระตุ้นอยู่ค่อนข้างสูง  ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า หนุ่มวัยรุ่นร้องไห้ยากกว่าชายแก่  เนื่องจากร่างกายฮอร์โมนเพศชายเต็มเปี่ยม  แต่พอแก่ตัวลงอารมณ์ก็จะอ่อนไหวไปตามอายุ

3)    การเลี้ยงดู หากสาวๆ ที่อยู่ในครอบครัวอบอุ่นและถูกตามใจแต่เด็ก มักจะเป็นเด็กที่ขี้แยมากกว่าเด็กที่เติบโตท่ามกลางการแข่งขันจากรอบด้าน

แต่อาจมองได้ว่า การร้องไห้ มีแต่ข้อเสีย และเอาแต่แสดงการอ่อนแอ  แท้จริงแล้วน้ำตาก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากทีเดียว  เพราะน้ำตาเป็นวิธีการประมวลผลความเครียดทางธรรมชาติของร่างกาย และยังช่วยหล่อลื่นดวงตา  อีกทั้งชำระล้างฮอร์โมนความเครียดและเชื้อพิษอื่นๆ  จากการศึกษาพบว่า  การร้องไห้ยังทำให้เราผลิตสารเอ็นดอร์ฟินซึ่งทำให้รู้สึกดีได้ด้วย

ข้อมูล  :  gothamist.com
             ไทยรัฐ

Tuesday, September 24, 2013

ทายนิสัย จากรสชาติอาหาร




 ชอบอาหารรสหวาน

          จะเป็นคนใจบุญ ขี้สงสารคน อารมณ์ดีร่าเริงสดใสแต่บางครั้งก็ดู เหมือนเว่อร์ ๆ ไปหน่อย ชอบกีฬา และโปรดปรานเสียงเพลง ส่วนทางด้านความรักจะเป็นคนที่รักง่ายหน่ายเร็ว แต่ถ้ารักใครก็รักจริง

          ข้อเสียคือ ขี้หึงเต็มร้อย มักจะเป็นคนที่มีจิตใจโลเลเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองเท่าไหร่นัก มักจะเป็นคนช่างฝัน มีโลกส่วนตัว มีความเป็นมิตรสูง ไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่ ก็เอาเรื่องถ้าถูกหักหลัง

ชอบอาหารรสเค็ม

          ส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยเหมือนรส คือขี้งก มักได้ ชอบอะไรที่ไม่ต้องลงทุนแต่หวัง ว่าจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมามาก ขี้เหนียว เวลาไปไหนกับคนชอบเค็มเรามักจะต้องควักจ่ายมากกว่า แต่หากได้กินเงินของเค้าละก็ ต้องถือว่าชาติก่อนทำบุญมาดี

          เป็นคนที่ขยันทำงาน เก็บเงินเก่ง แต่งตัวปอน ๆ ซ้ำ ๆ ประมาณว่ารูปลักษณ์ภายนอกไม่สนขอแค่เงินในบัญชีไม่พร่อง ด้านความรักจะเป็นคนไม่ชอบแสดงออก บวกกับไม่ค่อยทุ่มด้วยแล้ว จึงมักจะกินแห้วอยู่เสมอ แต่ก็เป็นคนที่รักความสงบและไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร ๆ นัก

ชอบอาหารรสเปรี้ยว

          เป็นพวกสังคมจัด ชอบออกงาน ชอบคบค้าสมาคมกับคนทุกระดับ จะเป็นคนที่ช่างพูดช่างเจรจา ชอบทำตัวเด่น แต่บางครั้งก็โอเว่อร์เกินหน้าเกินตาคนอื่นทำให้ถูกหมั่นไส้ได้

          หาเงินคล่องแต่ก็ใช้เงินเก่ง แต่ก็ยังมีเหลือเก็บบ้างเหมือนกัน ส่วนข้อเสียคือ ชอบทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันเลยทำอะไรไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนัก และไม่ชอบที่จะทำงานที่ต้องออกแรงเยอะอีกด้วย ออกจะติดแนวรักสบายไปสักหน่อย

ชอบอาหารรสเผ็ด

          เป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว รุนแรง ตัดสินใจเด็ดขาด โกรธง่ายแต่หายเร็ว ปากร้ายแต่ก็ใจดี เป็นคนฉลาดทันคน พูดจาตรงไปตรง มาคิดอย่างไรว่าอย่างนั้น จะเป็นคนที่มีความมานะ อดทน และมีความเพียรพยายามสูง เรียกว่าตั้งใจทำ อะไรถ้ายังไม่สำเร็จตามที่คิดไว้ก็จะทำให้เสร็จ และจะไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ทำถูกต้องแล้ว

          เป็นคนรักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับใคร แต่ถ้าลองได้รักใครแล้วทุ่มสุดใจถวายชีวิตเชียวแหละ

ชอบอาหารรสจืด

          เป็นพวกเศรษฐกิจพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี มีแค่ไหนใช้แค่นั้น แต่บางครั้งก็มากเกินไปจนกลายเป็นคนไม่ค่อยขวนขวายกระตือรือร้น เป็นคนหนักเอาเบาสู้งานมากงานน้อยไม่หวั่น ว่านอนสอนง่ายใครว่าไงก็ว่าตาม อยู่ง่ายกินง่าย ชอบแต่งตัวสบาย ๆ

          ข้อเสียของคนชอบรสจืดคือ เป็นพวกคน ขี้ใจน้อย ขี้สงสาร ใจอ่อน มักจะชอบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน เลยโดนคนอื่นหลอกอยู่บ่อย ๆ

ข้อมูลจาก Forward Mail
http://horoscope.kapook.com/view8889.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Saturday, September 21, 2013

เปลี่ยนความคิดพิชิตความเศร้า




ความคิด, อารมณ์, ความเศร้า, และโรคซึมเศร้า
 
ถ้าเราเดินสวนกับเพื่อนคนหนึ่งแล้วเขาไม่ทักเราเราอาจเกิดความรู้สึกได้ต่างๆกันไป แล้วแต่ว่าเราคิดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร ถ้าเราคิดว่าเพื่อนไม่ทักเราเพราะว่าเรามันคงไม่ดีพอ ไม่อยู่ในสายตาไม่สำคัญ ผู้คนเขาคงไม่อยากเสียเวลามาคบหาเรา! เราก็จะมานั่งเศร้าซึม ท้อแท้ใจ แต่ถ้าเราคิดว่าเพื่อนคนนี้นิสัยไม่ดีไม่มีมารยาทเราก็จะรู้สึกโกรธแต่ถ้าเราคิดว่าเขาคงกำลังรีบร้อน ไม่ทันเห็นเราเราก็คงจะรู้สึกเฉยๆไม่เดือดร้อนใจอะไรนี่เป็นตัวอย่างที่แสดงว่าเมื่อมีเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นเราอาจเกิดความรู้สึกได้หลายแบบโดยที่เราจะรู้สึกอย่างไรขึ้นกับว่าเราคิดอย่างไรกับเรื่องนั้น

 คนที่ซึมเศร้าง่ายมักคิดถึงเรื่องต่างๆในทางที่เลวร้ายกว่าความเป็นจริง วิธีคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ในอดีตจนเกิดเป็นแนวโน้มหรือ"นิสัย"ในการคิดแบบหนึ่ง ทำให้ต้องรู้สึกเศร้าโดยไม่จำเป็นบ่อยๆ

ความคิดดังกล่าวนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมากและเรามักเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดนั้นเป็นความจริง แต่เราสามารถแก้ไข "นิสัย" ในการคิดได้และเมื่อความคิดเปลี่ยนอารมณ์ของเราก็จะเปลี่ยน

หัดจับความคิดที่ผุดขึ้นมา

เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกซึมเศร้าท้อแท้ใจให้หยุดสักประเดี๋ยวแล้วลองนึกดูว่าตะกี้เกิดอะไรขึ้น เช่นเจ้านายดุเอา ลูกค้าปฏิเสธไม่ซื้อของ เห็นเด็กคนหนึ่งถูกเพื่อนรังแกเห็นผู้ชายผู้หญิงเดินด้วยกัน หรือการนึกถึงเรื่องเก่าๆ

ให้สังเกตุว่าพอเกิดสิ่งนั่นขึ้นแล้วเราเกิดความคิดอะไรผุดขึ้นมา? เช่นอาจเกิดความคิดผุดขึ้นมาในสมองว่าเราทำผิดอีกแล้ว“ “เรามันคนไม่มีอะไรดี” “ใครๆเขาคงจะมองว่าเราโง่” “ใครๆเขาก็ไม่อยากคบเรา” “ทำไมคนอื่นเขามีความสุขหวานชื่นกันแต่ตัวเรามีแต่ความอ้าวว้างเปล่าเปลี่ยวฯลฯ การคอยจับความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ไม่ใช่สิ่งที่เราทำกันตามปกติดังนั้นในช่วงแรกๆอาจรู้สึกว่ามันไม่ค่อยง่าย เท่าไรแต่เมื่อเราหัดทำและเริ่มคุ้นเคยเราจะทำได้เร็วขึ้น

ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น แม่นแค่ไหน?

เมื่อเราจับความคิดที่ผุดขึ้นมาและทำให้เราเศร้าได้แล้วให้ลองพิจารณาว่าความคิดอันนั้นมันถูกหรือผิด อย่างไร ความคิดอันนั้นอาจจะ "ถูก" ก็ได้ ให้พยายามหาคำตอบว่ามันน่าจะ "ถูก" เพราะอะไร เหตุผลที่นำมาสนับสนุนว่าความคิดนี้"ถูก"อาจมีได้หลายอย่างเช่นคนตะกี้อาจจะคิดว่าเราโง่จริงๆ เพราะดูเขาเบื่อๆเวลาคุยกับเรา หรือ วันก่อนเราก็โดนเพื่อนๆโห่เอาและมีคนพูดว่าเราถามคำถามอะไรโง่ๆ
ขั้นต่อไปคือลองพิจารณาว่าความคิดอันนั้นมันอาจจะไม่ค่อยถูกเท่าไรก็ได้เพราะอะไรบ้าง เช่น อาจจะมีบางคนคิดว่าเราโง่แต่คงไม่ทุกคนหรอกและคงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะคิดเหมือนกันไปหมด
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือถ้าเราคิดได้ว่าความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นมันไม่จริงหรือไม่ค่อยแม่นเท่าไรอารมณ์ของเรา จะดีขึ้นทันทีอย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่งจนกว่าเราจะเผลอไปคิดแบบเดิมอีกซึ่งเราก็ต้องมาทบทวนความคิด ใหม่อีกเมื่อเราฝึกการตรวจสอบความคิดแบบนี้จนชำนาญขึ้นเราก็จะไม่ค่อยต้องรู้สึกซึมเศร้าโดยไม่จำเป็น บ่อยนัก

แล้วถ้าเกิดคิดได้ว่ามันไม่เลวร้ายจริงแต่อารมณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นล่ะ?

เหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้และมักเกิดจากการตอบไม่ตรงกับใจคือตัวเราเองอาจจะไม่เชื่อคำตอบ ที่เราคิดออกมาว่าความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นจริงหรือไม่จริงเพราะอะไร หรืออาจเป็นเพราะเชื่อ "แต่....." คือมีความคิดในแง่ร้ายบางอย่างผุดขึ้นมาหักล้างมันดังนั้นถ้าคิดได้ว่าความคิดเดิมไม่แม่นแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ให้ลองคิดดูใหม่ ถ้ามี "แต่..." ก็ให้ทำแบบเดียวกับ "แต่..." อันนั้นคือ "แต่..." อาจจะจริงเพราะ... หรืออาจจะไม่จริงเพราะ...

แล้วถ้าคิดออกมาแล้วมันจริงล่ะ?

เราไม่ได้พยายามโน้มน้าวให้ใครๆพยายามมองโลกในแง่ดีเอาไว้ก่อนแต่เราอยากให้ทุกคนฝึกการมองโลก ให้แม่นขึ้น หลายๆครั้งความคิดที่ทำให้เรารู้สึกเศร้าซึมอาจจะแม่นก็ได้ เพื่อนๆมองว่าเราโง่จริงๆ เพื่อนๆมองว่าเราไม่มีความสามารถ ไม่สำคัญ เวลาเดินสวนกันก็ไม่ทักเราซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเลย สิ่งที่เราทำได้ก็คือ "คิด" ต่อ โดยมีแนวคิดได้ 2 ทางคือ

1.            ถ้ามันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆแล้วจะเป็นอะไรไป?
2.            ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้วเราจะทำอย่างไร?

ถ้ามันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆแล้วจะเป็นอะไรไป?

ถ้าเราคิดทบทวนดูแล้วเราก็ยังเชื่ออยู่ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นจริงเราอาจจะลองคิดต่อไปว่าถ้ามันจริงแล้วจะเป็นอะไรไป?

เราอาจจะตอบตัวเองว่าถ้าเพื่อนไม่อยากคบเราเราก็คงจะไม่มีเพื่อนซึ่งฟังๆดูก็น่าเห็นใจให้ถามตัวเอง 

ต่อไปว่าถ้าไม่มีเพื่อนจริงๆแล้วมันจะเป็นอะไรไป?

เราอาจจะตอบว่าเราก็คงจะเหงาก็น่าเห็นใจจริงๆนะครับแต่ให้ถามตัวเองต่อไปอีกว่าถ้าเราเหงาจริงๆ แล้วมันจะเป็นอะไรไป?

ถามตัวเองและตอบคำถามแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดเรามักจะพบว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก เช่น การที่เราไม่ใช่คนสำคัญในหมู่เพื่อนและเพื่อนๆมักจะมองข้ามเรานั้นอย่างมากก็มีเพื่อนน้อยลงซึ่งเรา ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้สามารถเรียนจบทำงานได้แม้ว่าconnectionหรือเส้นสายจะน้อยไปสักหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับ จะหาความเจริญก้าวหน้าไม่ได้ การที่เราพบคำตอบแบบนี้จะทำให้อารมณ์ของเราดีขึ้นทันที
แต่ถ้าเมื่อถามตัวเองแล้วพบว่าสำหรับเราแล้วเรื่องนี้ยังมีความสำคัญมีความหมายมากอยู่ดี ให้พิจารณาขั้นตอนถัดไป

ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้วเราจะทำอย่างไร?

หลักมีอยู่ว่า "ทุกปัญหามีทางออกเสมอ" ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าปัญหาจะเลวร้ายเพียงใด มีทางออกเสมอและก็มักจะมีหลายทางออกด้วยเช่นคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็มีทางออกตั้ง หลายทางเช่นเรียนมหาวิทยาลัยเปิดหรือมหาวิทยาลัยเอกชนรอสอบใหม่ปีหน้า หางานทำหาอะไรเรียน เล่นๆไปก่อน หรือแม้แต่อยู่บ้านเฉยๆนั่งกินนอนกินไปสักปีแต่คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์ซึมเศร้าจะ คิดอะไรไม่ออก มองไม่เห็นทางออกทางอื่นนอกจากตายดีกว่า

หลักข้อต่อไปก็คือ"ทุกทางออกจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย"ไม่มีทางใดที่มีแต่ข้อดีในขณะเดียวกันก็ ไม่มีทางใดที่มีแต่ข้อเสียเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้ข้อดีก็คือได้ที่เรียน ข้อเสียก็คืออาจจะต้องขวยขวายช่วยตัวเองในการเรียนมากหน่อยหรือสำหรับคนที่ยึดติดกับ "ยี่ห้อ" ก็อาจรู้สึกต่ำต้อยกว่าเพื่อนฝูงหรือรู้สึกเสียหน้าไปหน่อย การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนอาจทำให้รู้สึก "ยืด"ขึ้นมานิดหนึ่งแต่ก็ต้องจ่ายเพิ่มมากกว่ากันอีกมากแม้แต่การ"ตายดีกว่า"ก็มีข้อดีเพราะตายแล้ว ไม่ต้องรับรู้อะไร แต่ก็มีข้อเสียมากมายอย่างที่เราก็ทราบกัน ดังนั้นทุกทางออกมีทั้งข้อดีและข้อเสียทั้งนั้น
ข้อดีอย่างเดียวกันสำหรับคนๆหนึ่งอาจมีความหมายมากแต่สำหรับอีกคนหนึ่งอาจไม่ค่อยสำคัญนัก ในทำนองเดียวกันข้อเสียอย่างเดียวกันสำหรับคนๆหนึ่งก็อาจเลวร้ายมากแต่สำหรับอีกคนหนึ่งเขาอาจ จะรู้สึกเฉยๆไม่ค่อยเดือดร้อนมากนัก

ในคนๆเดียวกันในขณะหนึ่งเรื่องบางเรื่องอาจจะสำคัญมากแต่ในอีกเวลาหนึ่งอาจจะไม่ค่อยสำคัญก็ได้ ดังนั้นเมื่อคิดได้ว่าเราน่าจะเลือกทางออกทางไหนดีแล้วถ้ายังไม่รีบมากให้ชลอเรื่องไว้ก่อนอย่าเพิ่งลงมือทำ อีก2-3วันลองกลับมาคิดเรื่องเดิมใหม่เพราะเมื่ออารมณ์เปลี่ยนไปน้ำหนักของความสำคัญของข้อดีและ ข้อเสียแต่ละข้อจะเปลี่ยนไปทางออกที่เราจะเลือกก็จะเปลี่ยนไปแต่เมื่อเราคิดใหม่หลายๆครั้งสิ่งที่เรา จะเลือกจะเริ่มไม่ค่อยเปลี่ยนและน่าจะเป็นทางออกที่สมเหตุผลและตรงกับใจของเราที่สุด
  
สรุป

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเราจะรู้สึกอย่างไรขึ้นกับว่าเราคิดถึงเรื่องนั้นว่าอย่างไรคนที่ซึมเศร้าง่ายมักมี แนวโน้มที่จะคิดถึงเรื่องต่างๆในแง่ร้ายทำให้รู้สึกเศร้าโดยไม่จำเป็นอยู่บ่อยๆ

เราสามารถแก้ไขความคิดของเราได้โดยพิจารณาความคิดที่เกิดขึ้นว่ามีส่วนถูกหรือไม่ถูกอย่างไร ถ้าเราพบว่าความคิดนั้นไม่ค่อยถูกนักอารมณ์เศร้าของเราจะดีขึ้นทันที

แต่ถ้าเราคิดแล้วพบว่าความคิดนั้นถูกต้องสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเลวร้ายจริงเราสามารถคิดต่อไปได้ 2 แนวทางคือ
1.            แล้วมันจะเป็นอะไรไป บ่อยครั้งเรามักจะพบว่าสิ่งที่เรากังวลนั้นมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

2.            แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง เป็นการหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกปัญหามีทางออก แต่ทุกทางออกจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

เลือกทางออกที่สำหรับเราแล้วมีข้อดีมากที่สุดและข้อเสียน้อยที่สุด

ผศ.นพ.สเปญ อุ่นอนงค์
รพ.บำรุงราษฎร์
www.infomental.com/cbt.htm
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/diamondkandace/crafts-for-christmas/