Sunday, November 30, 2014

5 ผักชั้นเลิศ บำรุงสายตาให้แจ่มแจ๋ว



          วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับผักแสนอร่อย 5 ชนิด ที่จะช่วยบำรุงสายตาของเราให้จัดเจนแจ่มแจ๋วกันนะคะ ใครอยากรู้ว่ามีผักอะไรบ้าง รอติดตามกันเลยค่ะ

ผักบุ้ง

          ผักบุ้งช่วยบำรุงสายตา ไม่ทำให้ปวดตา สายตาสั้น แสบตา จะกินผักบุ้งก็ต้องกินผักบุ้งดิบ รับทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย นอกจากวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด



แครอท

          แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้ม นอกจากนี้มันก็ยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแคโรทีนก็คือ วิตามินเอ ซึ่งช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาเพราะมันมีผลต่อปฏิกริยาเคมีของดวงตาต่อแสง วิตามินเอยังช่วยให้มีผิวที่ดีอีกด้วย และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่นมะเร็งได้ดี



ตำลึง

          ตำลึงมีคุณค่าทางอาหารสูง มีเบต้าแคโรทีนที่ดีที่สุด เบต้าแคโรทีนเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อ เบต้าแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด



คะน้า

          คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ



ฟักทอง

          ฟักทองมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ระบบย่อยอาหาร บำรุงตับไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว มีสารลูทีนป้องกันการเสื่อมของจุดหรือแสงสีของเรตินา มีวิตามินเอบำรุงสายตา มีเบตาแคโรทีนซึ่งมีสาร Antioxidant สูง จึงช่วยต้านมะเร็งได้อีกด้วย




แหล่งที่มา  Woman Plus, http://health.kapook.com/view105391.html
เครดิตภาพ   https://durmitorskimed.wordpress.com/2014/08/21/sargarepa/


Wednesday, November 26, 2014

สิ่งดี ๆ จากหยดน้ำตา ใครว่าการร้องไห้ไม่มีประโยชน์




         ใครว่าการเสียน้ำตาเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ลองมาดูข้อดีของการร้องไห้ที่คุณจะไม่มีทางปฏิเสธ

          หลายคนมักเชื่อว่าการร้องไห้คือการแสดงออกซึ่งความอ่อนแอและเป็นพฤติกรรมที่น่าอาย แต่จริง ๆ แล้วการร้องไห้นั้นมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด ส่งผลดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างที่เว็บไซต์ health.com  ได้นำข้อดีของการร้องไห้มาเล่าสู่กันฟัง บอกได้เลยว่าข้อดีของการร้องไห้นั้นดีจนคุณไม่สามารถปฏิเสธได้เลยล่ะค่ะ
 

1. ช่วยลดความเครียด

          ในน้ำตาของคนเรามีแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแมงกานีสอยู่มากกว่าเลือดถึง 30 เท่า ซึ่งเจ้าแร่ธาตุชนิดนี้นี่ล่ะที่มีส่วนทำให้ร่างกายเกิดความเครียด โดย William Frey นักชีวเคมีและผู้เขียนหนังสือ Crying : The Mystery of Tears ซึ่งได้ทำการศึกษาและพบว่า การร้องไห้เป็นวิธีขจัดแมงกานีสที่ดีที่สุด ช่วยขับแมงกานีสออกมาได้มาก และยังทำให้ความเครียดลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์

2. ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่ง

หลายคนคงจะเคยสงสัยว่าทำไมคู่รักที่ทะเลาะกันจนถึงขั้นเลิกรากันอย่างเด็ดขาดแล้วถึงกลับมาคืนดีกันเพราะเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ แถมยังลืมเรื่องต่าง ๆ ที่เคยบาดหมางในใจไปเสียหมด นั่นก็เป็นเพราะว่าน้ำตาเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนไงล่ะคะ ซึ่งวารสารวิชาการ Evolutionary Psychology ได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ของ Oren Hasson นักชีววิทยาวิวัฒนาการ ที่เกี่ยวข้องกับการร้องไห้ ซึ่ง Hasson ได้วิเคราะห์ว่าการร้องไห้เป็นการกระตุ้นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความรู้สึกที่เกี่ยวกับการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทำให้ความสัมพันธ์ที่แตกแยกกลับดีขึ้น และยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นอีกด้วย
 

3. ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

          มีการศึกษาจำนวนไม่น้อยพบว่าหลังจากการร้องไห้แล้วจะมีความสุขมากขึ้น และส่งผลดีไม่ว่าทั้งทางจิตใจหรือร่างกาย โดยนักวิจัยได้อธิบายว่าการร้องไห้จะช่วยชำระล้างสารเคมีที่ไม่ดีในร่าง กายออกไปและในขณะเดียวกันก็จะช่วยให้สภาวะจิตใจดีขึ้นและทำให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายได้

          ถึงแม้ การร้องไห้จะดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ก็ไม่ควรจะร้องไห้บ่อย ๆ นะคะ เพราะนอกจากจะทำให้ดวงตาช้ำแล้วก็ยังทำให้ดูไม่ดีอีกด้วย แต่ถ้าเรื่องที่เจอมามันเกินจะอดทนได้ละก็ ร้องออกมาเถอะค่ะ เพื่อจะได้ปลดปล่อยออกมาและกลับมายิ้มอีกครั้งไงล่ะคะ
 


Tuesday, November 25, 2014

ประโยชน์ของเหงื่อ ดีเกินคาด เปลี่ยนความคิดซะ




         ประโยชน์ของเหงื่อ กับข้อดีที่คาดไม่ถึง ได้เวลาเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ แล้วมารู้จักเรื่องใกล้ตัวเราให้มากขึ้น

          เหงื่อ เป็นหนึ่งในของเหลวที่ถูกขับออกตามผิวหนังเพื่อช่วยระบายความร้อนในร่างกาย จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การเดิน หรือการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน ๆ แม้แต่การอยู่ในสภาวะเครียด ๆ ก็ทำให้เกิดเหงื่อได้เหมือนกัน ซึ่งเจ้าเหงื่อที่ไหลออกมาอาจจะสร้างความน่ารำคาญให้ใครต่อใครมากมาย เพราะทำให้เหนียวเหนอะหนะ แถมยังทำให้เสื้อผ้าเปียก บางคนก็อาจจะหนักหน่อยเพราะเวลาเหงื่อออกก็มักจะมีกลิ่นตัวออกมาทักทายคนรอบข้างจนใครได้กลิ่นก็ต้องส่ายหน้า แต่ขอบอกเลยค่ะว่าเจ้าเหงื่อไม่น่ารังเกียจเสมอไป วันนี้เราจะพาไปพบประโยชน์ของเหงื่อที่มีมากกว่าระบายความร้อนในร่างกายกัน ลองดูสิว่าเว็บไซต์ allwomenstalk.com  เอาข้อดีอะไรของเหงื่อมาบอกเรากันบ้าง
 

1. ทำให้ผิวสะอาดขึ้น

          แม้ว่าเหงื่อจะทำให้รู้สึกเหนอะหนะ และเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยจะชอบสักเท่าไร แต่เหงื่อนี่ล่ะที่ช่วยทำให้ผิวของเราสะอาดได้ เพราะเหงื่อจะช่วยขับสารพิษที่สะสมอยู่ในผิวหนัง ลดการเกิดผดผื่น สิว หรือปัญหาที่เกิดจากการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง

2. รักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้น

          หลายคนอาจจะมองว่าเหงื่อเป็นสิ่งที่สกปรก แต่จริง ๆ แล้ว เหงื่อสามารถช่วยทำให้บาดแผลหายเร็วยิ่งขึ้น โดย Laure Rittie นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้เปิดเผยเอาไว้ว่า ต่อมเหงื่อถือเป็นแหล่งกักเก็บสเต็มเซลล์ที่สำคัญของร่างกายซึ่งทำหน้าที่สมานแผล ฉะนั้นถ้าเกิดมีเหงื่อผุดขึ้นมาบริเวณแผลก็อย่ากลัวว่ามันจะทำให้ติดเชื้อเลย แต่ถ้าอยากจะเช็ดออกก็ควรจะใช้สำลีปลอดเชื้อเช็ดนะคะ จะได้ไม่เกิดการติดเชื้อไงล่ะ

 
3. เป็นยาปฏิชีวนะ

          มีการศึกษามากมายแสดงให้เห็นว่าเหงื่อมีสารหนึ่งที่ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยาปฏิชีวนะ แถมยังมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย ซึ่งในการศึกษาได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่าสารที่อยู่ในเหงื่ออย่างเดอร์มซิดิน (dermcidin) ที่ถูกหลั่งออกมาจากต่อมเหงื่อจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียต่าง ๆ ที่อยู่ในบาดแผลเล็ก ๆ อย่างเช่นแผลโดนของมีคมบาดขนาดเล็กรวมทั้งแผลยุงกัดได้ค่ะ

4. ช่วยป้องกันนิ่วในไต

          ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ ว่าเหงื่อช่วยป้องกันนิ่วในไตได้ เพราะมีหลายการศึกษาต่างลงความเห็นว่า การออกกำลังกายเป็นประจำและการดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยทำให้ควบคุมการเกิดนิ่วในไตได้ โดยเมื่อเราออกกำลังกาย ร่างกายจะขับของเสียออกมาทางเหงื่อ และเมื่อเราดื่มน้ำเข้าไปอย่างเพียงพอ ก็จะทำให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ และดีต่อไตด้วยค่ะ
 

5. ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย

          ถ้าพูดถึงประโยชน์หลัก ๆ ของเหงื่อก็คงจะมองข้ามข้อนี้ไปไม่ได้เลยค่ะ เพราะเหงื่อจะช่วยไม่ให้ร่างกายร้อนจนเกินไปจากการทำกิจกรรมหนัก ๆ หรือการอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อน ๆ อย่างเช่นการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ร่างกายมีการเผาผลาญแคลอรี่อย่างหนักทำให้ร่างกายของเราร้อนขึ้น และอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ถ้าหากดื่มน้ำไม่เพียงพอค่ะ

  
6. ช่วยทำให้คุณดูอ่อนเยาว์กว่าวัย

          ประโยชน์ของเหงื่อไม่ได้แค่เพียงทำให้ผิวสะอาดขึ้นเท่านั้นแต่ยังช่วยทำให้ ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย เพราะเจ้าเหงื่อนี่ล่ะค่ะที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนังและช่วย กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ขับสารพิษที่อยู่ในผิวที่ทำให้ผิวพรรณแก่ก่อนวัยออกจากร่างกาย โดยไม่ต้องเพึ่งเครื่องประทินผิวราคาแพงเลย

7. ช่วยทำให้อารมณ์ดี

          เหงื่อช่วยทำให้เราอารมณ์ดีได้เพราะในการออกกำลังกาย เหงื่อจะถูกหลั่งออกมาพร้อมกับสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีในร่างกายที่เมื่อหลั่งออกมาแล้วจะทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดี ขึ้น ยิ่งเหงื่อออกเยอะก็ยิ่งอารมณ์ดี นี่ยังไม่นับรวมกับประโยชน์ข้ออื่น ๆ ของเหงื่อที่บอกกันไปก่อนหน้านี้อีกนะคะ แต่ก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปทดแทนนะ เพราะถ้าเกิดภาวะขาดน้ำขึ้นมาก็อาจจะทำให้อารมณ์บูดแทนนะคะ
 

    ได้ทราบถึงประโยชน์ของเหงื่อกันไปแล้วก็คงจะทำให้หลาย ๆ คนที่รู้สึกไม่ชอบเหงื่อเปลี่ยนความคิดกันได้บ้าง เพราะอย่างน้อยที่สุดเหงื่อก็คือการเป็นวิธีขับสารพิษที่ดีวิธีหนึ่งและช่วย ให้ร่างกายสดชื่น อย่ามัวแต่หลีกเลี่ยงไม่ยอมให้เหงื่อออกกันเลยดีกว่าเนอะ เพราะการที่เหงื่อออกน้อยนั้นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายเกี่ยวกับสุขภาพก็ได้ ออกกำลังกายให้เหงื่อออกเยอะ ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ รับรองว่ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแน่นอนเลย
 

เครดิตภาพ  https://in.pinterest.com/pin/114067803033432567/

Monday, November 24, 2014

ยาอายุวัฒนะ ความลับของลมหายใจ




          ใครเล่าจะรู้ว่า ยาอายุวัฒนะ ยาบรรเทาความเจ็บปวดสุดยอดแห่งเครื่องมือดับทุกข์ และหนึ่งในยารักษาโรคดีที่สุดในจักรวาลนี้ ซ่อนอยู่ที่ปลายจมูกของเรานี่เอง...

          "ลมหายใจ" คือสิ่งมหัศจรรย์ใกล้ตัวมนุษย์ที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ทั้ง ๆ ที่ "การหายใจอย่างถูกต้อง" คือรากฐานสำคัญของศาสตร์แห่งสมาธิทุกรูปแบบ และศาสตร์แห่งโยคะทุกประเภท รวมทั้งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของจักรวาลอีกด้วย แม้แต่ศาสตร์แห่งพลังและการบำบัดโรคทางจีนทุกแขนงก็ให้ความสำคัญกับพลัง ชีวิตที่เรียกว่า "พลังชี่" เป็นอย่างมาก ซึ่งแท้จิรงแล้วคำว่า "ชี่" (Qi) ก็แปลว่า "ลมหายใจ" นั่นเอง

          ความลับอันมหัศจรรย์ของลมหายใจสามารถแจกแจงออกมาได้เป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้

1. ลมหายใจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดอายุข้อของเรา

          หากลองสังเกตสัตว์ที่มีอายุสั้น เช่น หนู ซึ่งมีอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี จะพบว่า หนูหายใจเข้าและออกถึง 90 ครั้งต่อนาที และมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 400 ครั้งต่อนาที ในขณะที่เต่าซึ่งมีอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 120 ปี จะหายใจเข้าและออกเพียง 4-6 ครั้งต่อนาที และมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 10-20 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น และหากเราลองจ้องมองพุงของสุนัขหรือแมวที่บ้าน (ซึ่งเป็นกิจการยามว่างของผม) เราก็จะพบว่า มันมีอัตราการหายใจที่เร็วและถี่กว่าเรามาก ซึ่งแน่นอนว่า พวกมันก็มีอายุขัยสั้นกว่าคนเรามากเช่นกัน

          ลมหายใจมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการเต้นของหัวใจครับ ยิ่งเราหายใจช้า ลึก และยาวมากเท่าไร อัตราการเต้นของหัวใจจะยิ่งมีจังหวะที่ช้าและสม่ำเสมอมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้เรามีอายุที่ยืนยาวขึ้นและเป็นโรคต่าง ๆ น้อยลง (ดังที่จะนำเสนอต่อไปในข้อที่ 2)

          มีงานวิจัยที่น่าสนใจพบว่า สัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมแทบทุกชนิด (รวมทั้งมนุษย์) มีขีดจำกัดของการเต้นของหัวใจอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านครั้งในชีวิต ฉะนั้นเมื่อหัวใจเต้นเกิน 1,000 ล้านครั้ง สัตว์ชนิดนั้นก็จะใกล้ถึงวันตายตามอายุขัย ซึ่งไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะหัวใจที่เต้นเร็วจากการหายใจตื้นและถี่อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่ต่างจากเครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักอยู่เสมอ ย่อมส่งผลให้เกิดความเสื่อม และผุพังเร็ว และมีอายุการใช้งานที่สั้นลงกว่าเครื่องจักรที่ได้รับการดูแลอย่างดีและไม่ ถูกใช้งานอย่างหักโหม

         
สะกิดสมอง

          สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หายใจเร็วที่สุดในโลกคือ หนูชรูว์ (Shrew) ซึ่งหายถี่ถึง 170 ครั้งต่อนาที นับว่าถี่กว่ามนุษย์ ผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยถึง 8 เท่า และหัวใจของหนูชูว์เต้นเร็วถึง 1,200 ครั้งต่อนาที ! ซึ่งแน่นอนว่า หนูชรูว์เป็นสัตว์ที่มีอายุขัยสั้นเพียงไม่ถึง 2 ปีเท่านั้น

 
2. การหายใจอย่างถูกต้องสามารถช่วยป้องกันและเยียวยารักษาโรคร้ายได้สารพัด อาทิเช่น

         
2.1 โรคไมเกรน ผู้ป่วยโรคไมเกรนจะมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ซึ่งอาการดังกล่าวอาจได้รับการบรรเทา หรือรักษาให้หายขาดได้ด้วยการฝึกหายใจให้ลึก ยาว และละเอียดขึ้นโดยท่านโกเอ็นก้า (S. N. Goenka) อาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก หายขาดจากโรคไมเกรนด้วยการฝึกอานาปานสติ (ฝึกสติโดยใช้ลมหายใจ) ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีแพทย์ คนไหนหรือยาขนานใดสามารถช่วยท่านได้เลย แม้ว่าท่านจะได้ไปพบแพทย์ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงที่สุดในโลกแล้วก็ตาม

         
2.2 โรคหัวใจและโรคความดัน การหายใจลึกและข้าสามารถลดความดันโลหิตลงได้อย่างเห็นผลทันตา อีกทั้งในยามที่ผู้ป่วยมีอาการโรคหัวใจกำเริบ การหายใจลึก ๆ ก็สามารถนำสติกลับมาจดจ่ออยู่ที่ร่างกายและปัจจุบันขณะ ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

         
2.3 โรคเครียดเรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคร้ายอื่น ๆ ตามมามากมาย สามารถเยียวยารักษาได้ด้วยการฝึกหายใจอย่างถูกวิธี เพราะอันที่จริง 90 เปอร์เซ็นต์ของความเครียดทั้งหมดในชีวิตเกิดจากความห่วงกังวลถึงอนาคตหรือ หมกมุ่นอยู่กับอดีต ดังนั้นการนำจิต และความคิดกลับมาอยู่กับลมหายใจที่ลึกและละเอียดในปัจจุบัน จะสามารถช่วยลดความเครียดได้อย่างชะงัด

          นอกจากนั้นจะสังเกตได้ว่า เวลาเราเครียดหรือนอนไม่พอหัวใจของเราจะเต้นไม่เป็นจังหวะ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า ร่างกายของเรากำลังทำงานบกพร่อง ภูมิคุ้มกันลดต่ำ และสารความเครียดที่ชื่อ "คอร์ติซอล" (cortisol) กำลังออกอาละวาดในกระแสเลือดของเรา ทั้งนี้การนั่งสงบสติอารมณ์และฝึกหายใจให้ลึกและยาวเพียง 2-3 นาที จะช่วยปรับหัวใจให้กลับมาเต้นในจังหวะที่สม่ำเสมอมากขึ้นได้ทันที

          ทั้ง นี้ยังมีอีกหลายโรคที่สามารถบรรเทา เยียวยา หรือแม้แต่รักษาได้ด้วยการฝึกหายใจอย่างถูกวิธี เช่น โรคลมบ้าหมู โรคหอบหืด โรคซึมเศร้า และโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งผมจะลงรายละเอียดในข้อต่อไป....

3. ลมหายใจเป็น "แม่นมของสมอง"

          สมองของมนุษย์ทุกคนบริโภคออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสเป็นอาหาร ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสก็คือ อากาศที่เราหายใจเข้าปอดไปนั่นเอง จะสังเกตได้ว่าหากเราลองกลั้นหายใจนาน ๆ (ซึ่งผมไม่แนะนำให้บ่อย ๆ นะครับ) เราจะเริ่มรู้ปวดหัว นั่นก็เพราะหนึ่งในปัจจัยที่กำหนดประสิทธิภาพการทำงานของสมองเรา ก็คือปริมาณของออกซิเจนที่มันได้รับนั่นเอง

          เซลล์สมองของคนที่ขาดอากาศหายใจนานเกิน 3 นาทีจะเริ่มฝ่อและตาย ส่งผลให้เกิดภาวะสมองเสื่อมหรือความทรงจำสั้น และหากสมองขาดอากาศนานเกิน 6 นาที แม้เจ้าของสมองจะไม่ตาย เขาก็มักจะอยู่ในสภาพโคม่า (คือเป็นผักหรือเป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงนิทรา) ไปตลอดกาล

          ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร กะพริบตา การเคี้ยว การคิด ฯลฯ ดังนั้น นอกจากการหายใจอย่างถูกต้องจะช่วยบำรุงสมอง รักษาความทรงจำ และชะลอหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์แล้ว มันยังทำให้เราสามารถคิดวางแผนและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ไอเดียใหม่ ๆ มาขึ้นแก้ปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย

 
4. การหายใจอย่างถูกวิธี ทำให้คนทายอายุเราผิด !

          เคยสังเกตไหมครับว่าคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ หรือพระอาจารย์ที่ปฏิบัติปัสสนากรรมฐานเป็นประจำแทบทกรูปจะมีใบหน้าที่ดูสด ใส และอ่อนกว่าวัย โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอหรือง้อศัลยกรรมแต่อย่างใดในทางตรงกันข้าม คนที่เครียดบ่อยและหงุดหงิดอยู่เสมอจะมีใบหน้าที่หมองคล้ำ เหี่ยวย่น และมีตีนแร้ง (ร้ายกว่าตีนกา !) ทั่วใบหน้า ส่งผลให้ต้องสรรหาสารพัดวิธีที่จะลบริ้วรอยและดึงหน้าให้เด้งตึงจนแค่ยัก คิ้วขาก็แทบจะกระตุกตามอยู่แล้ว

          หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ที่นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอมีใบหน้าอ่อนกว่า วัย ก็เพราะพวกเขาได้มีโอกาสฝึกหายใจให้ลึก ยาวละเอียดบ่อยครั้งนั่นเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสงบสุขในใจ และลดสารความเครียดที่เรียกว่า "คอร์ติซอล" (อันเป็นสาเหตุหลักของความแก่ชราก่อนวัยอันควร) แล้ว การหายใจอย่างเต็มปอดยังช่วยฟอกเลือดที่นำพาออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ทำให้ใบหน้าดูมีน้ำมีนวล เต่งตึงสดใส อ่อนกว่าวัย และสุดท้ายเลือดเหล่านั้นก็ยังช่วยขับสารพิษตกค้างต่าง ๆ (detox) ออกจากอวัยวะทุกส่วนของร่างกายและบนใบหน้าได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย

          สรุปแล้วเคล็ดลับอายุยืน หน้าใส สมองไว และใจเป็นสุขโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักสตางค์เดียวก็คือ การฝึกหายใจให้ลึก ยาว และละเอียดมากที่สุดนั่นเอง

         
สะกิดสมอง

          ร่างกายของเราขับของเสียจากการเผาผลาญพลังงาน (metabolic waste) ออกทุก ๆ วันจากหลากหลายช่องทาง เช่น 3% ทางอุจจาระ 8% ทางปัสสาวะ 19% ทางเหงื่อ ฯลฯ แต่สิ่งที่หลายคนไม่ทราบก็คือ ร่างกายของเราขับของเสียจากการเผาผลาญพลังงานถึง 70% ทางลมหายใจ ! ดังนั้นหากคุณคิดว่าการขับถ่ายเป็นเร่องสำคัญก็อย่าลืมความสำคัญของการฝึก หายใจให้ลึกและยาวด้วยเช่นกัน


5. ลมหายใจเป็นหนึ่งในตัวกำหนดระดับความสำเร็จในชีวิตของเรา

          คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าตัวการหลักสำคัญที่สุดที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จ ต่างกันคือ เรามีความสามารถในการควบคุมตัวเองที่ต่างกัน โดยคนที่มีความสามารถในการควบคุมตัวเองมากกว่าจะประสบความสำเร็จและมีความ สุขในชีวิตมากกว่าเสมอ

          ยกตัวอย่างเช่น นักมวยชื่อดังอย่าง ไมค์ ไทสัน ที่โกรธจัดจนกัดหูคู่ต่อสู้ของเขาคือ อีแวนเตอร์ โฮลฟีลล์ จนแหว่ง ส่งผลให้ไทสันถูกปรับแพ้ และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตรวมทั้งอาชีพของเขาก็อยู่ในขาลงตลอด ในขณะที่อีแวนเดอร์  โฮลิฟีลล์ ซึ่งอาจจะชกได้ไม่ดุดันเท่า กลับมีการงานที่รุ่งโรจน์และมีชีวิตที่รุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้

          ตั้งแต่นักธุรกิจใหญ่ที่ตัดสินใจผิดอย่างมหันต์เพราะความ โลภตั้งแต่นักกีฬาที่พลาดท่าเพราะความ โกรธไปจนถึงพนักงานหรือข้าราชการทั่วไปที่จมปลักอยู่ในวงเวียนแห่งอบายมุข เพราะความ หลงไม่ว่าเราจะทำงานอะไรเพื่อยังชีพ ความสามารถในการควบคุมตัวเองเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งที่จะกำหนดความสำเร็จของชีวิต ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือควบคุมตัวเองที่ทรงพลังที่สุดก็คือลมหายใจของเรานั่น เอง

 6. "อากาศ" ส่งผลต่อ "อารมณ์" อย่างน่าอัศจรรย์

          หลายคนคงเคยได้ยินคำแนะนำว่าเวลาตื่นเต้น โกรธ กลัว หรือประหม่าให้ลอง "สูดลมหายใจลึก ๆ" ซึ่งคำแนะนำนี้มีพื้นฐานอยู่บนวิทยาศาสตร์ เพราะการหายใจลึก ๆ จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ใช้ในการบริหารและควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ กล่าวคือ การ หายใจที่ลึกและยาวเพียงพอจะช่วยเพิ่ม "ขันติ" (ความอดทนต่อการกระทบของอารมณ์) และเพิ่มพลัง "สติ" ซึ่งเกิดจากการสับรางระบบของสมองจากส่วนที่คล้าย "สัตว์ป่า" (limbic) มาเป็นส่วนที่คล้าย "เทวดาในร่างมนุษย์" (neo-cortex)


          จะสังเกตได้ว่าเวลาที่เราโกรธ กลัว ตกใจ เครียด หงุดหงิด กังวล หรือทุกข์ ลมหายใจของเราจะสั้นและตื้น แต่เวลาที่เรามีความสุข สงบ มีพลัง นิ่ง สุขุม มั่นใจ สบายใจ ลมหายใจของเราจะยาวและลึก ทั้งนี้สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ หากเราตั้งใจหายใจให้ยาวและลึกสัก 4-5 ครั้ง สมองของเราจะถูกหลอกว่าเรากำลังรู้สึกสบายใจ สุขุม และมีพลังเช่นกัน กระบวนการนี้เรียกว่าการทำ "Biofeedback" (การป้อนกลับทางชีวภาพ) โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ

          เทคนิค การหายใจที่ดีคือ การหายใจอย่าง "ละเอียด" ซึ่งเป็นการหายใจให้ช้า ลึก และเบา โดยสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอดให้หน้าท้องและหน้าอกพองตัวจนไม่สามารถพองต่อไป ได้อีก แล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกยาว ๆ อย่างไม่รีบร้อนจนหมดทั้งปอดทำเท่านี้เพียง 3-4 ครั้งก็จะรู้สึกว่าร่างกายเริ่มเบา ใจเริ่มเย็น จิตเริ่มโล่ง และสมองเริ่มปลอดโปร่งขึ้นแล้ว

           ชีวิตของคนเราแท้จริงอยู่ได้ด้วยหายใจที่เชื่อมต่อกัน และการหายใจที่ดีก็เป็นเครื่องมือในการสร้างจิตใจที่สงบ สร้างชีวิตที่ประสบความสำเร็จ และสร้างสุขภาพให้ยืนยาวที่ง่ายที่สุด หลายคนเสียเงินทองมากมายไปกับการเข้าคอร์สบริหารจิตหรือปลุกพลังต่าง ๆ ในราคาแสนแพง โดยลืมหันกลับมาหาสิ่งมหัศจรรย์อันล้ำค่าที่อยู่ตรงปลายจมูกของเรานี่เอง

          อย่างไรก็ตาม การกลับมาหาความลับของลมหายใจไม่มีวันสายเกินไป เพราะตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ไม่สามารถขยับแขนขาหรือแม้แต่เปิดเปลือกตาได้อีกต่อไปแล้ว ของขวัญอันล้ำค่าชิ้นนี้ก็ยังคงรอให้เราค้นพบอยู่เสมอ....

เรื่อง ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
แหล่งที่มา  Secret, http://health.kapook.com/view105238.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต