Friday, September 30, 2016

6 อาหารลดน้ำหนัก สำหรับผู้หญิงอยากผอมหุ่นดีได้แค่เริ่มต้นเคี้ยว



 
ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการเผาผลาญไขมันที่สะสมภายในร่างกาย และในอีกทางหนึ่งตับนั้นก็สามารถสะสมไขมันให้ร่างกายได้ จะอ้วนหรือผอมต้องดูแลเจ้าอวัยวะที่เรียกว่า ตับ ให้ทำงานดีๆ

บทความนี้แนะนำรายการ อาหารลดน้ำหนัก ที่ช่วยให้ตับของคุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยขจัดสารพิษสะสมในร่างกายที่ตับและยังช่วยให้ตับนั้นเบิร์นไขมันสะสมได้ดีขึ้น ใช่แล้ว คุณจะสามารถลดไขมันส่วนเกิน ต้นขา หน้าท้อง และ ลดน้ำหนักได้ด้วย


อาหารลดน้ำหนัก ช่วยเบิร์นไขมันจากภายใน 

ตับนั้นมีส่วนสำคัญในการช่วยร่างกายให้ทำงานตามกลไกลทางธรรมชาติเกี่ยวกับการเบิร์นไขมันในร่างกาย หากอวัยวะตับทำงานไม่เต็มที่ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันช้า สะสมไขมันขึ้น ทำให้เรามีรูปร่างอ้วน สัดส่วนเกิน หากเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับได้เราสามารถหุ่นดีได้ แค่เราเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อตับ


1.  Maple Syrup (น้ำเชื่อมเมเปิ้ล) 
 
น้ำเชื่อมเมเปิ้ลนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระโพลีฟีน ซึ่งช่วยลดการอักเสบของตับและไขมัน ตับจะย่อยคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดในร่างกายได้ดีขึ้น ควรเลือกรับประทานในปริมาณจำกัดอย่ากินเยอะเกินไป อาจจะกินเป็นช่วงเช้าของวันก็ได้


2.  กาแฟ 

นอกเหนือจากกาแฟช่วยให้คุณสดชื่นในเช้าวันใหม่แล้ว ยังช่วยลดการอักเสบของตับ มันมีผลกระทบหลายสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันา


3.  โอเมก้า 3

ที่พบในปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และ เมล็ด Chia ช่วยป้องกันไม่ให้สร้างไขมันขึ้นในตับ  


4.  Artichokes (อาร์ติโชค)
 
มันลดและขจัดไขมันสะสมในตับ ซึ่งจะช่วยล้างพิษในตับและเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


5.  Green Tea

มีสารพฤกษเคมี EGCG ซึ่งเพิ่มการเผาผลาญไขมันในตับ กิน 2 ถ้วยต่อวันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี


6.  Dandelion (สมุนไพรแดนดีไลออน) 

สารบางอย่างที่พบในดอกแดนดิไลช่วยเหลือเพิ่มการผลิตน้ำดี, การเผาผลาญไขมันและการทำงานของตับ


ได้สูตรอาหารลดน้ําหนักไปแล้วก็อย่าลืมออกกำลังกายกันด้วยนะจ๊ะ  


ที่มา curejoy.com

http://www.thaihealth.or.th/blog/myblog/topic/794/rung11tawan/1255/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81/7448/6+%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81+%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%A7/#.V-7Ul_Tz-H0
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/explore/morning-coffee/

Wednesday, September 28, 2016

9 ปัญหาสุขภาพที่อาจดูน่ากลัว แต่เจอแล้วอย่าเพิ่งกังวล




         พบกับ 9 อาการสุขภาพที่คนมักเป็นกังวลจนเกินเหตุ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงเลย

          ปัญหาสุขภาพเป็นสิ่งที่เราควรเอาใจใส่และคอยหมั่นสังเกตความผิดปกติอยู่เสมอ แต่การสังเกตมากจนเกินไป เห็นความผิดปกติเพียงนิดเดียวก็ตกใจแล้ว นั่นก็อาจทำให้เรากังวลใจไปเสียเปล่า ๆ เพราะบางครั้งปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่างที่เว็บไซต์ Health.com ได้นำตัวอย่างบางอาการที่เมื่อเกิดขึ้นกับร่างกายแล้วไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป ไปดูกันสิคะว่ามีอะไรบ้าง ใครที่กำลังกังวลรีบเช็กด่วนค่ะ
 

ความดันโลหิตสูงขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

          โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะเปลี่่ยนแปลงอยู่เสมอ และการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างเช่น ความเครียด การรักษาโรคบางชนิด อาหารที่เรารับประทานหรือการนอนหลับ ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ก็มีผลกับความดันโลหิตเช่นกัน แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความดันโลหิตของเราสูงขึ้นก็คืออาการที่เรียกว่า "ความดันโลหิตสูงไวท์โค้ท" หรือ White Coat Hypertension (WCH) ซึ่งเป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นกับคนที่วัดความดันในโรงพยาบาล สาเหตุเกิดจากความกังวลของคนเวลาเข้าโรงพยาบาลที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ แต่ไม่เป็นอันตราย เพราะเมื่อเราเลิกกังวลแล้วความดันก็จะเข้าสู่ภาวะปกติเองค่ะ

          เมื่อไรที่ควรกังวล : ถ้าหากคุณมีอาการความดันโลหิตขึ้นสูงบ่อย ๆ ภายในเวลา 1 เดือน คุณควรจะไปพบแพทย์ เพราะนั่นอาจจะเป็นอาการของโรคความดันโลหิตสูง ควรรีบทำการรักษาก่อนที่จะส่งผลทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และอย่าปล่อยให้ความดันโลหิตสูงเกิน 180 และความดันตัวล่างของคุณเกิน 110 เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ค่ะ


เห็นผลเลือดสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ปกติเล็กน้อย

          มั่นใจว่าคงมีหลายคนที่เวลาไปตรวจเลือด เมื่อเห็นผลเลือดที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าเกณฑ์ปกติเล็กน้อยก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจแล้ว อย่างเช่นเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติเล็กน้อย ขอบอกเลยค่ะว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะบางทีก็อาจจะมาจากความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตอนเจาะเลือดแค่นั้นเองค่ะ
 

ความดันโลหิตต่ำ

          ความดันโลหิตต่ำ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ตราบใดที่ไม่บ่อยจนเกินไปและมีอาการผิดปกติ แถมความดันโลหิตต่ำยังเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะนั่นแปลว่าในหลอดเลือดของคุณมีความเครียดต่ำค่ะ

          เมื่อไรควรกังวล : ถ้าหากอาการความดันโลหิตต่ำทำให้คุณรู้สึกหน้ามืด มึนงง เป็นลม หรือมีอาการใจสั่น คุณควรจะพบแพทย์ดีกว่านะคะ


มีคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียติดต่อกัน 2 วัน

          ส่วนใหญ่แล้วอาการอาเจียน ท้องเสีย และคลื่นไส้ ที่มาจากอาการอาหารเป็นพิษ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ตราบใดที่คุณไม่มีอาการตัวร้อนหรือถ่ายแล้วเลือดปนออกมา เพราะส่วนใหญ่เมื่อเป็นอาหารเป็นพิษจะมีอาการท้องเสีย อาเจียน หรือคลื่นไส้ติดต่อกันประมาณ 2 วันอยู่แล้ว แต่ก็ควรที่จะระมัดระวังไม่ให้เกิดอาการขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำเกลือแร่ให้มาก ๆ เมื่อมีอาการท้องเสียค่ะ

          เมื่อไรควรกังวล : ถ้าคุณมีอาการเป็นลมหรืออาเจียนออกมาเป็นเลือดควรจะรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดค่ะ
 

มีก้อนเนื้อนูนขึ้นมา

          บางทีการเกิดก้อนเนื้อในร่างกายก็ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นโรคมะเร็งเสมอไป ก้อนเนื้อเหล่านั้นอาจจะเป็นแค่เพียงก้อนซีสต์ที่อยู่ใต้ผิวหนังเท่านั้น มันไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่มันแค่จะเพียงทำให้คุณต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องผ่าตัดเอามันออก ดังนั้นอย่าเพิ่งตื่นตระหนกเลย แต่ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจนะ

          เมื่อไรควรกังวล : ก้อนเนื้อบางชนิดควรจะได้รับการตรวจวินัยฉัยอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะก้อนเนื้อบริเวณเต้านม ถ้าหากเป็นก้อนเนื้อนิ่มอุ่น และแดงก็อาจจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อบางชนิด แต่ถ้าหากก้อนเนื้อแข็งและโตขึ้นอย่างรวดเร็วก็ควรระมัดระวังค่ะ


เลือดออก

          อาการเลือดออกเป็นสิ่งที่มักจะทำให้คนเราตื่นตระหนก ตกใจจนเกินไป ทั้ง ๆ ที่บางครั้งอาจจะเกิดจากแผลเพียงเล็กน้อย โดยปกติแล้วเมื่อเกิดแผลจนเลือดออกจะต้องใช้เวลา 5 -10 นาที เลือดจึงจะหยุด แต่ถ้าหากนานกว่านั้นและแผลมีความกว้าง ก็อาจจะต้องใช้การเย็บแผลเพื่อให้เลือดหยุดไหลค่ะ

          เมื่อไรควรกังวล : หากไม่แน่ใจว่าแผลที่เกิดควรเย็บหรือไม่ ก็ไม่ควรที่จะรีรอ เพราะบาดแผลที่กว้างจะต้องมีการเย็บภายใน 24 ชั่วโมง เพราะถ้าหากยิ่งปล่อยทิ้งไว้นาน ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้
 

มีเลือดออกจากทางทวารหนักเล็ก ๆ น้อย ๆ

          อาการเลือดออกจากทวารหนักโดยส่วนใหญ่มักเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ ริดสีดวงทวาร หรือไม่ก็เกิดแผลบริเวณทวารหนัก ที่เกิดจากอาการท้องผูก ทางแก้ก็คือการรับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นค่ะ จะได้ไม่เป็นท้องผูกเนอะ

          เมื่อไรควรกังวล : ถ้าหากมีเลือดไหลออกมาติดต่อกัน 2 - 3 วัน และมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์ค่ะ


รู้สึกเจ็บหน้าอก

          เรามักคิดว่าหน้าอกของเราเชื่อมโยงกับหัวใจโดยตรง แต่ที่จริงแล้วบริเวณหน้าอกยังมีปอด กระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร บางครั้งเราอาจจะเจ็บหน้าอกเพราะอาการไอ หรือเกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ หรือไม่ก็เกิดจากอาการติดเชื้อไวรัสทั่วไป นอกจากนี้ยังมีภาวะกรดไหลย้อนที่ทำให้เจ็บหน้าอกได้เช่นกัน

          เมื่อไรควรกังวล : ถ้าหากคุณมีอาการหายใจถี่และมีไข้ขึ้น ควรจะไปพบแพทย์ เพราะอาการบาดเจ็บที่หน้าอกนั้นอาจเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับปอดได้ แต่ไม่ว่าจะเจ็บหน้าอกแบบไหนก็ควรระมัดระวังดีกว่าค่ะ
 

ผื่นขึ้น

          ผื่นเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจจะเกิดจากการแพ้สิ่งที่มาสัมผัสกับผิวของเรา อย่างเช่นสารเคมี หรือแสงแดด บางคนอาจจะเกิดผื่นคันเพราะเหงื่อของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีอาการแพ้ยา หรืออาหารอีกด้วยที่สามารถทำให้เกิดผื่นได้

          เมื่อไรควรกังวล : ถ้าหากมีอาการคันเกิดขึ้นทันทีในขณะที่ใช้ยา โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ หรือรับประทานอาหารที่ไม่เคยทานมาก่อนละก็ ควรจะรีบหาทางรักษาในทันที และยิ่งถ้ามีอาการหายใจถี่ หรือกลืนลำบาก ก็อาจเป็นสัญญาณของอาการแพ้ ไม่ควรปล่อยเอาไว้เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ค่ะ


          ร่างกายของใคร ใครก็รัก แต่ก็ไม่ควรวิตกกังวลกับมันมากเกินไป เพราะนั่นอาจจะทำให้สุขภาพจิตของเราแย่ลงได้ และถ้าหากเราเกิดความเครียดมากเกินไป ก็อาจจะส่งผลกับร่างกายจนทำให้เกิดโรคร้ายแรงตามมา ทางที่ดีเราควรจะมีสติและพยายามมองโลกในแง่ดีมากกว่าตื่นตระหนกตกใจนะคะ


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/jacqui1959/roses/

Tuesday, September 27, 2016

ประโยชน์ของมะยม




คติความเชื่อ

  มะยมเป็นต้นไม้ที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม)   เพื่อป้องกันความถ่อย ถ้อยความ และผีร้ายมิให้มากล้ำกราย ในบางตำราก็ว่า เป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม   ปลูกแล้วผู้คนจะได้นิยมเหมือนมีนะเมตตา มหานิยม

ชื่อพื้นเมือง
 
ยม (ใต้) มะยม   (ทั่วไป)หมักยม , หมากยม (อุดรธานี, อีสาน)

ชื่อวิทยาศาสตร์
 
Phyllanthus   acidus (Linn.) Skeels.

วงศ์
 
EUPHORBIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
 
มะยมเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง   สูงประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นตั้งตรงแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย   เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล
 
  ใบ เป็นใบรวม   มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็นแถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20-30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบแหลม   ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบกว้าง 1.5-3.5 ซม. ยาว 2.5-7.5   ซม.
 
  ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง   ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อ ๆ
 
  ผล อ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง   เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด

การปลูก
 
มะยมเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง   เจริญเติบโตได้ดีทั้งที่แดดจัด หรือในที่ร่มรำไร ปลูกขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีความชื้นพอเหมาะ   ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ประโยชน์ทางยา

  ส่วนที่ใช้เป็นยา
ราก เปลือกต้น ใบ ดอก ผล

  รสและสรรพคุณในตำรายาไทย
 
  ราก
รสจืด สรรพคุณแก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน   ช่วยซับน้ำเหลืองให้แห้ง แก้ประดง ดับพิษเสมหะ โลหิต
 
  เปลือกต้น รสจืด สรรพคุณแก้ไข้ทับระดู   ระดูทับไข้ แก้เม็ดผดผื่นคัน
 
  ใบ รสจืด   ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียว สรรพคุณแก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท ต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมียและใบมะเฟืองอาบแก้ผื่นคัน   ไข้หัด เหือด สุกใส
 
  ดอก ใช้สด ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคในตา ชำระน้ำในตา
 
  ผล รสเปรี้ยวสุขุม กัดเสมหะ แก้ไอ   บำรุงโลหิต ระบายท้อง
 
  ขนาดและวิธีใช้
 
 
1. ใช้เป็นยาแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ให้นำเปลือกต้น   มาต้มเอาน้ำดื่ม
  2. ใช้สำหรับล้างและชำระฝ้านัยน์ตา แก้โรคตา ให้นำดอกสด   ต้มกรองเอาน้ำล้าง
  3. กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต รับประทานผลได้ทั้งดิบและสุด

ประโยชน์ทางอาหาร

 
ส่วนที่ใช้เป็นผัก   ยอดอ่อน ใบอ่อน ผลมะยมแก่รับประทานเป็นผักได้

  การปรุงอาหาร ชาวไทยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานรู้จักรับประทานมะยมเป็นผัก   ชาวภาคกลางนิยมใช้ยอดอ่อนเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ส้มตำ และนำมาชุบแป้งทอด รับประทานร่วมกับขนมจีนน้ำยา

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/310678074276993128/

Monday, September 26, 2016

16 นิสัยประจำวันที่ควรเปลี่ยน ที่จะทำให้คุณผอมลงได้ง่ายๆ




การลดน้ำหนักนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากมีวินัยและความพยายามอย่างสูง  สาวๆ เคยเป็นมั้ยคะ เวลาเห็นคนที่ลดน้ำหนักจริงจังแล้วเขาทำได้ทีไร ก็ได้แต่หดหู่ใจ แล้วเมื่อไหร่เราจะได้อย่างเขาบ้างนะ เอาล่ะ ถ้าคุณอยากเริ่มต้นลดความอ้วน ลองใช้การลดน้ำหนักวิธีง่ายๆ เหล่านี้แบบนี้ก่อนในการเปลี่ยนตัวเองในทุกวัน รับรองว่าน้ำหนักลดแน่นอน!

อาหารที่มีส่วนผสมของพริกไทย หรือ พริกเยอะๆ เพราะจะช่วยระบบเผาผลาญของคุณ และทำให้คุณกินได้น้อยยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดอาการหวัดได้อีกด้วย

1. เปลี่ยนมาดื่มชา
ชาที่ทำจากใบชาธรรมชาตินั้นมีไขมันต่ำ และทำให้คุณมีค่า BMI ลดลงอีกด้วย จากที่เคยกินกาแฟนม ชาเขียวนม โกโก้เย็น ลองเปลี่ยนมาดื่มชาดูนะ

2.
  กินพริกไทย กินของเผ็ด
หาอาหารที่มีส่วนผสมของพริกไทย หรือ พริกเยอะๆ เพราะจะช่วยระบบเผาผลาญของคุณ และทำให้คุณกินได้น้อยยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดอาการหวัดได้อีกด้วย
  
3.  ผลไม้คือเพื่อนแท้ของคุณ
อาจจะเคยได้ยินว่าผลไม้บางอย่างมีแคลอรี่ สูง แต่ช่างมันไปเถอะค่ะ เพราะผลไม้นั้นย่อมดีกว่าอาหารมันๆ ทอดๆ กรอบ ๆ ที่คุณโปรดปรานอยู่แล้ว ที่สำคัญยังมีราคาถูกกว่า มีไฟเบอร์ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย 

4.  ยกน้ำหนัก ถ้าไม่มีเวลา
มันอาจจะยากที่ต้องไปยิมทุกวัน แต่มีอีกหลายวิธีที่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ เพียงแค่คุณยกน้ำหนัก หรือ ใช้ขวดน้ำใส่น้ำยกไปยกมา วันละเซทสองเซท ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยนะ 

5.  กินสลัด ขอให้เป็นสลัดจริงๆ
สลัดของไทยนี่เรียกได้ว่า ใส่มาทุกอย่างเลยก็ว่าได้ น้ำสลัดก็มันได้ใจ สาวๆจงเลือกการกินสลัดให้เป็นสลัดน้ำใส และเป็นผักล้วนจริงๆ จำพวกคาร์โบไฮเดรตนั้นให้ลดลงนะจ๊ะ 

6.  หากหิวหนักให้กินโปรตีน
โปรตีนนั้นช่วยให้คุณน้ำหนักลดได้นะ และเพิ่มการเผาผลาญอีกด้วย แต่อย่าลืมเลือกกินโปรตีนที่มีไขมันน้อยด้วยนะ 
  
7.  หลังจากอาหารเย็น ห้ามกินอะไรแล้ว
หลายคนอ้วนเพราะเหตุผลนี้ เพราะอิ่มจากมื้อเย็นแล้วยังไม่พอ ต้องมีมื้อดึกเพิ่มมาอีก นั่นล่ะเหตุผลที่อ้วนเลยล่ะ ถ้าไม่กินมื้อดึกบอกเลยว่าน้ำหนักคุณจะลงทันตาเห็น

8.  สาวปาร์ตี้ ไม่ต้องเลิกกินเหล้า แต่ลดจำนวนแก้วลง
จากที่เคยกินกี่แก้ว ก็ลดลงมาครึ่งหนึ่ง คิดเสียว่าเพื่อน้ำหนักของเรา ท่องไว้ๆ 

9.  กินช้าลง
ชีวิตมันคงไม่เร่งรีบขนาดนั้นหรอกค่ะ เคี้ยวให้ช้าลง ให้เวลากับการกินข้าวมากขึ้น แล้วคุณก็จะอิ่มยาวเลยล่ะ 
  
10.  อยู่หน้าทีวี ต้องขยับตัว
การดูทีวีนั้นทำให้เราเพลิดเพลินมากเลย ล่ะ และที่สำคัญฌป็นบ่อเกิดของความอ้วนได้ง่าย เพราะคุณต้องหยิบขนมมากินจุกจิก แต่ค่ะ เปลี่ยนนิสัยนั้นซะ อาจเปลี่ยนเป็นการดื่มน้ำผลไม้คั้น แล้วออกกำลังกายไปด้วย เช่น ขยับขาขึ้นลง บิดตัวไปมาบ้าง ซิตอัพบ้าง 
  
11. ขึ้นบันไดแทนขึ้นลิฟต์
แรกๆอาจจะยากไปซะหน่อย เพราะเราเคยชินกับการขึ้นลิฟต์ แต่หากได้ลองทำสักครั้งคุณจะรู้ว่ามันไม่ได้ไกลและมันยังทำให้คุณมีสมาธิใน การนับขั้นบันได สร้างสมาธิและลมหายใจอีกด้วย 
 
12.  พกอาหารกลางวันจากบ้าน
มันอาจจะยากไปหน่อย ถ้าคุณมีสังคมเพื่อนฝูง แต่ก็ขอให้มีสักสองวันในอาทิตย์ที่คุณได้ทานอาหารที่ทำเอง เป็นอาหารสุขภาพ รับรองเห็นผล
  
13.  เดินไปเดินมาในออฟฟิส
หาเรื่องเดินไปเดินมา จากที่ต้องโทรไปคุย ก็เดินไปคุยกับเขา หรือ เดินไปส่งเอกสารเองบ้าง ขยับแข้งขยับขา จะได้ไม่นั่งอืดอยู่คาโต๊ะทำงาน 
  
14.  หัวเราะหนักมาก
การหัวเราะ 10-15 นาทีนั้น สามารถลดแคลอรี่ได้ถึง 10-40 แคลอรี่เลยทีเดียว เอ้าหัวเราะกันให้สุด
  
15.  นอนให้เร็ว
ทำงานมาทั้งวันอาจจะเหนื่อย อย่าไปฝืนค่ะ ง่วงเมื่อไหร่ให้นอนทันที  เพราะผลการศึกษาจาก University of Pennsylvania พบว่าคนที่นอนไม่เพียงพอนั้นมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงสามปอนด์ เมื่อเทียบกับคนที่นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  
16.  อย่าล้มเลิกง่ายๆ 
บางทีน้ำหนักขึ้น บางทีก็ลด แต่อย่าลืมว่า ต้องไม่ล้มเลิกความพยายาม สักวันมันต้องเป็นของเรา และอย่าไปฟังคำคนให้มาก แค่ตั้งใจและมุ่งมั่น เราจะต้องสำเร็จแน่ๆ

ที่มา
  elitedaily
http://lady.imeaw.com/s/36950