Sunday, July 31, 2016

6 อาหารทานง่ายช่วยแก้หิว-ลดพุง




การปฏิบัติตัวอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่ต้องการคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วน ไม่เพียงแต่การออกกำลังกายที่คุณต้องให้ความเอาใจใส่ เรื่องการเลือกกินอาหารที่ดีและประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน

วันนี้ เราจึงมี 6 อาหารช่วยลดพุง ทานง่าย อยู่ท้อง มากประโยชน์ มานำเสนอ เพื่อให้เหล่าคนฟิตแอนด์เฟิร์มได้นำไปเลือกทานกัน

1. เม็ดแมงลัก

อาหารลดพุงแสนคลาสสิก แต่ประโยชน์ล้น เพราะในเม็ดแมงลักมีวิตามินเอที่สูงและมีเส้นใยละลายน้ำ (soluble fiber)  ที่คล้ายวุ้นใส ซึ่งจะช่วยพองในท้องให้อิ่มแต่ไม่อ้วน โดยวิธีการกิน คือ นำไปแช่น้ำให้พองเต็มที่ก่อน จากนั้นค่อยมาปรุงอาหารหรือรับประทาน

2.  ถั่วลิสง

ของกินช่วยลดหิวที่สามารถนำมาแทนของว่างให้โทษอย่างมันฝรั่งทอดได้ โดยถั่วลิสงจะมีใยอาหารและโปรตีนอยู่สูง ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง และลดการทานอาหารขยะน้อยลง ลดเสี่ยงพุง

3. แอปเปิ้ลเขียว

ใครที่ชอบทานเล็กทานน้อยตลอดเวลา  แอปเปิ้ลเขียวสามารถช่วยคุณ เนื่องจากในแอปเปิ้ลเขียวอุดมไปด้วยเพคตินซึ่งช่วยให้อิ่ม แถมยังมีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่น ช่วยให้คุณได้ประโยชน์ถึง 2 เด้ง ทั้งช่วยให้อยู่ท้องไม่หิวบ่อย และยังเป็นการลดเสี่ยงจากโรคอ้วนลงพุงให้คุณอีกด้วย 

4.  มะนาว

ด้วยรสชาติที่ความเปรี้ยวที่โดดเด่น ผสมกับรสขมจากเปลือก เมื่อคุณทานน้ำมะนาว จะช่วยให้รู้สึกหายหิวได้ นอกจากนี้ การทานเมี่ยงคำใส่ชิ้นมะนาวแทนเลม่อนพายก็ดีไม่ใช่น้อย

5.  ทูน่า

ทูน่าปลาจากทะเลน้ำลึก เป็นอีกหนึ่งอาหารที่ช่วยให้คุณอยู่ท้อง ไม่หิวบ่อย โดยในทูน่าอัดแน่นไปด้วยโปรตีนและโอเมก้า 3 ซึ่งทั้ง 2 คุณประโยชน์จะช่วยให้คุณไม่อ้วนและลดแก่ก่อนวัยได้

6.  ไข่ต้ม

เมนูไข่แสนง่ายของทุกๆ บ้านอย่างไข่ต้ม มีประโยชน์อัดแน่นมากกว่าที่คุณคิด โดยการทานไข่ต้มสามารถช่วยลดไขมันได้ ในไข่ขาวที่อัดแน่นไปด้วยโปรตีน จะช่วยให้คุณไม่โทรมเมื่อลดน้ำหนัก เพราะมันสร้างกล้ามเนื้อที่เผาผลาญไขมันโดยธรรมชาติ แถมยังช่วยให้อิ่มท้องได้นานอีกด้วย 


 


Friday, July 29, 2016

3 เหตุผลทางร่างกาย ที่ทำให้ผู้หญิงพูดด้วยเสียงสูงกว่าปกติ




        หลายคนสงสัยว่าทำไมผู้หญิงจึงมัก #เสียงสูง เวลาพูดโกหก ทั้งที่จริง ๆ แล้วการที่ผู้หญิงมีโทนเสียงเปลี่ยนไป อาจมีเหตุผลที่มากมายกว่านั้น   
   
          เรา มักจะได้ยินเสียงสูงของสาว ๆ อยู่บ่อย ๆ ทว่าหากมองให้ลึกลงไปในเหตุผลทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยังพบเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโทนสูงได้อีก ตามนี้เลย

1. เธอกำลังโกหก
   
          Dr.Lillian Glass นักวิเคราะห์พฤติกรรมและผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษากาย ซึ่งทำงานร่วมกับ FBI ของสหรัฐฯ เผยว่า โทนเสียงสูงกว่าปกติของสาว ๆ เป็นสัญญาณที่บอกเราว่าเธอกำลังโกหกอยู่จริง ๆ ค่ะ โดยเฉพาะหากมีอาการหายใจถี่และแรงขึ้นด้วย

          นั่นก็เพราะในขณะที่เราพูดโกหกหรือปิดบังความจริงอะไรบางอย่าง ร่างกายจะมีความวิตกกังวลเกิดขึ้น ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว ระบบหมุนเวียนเลือดทำงานมากกว่าปกติ เราจึงควบคุมกิริยาอาการได้ยาก แม้แต่เสียงก็อาจพูดในลักษณะปกติไม่ได้ ส่วนผู้ชายอาจจะแสดงออกในทางกลับกัน
โดยอาจจะพูดด้วยโทนเสียงที่ต่ำ แหบ หรือพูดด้วยเสียงที่เบาลง

2. การแปรปรวนของฮอร์โมนในร่างกาย
   
          โดยปกติแล้วฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงจะขึ้น ๆ ลง ๆ ยิ่งในช่วงวันนั้นของเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะปรวนแปรมาก ๆ ซึ่งข้อมูลจากมหาวิทยาลัยไอโอวาก็เผยว่า การที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเพศหญิงต่ำลงจากภาวะไข่ตก ไม่ได้กระทบกับสภาวะอารมณ์ น้ำหนัก อาการตัวบวม หรือความหิวของเราเพียงเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้โทนเสียงของผู้หญิงเปลี่ยนไปได้ โดยบางคนอาจมีโทนเสียงสูงกว่าปกติ หรือบางคนอาจเสียงหาย เสียงแหบลงก็เป็นได้

3. เสียงสูงเพราะกำลังตกหลุมรัก
   
          ต้องบอกก่อนว่าตามลักษณะทางกายภาพแล้ว ผู้หญิงมักจะมีเสียงสูงมากกว่าผู้ชาย เพราะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มากกว่า ส่วนผู้ชายที่มีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนอยู่ในตัว ก็จะมีน้ำเสียงที่ทุ้ม ดูเแข็งแกร่งกว่าสาว ๆ อยู่แล้ว ทว่าข้อมูลที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Evolutionary Psychology นั้นน่าสนใจกว่าค่ะ เพราะเขาเผยว่า การที่ผู้หญิงพูดด้วยโทนเสียงสูงกว่าปกติ อาจหมายถึงเธอกำลังรู้สึกสนใจหรือตกหลุมรักหนุ่มคนไหนอยู่ก็เป็นได้
   
          โดยข้อมูลนี้อ้างจากการทดลองที่ให้อาสาสมัครเพศหญิงจำนวน 45 คน ดูรูปอาสาสมัครเพศชาย จากนั้นก็ทิ้งข้อความเสียงให้หนุ่ม ๆ เอาไว้ (ตามบทที่นักวิจัยได้ให้มา) ซึ่งผลการทดลองก็พบว่า อาสาสมัครเพศหญิงทุกคนจะพูดด้วยโทนเสียงที่สูงขึ้น เมื่อต้องทิ้งข้อความเสียงให้หนุ่มที่เธอรู้สึกสนใจ ซึ่งนักวิจัยก็ สันนิษฐานว่า การพูดด้วยโทนเสียงที่สูงขึ้นอาจเป็นวิธีการแสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงได้ อย่างเต็มที่ ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วว่าทำไมสาว ๆ ถึงต้องพูดด้วยเสียงสองเสียงสามกับแฟนหนุ่ม หรือกับคนที่กำลังจีบ ๆ กันอยู่

          เห็นไหมล่ะว่าเสียงสูงของสาว ๆ มีความหมายมากกว่าคำพูดโกหกจริง ๆ ดังนั้นหากมีใครมาพูดเสียงสูงใส่ ก็อย่าเพิ่งคิดกันไปไกลนะจ๊ะ ;p

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
businessinsider
spring
University of Iowa
psychologytoday
http://health.kapook.com/view153587.html
เครดิตภาพ  https://in.pinterest.com/pin/115475177920690232/

Thursday, July 28, 2016

9 เรื่องผิด ๆ ของการกินมื้อเช้า ทำแบบนี้รู้ไว้ ยังไงก็ไม่ผอม !




อาหารเช้าสำคัญกับสุขภาพ และช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แต่ถ้ายังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็บอกได้เลยว่าไม่มีทางผอมอย่างแน่นอน

          เป็นความจริงที่ว่ามื้อเช้า คืออาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน แถมการรับประทานอาหารเช้ายังช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพอีกด้วย ทว่ากลับมีหลาย ๆ คนที่ยังทานอาหารเช้ากันแบบผิด ๆ จนทำให้ลดความอ้วนไม่สำเร็จ แถมน้ำหนักยังขึ้นมากกว่าเดิมอีกต่างหาก ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่แม้จะควบคุมอาหารในมื้ออื่น ๆ และออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดแล้ว แต่ก็ยังลดน้ำหนักไม่ลง ลองหันกลับมาเช็กเดี๋ยวนี้เลยว่า ในมื้อเช้าคุณยังทำอยู่หรือเปล่า ถ้าทำอยู่ละก็ รีบเปลี่ยนซะ !

1. ไม่ยอมกินอาหารเช้า

          การไม่ยอมกินมื้อเช้าเพราะต้องการควบคุมแคลอรีเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ โดยการศึกษาจาก Imperial College ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบว่าการที่เราไม่ยอมรับประทานอาหารเช้า จะทำให้นึกถึงอาหารที่มีแคลอรีสูงมากขึ้น และเป็นสาเหตุทำให้เลือกรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูง หรือรับประทานในปริมาณที่มากกว่าปกติในมื้อต่อ ๆ ไป ซึ่งจะทำให้แผนการลดน้ำหนักของคุณพังในที่สุดค่ะ

2. ทานอาหารเช้าไม่ตรงเวลา

          โดย ปกติแล้วเวลาที่เหมาะสำหรับการทานอาหารเช้ามากที่สุดก็คือประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน แต่คนส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วจึงค่อยรับ ประทานมื้อเช้า บ้างก็ว่าไม่หิว หรือมีสิ่งที่ต้องทำจนทำให้ต้องกินมื้อเช้าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ขอบอกค่ะว่ายิ่งรับประทานมื้อเช้าสายมากเท่าใด ก็ยิ่งจะทำให้คุณหิวและกินเยอะขึ้น แถมยังมีโอกาสเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูงเพื่อทดแทนความหิว นอกจากนี้ยังอาจทำให้คุณไม่อยากกินมื้อเที่ยง แต่กลับไปหิวตอนบ่ายแทน และลงเอยด้วยการรับประทานจุบจิบ ถ้าไม่อยากให้ความตั้งใจในการควบคุมน้ำหนักพัง รับประทานอาหารเช้าให้ตรงเวลากันดีกว่าค่ะ

3. ไม่ใส่ใจกับอาหารเช้า

          ในสังคมที่ต้องแข่งกับเวลา ทำให้หลายคนเลือกที่จะรับประทานมื้อเช้าที่สะดวกมากกว่าจะเลือกรับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งการที่เราไม่ใส่ใจกับอาหารเช้าที่เรากินกันทุกวันนี่ล่ะ คือบ่อเกิดของความอ้วน เพราะเมื่อเรารับประทานมื้อเช้าที่มีสารอาหารไม่ครบ ก็จะทำให้เราหิวบ่อย และกินมากขึ้นเพื่อทดแทนส่วนที่ขาดไป รู้แบบนี้แล้วรีบเปลี่ยนตัวเองกันเถอะค่ะ หันมาใส่ใจกับอาหารเช้าให้มากขึ้น เลือกรับประทานมื้อเช้าที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เพียงพอ อาจจะทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ดีกับสุขภาพมากกว่านะ

4. เลี่ยงแป้ง งดไขมัน ลดโปรตีน

          คาร์โบ ไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ล้วนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย แต่หลายคนกลับรู้สึกว่าการลดปริมาณอาหารเหล่านี้ลงจะช่วยลดน้ำหนักได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด โดยเฉพาะกับมื้อเช้าที่เป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุดของวัน ถ้าหากเราได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนไม่เพียงพอ ก็จะเรารู้สึกหิวได้ง่ายขึ้น และกินมากขึ้นในมื้อต่อ ๆ ไปแบบไม่รู้ตัว แถมยังส่งผลให้เกิดการกินจุบจิบเพื่อบรรเทาความหิวอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว อย่ามัวแต่กลัวว่าตัวเองจะกินแป้ง ไขมัน หรือโปรตีนมากเกินไป แต่ควรกินให้เพียงพอดีกว่าเนอะ

5. ดื่มกาแฟที่มีครีมและน้ำตาลมากเกินไป

          กาแฟช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวกระชุ่มกระชวยได้ เพราะกาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีน แต่ถ้าหากยังคงดื่มกาแฟที่เต็มไปด้วยครีมและน้ำตาล ถึงจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว แต่ปริมาณไขมันและน้ำตาลที่เข้าสู่ร่างกายก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย คงไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าดื่มเป็นประจำทุกวันตอนเช้าจะทำให้อ้วนขึ้นได้ขนาดไหน ฉะนั้น เปลี่ยนมาดื่มกาแฟดำกันดีกว่าค่ะ ถ้าหากดื่มไม่ไหวละก็ลองเติมนมพร่องมันเนย หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่างหญ้าหวานที่ดีต่อร่างกายลงไป แบบนี้จะได้ตื่นตัวแบบไม่ต้องกลัวอ้วนยังไงล่ะ

6. ดื่มสมูธตี้แทนอาหารเช้า

          สมูธตี้ เป็นเครื่องดื่มสุขภาพอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง เพราะแก้วเดียวก็มีสารอาหารครบ จนทำให้หลาย ๆ คนถึงกับดื่มเจ้าสมูธตี้แทนอาหารเช้าไปเลยก็มี แต่ต้องขอบอกว่าถ้าหากคิดจะลดน้ำหนักละก็ การดื่มสมูธตี้เป็นมื้อเช้าไม่ใช่ความคิดที่ดีค่ะ เพราะว่าเมื่อเราหิว สิ่งที่จะสั่งการให้สมองรู้สึกอิ่มได้ก็คือการเคี้ยวอาหาร ซึ่งสมูธตี้เป็นเพียงแค่เครื่องดื่ม จึงไม่สามารถทำให้รู้สึกอิ่มได้เต็มที่ และจะส่งผลให้รู้สึกหิวในระหว่างมื้ออาหารได้ ฉะนั้นหากอยากดื่มสมูธตี้เป็นมื้อเช้าก็ควรจะมีอาหารอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อที่จะได้เติมเต็มความอิ่มกันได้แบบเต็มร้อย

7. ดื่มน้ำผลไม้แทนการรับประทานผลไม้สด

          น้ำผลไม้เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ เหมาะกับการเริ่มต้นวันใหม่ จึงเป็นเครื่องดื่มที่มีบนโต๊ะมื้อเช้า แต่ก็อย่าลืมว่าน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ มีส่วนผสมของน้ำตาลสูงมาก ทำให้มีปริมาณแคลอรีสูงกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าไม่อยากจะเจอกับปริมาณแคลอรีที่มหาศาลจากน้ำผลไม้ตั้งแต่เช้า ลองหันมารับประทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้กันดีกว่าค่ะ ได้ประโยชน์จากผลไม้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุ และวิตามิน แถมยังมีไฟเบอร์ให้อิ่มท้องอีกด้วย แต่ก็ต้องเลือกรับประทานผลไม้ให้ถูกชนิดนะ เลือกที่หวานน้อย และไฟเบอร์สูง อย่างเช่น ส้ม แตงโม และมะละกอ เป็นต้น

8. ให้ความสำคัญกับซูเปอร์ฟู้ดมากเกินไป


          สมัย นี้มีซูเปอร์ฟู้ดให้เลือกมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดเจีย น้ำมันมะพร้าว เมล็ดแฟล็กซ์ ถั่วเปลือกแข็ง และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้บรรดาคนที่รักสุขภาพและลดน้ำหนักต่างสรรหามารับประทาน แต่รู้หรือไม่ว่า การรับประทานซูเปอร์ฟู้ดหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงปริมาณก็อาจจะทำให้มื้อเช้าของคุณมีปริมาณแคลอรีมากเกินไป แทนที่จะได้ประโยชน์เพื่อสุขภาพ ก็ได้ตัวเลขบนตราชั่งเพิ่มขึ้นมาเป็นของแถม แบบนี้ไม่ดีแน่เลยล่ะ

9. ดื่มน้ำเปล่าน้อยเกินไป

          การดื่มน้ำเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กับการเลือกรับประทานอาหาร แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ดื่มน้ำเปล่าน้อยเกินไปในช่วงมื้อเช้า เพราะกลัวว่าจะไปปวดปัสสาวะขณะเดินทาง ถ้าคุณกำลังเป็นอย่างนั้น ขอให้เปลี่ยนความคิดใหม่โดยด่วนค่ะ เพราะการดื่มน้ำในมื้อเช้าจะช่วยทำให้อิ่มไว และอิ่มนานขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่อง ดื่มที่มีน้ำตาลหรือคาเฟอีนเลยล่ะ รู้แบบนี้แล้วตื่นนอนมารีบดื่มน้ำเปล่าสักแก้วเลยนะคะ

          การ รับประทานมื้อเช้าอย่างเพียงพอและเหมาะสม ไม่ได้แค่ช่วยทำให้ไม่หิวบ่อย และกินจุบจิบเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่าพร้อมรับกับวันใหม่ได้ ฉะนั้นรีบเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมื้อเช้าที่ผิด ๆ ให้ถูกต้องกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดีของเราทั้งวันนี้และวันหน้าค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
bodybuilding 
jaimerosenutrition  
thecandidadiet
dwfitnessclubs
เครดิตภาพ  http://health.kapook.com/view153373.html

Wednesday, July 27, 2016

10 อาหารลดพุง ความอ้วนไม่ยุ่ง มุ่งแต่หน้าท้องแบนเรียบ




10 อาหารลดพุง อีกหนึ่งวิธีลดหน้าท้องที่ทำได้ง่าย ๆ แค่เลือกกินให้ถูกหลักความหุ่นดี ไม่อยากมีพุงเป็นส่วนเกินต้องรีบจัด

          เข้าใจว่าไม่มีใครอยากอ้วนและอยากแบกพุงโต ๆ ไว้กับตัวแน่ ๆ แต่บางครั้งการออกกำลังกายก็ไม่ใช่ทางของเราจริงไหมคะ ;p ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยการกินที่น่าจะเป็นทาง ถนัดดีกว่า โดยแนะนำให้กินอาหารลดพุง 10 อย่างนี้ก่อนเลย เอ้า...ลุย !

1. ถั่วชนิดต่าง ๆ
   
          ผลการศึกษาจาก Diabetic Medicine พบว่า การรับประทานถั่วชนิดต่าง ๆ ไม่ได้ช่วยบำรุงหัวใจเท่านั้น แต่ยังช่วยลดไขมันในช่องท้องได้อีกด้วย เนื่องจากถั่วเป็นธัญพืชที่มีโปรตีนค่อนข้างสูง จึงมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของเราให้ทำงานอย่างขยันขันแข็งมากขึ้น ยิ่งหากออกกำลังกายลดพุงร่วมด้วยแล้ว เชื่อเถอะว่าพุงของคุณจะยุบลงได้เร็วขึ้นอีก

2. อะโวคาโด
   
          น้ำมันที่สกัดจากผลอะโวคาโดอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated Fatty Acid) สูงถึงร้อยละ 70 และมีงานวิจัยจำนวนมากรับรองถึงประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น รายงานจากวารสาร Diabetes Care ที่พบว่า การกินอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA-Rich Diet) เป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันหน้าท้อง และเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลินในการลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้ และเมื่อให้กลุ่มอาสาสมัครกินอะโวคาโด 1 ผลเป็นประจำทุกวัน ก็พบว่า กลุ่มอาสาสมัครสามารถลดไขมันเลว (LDL) ในเลือดได้ถึง 13.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรเลยทีเดียว

3. นมไขมันต่ำ
   
          นมมีโปรตีนสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและมีส่วนช่วยลดพุงได้ด้วย โดยผลการศึกษาจาก Nutrition เผยว่า คนที่รับพลังงานจากโปรตีนราว 30% หรือ 6-7 หน่วยบริโภคต่อวัน จะสามารถเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นกล้ามเนื้อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากนมมีกรดอะมิโนลิวซีน ที่จะคอยดึงไขมันที่อยู่ลึกในชั้นเซลล์ร่างกายออกมาเผาผลาญ ส่งผลให้ไขมันในหน้าท้องถูกเบิร์นมากขึ้น พุงก็ลดลงไปตามลำดับ อีกทั้งกรดอะมิโนตัวนี้ยังคอยช่วยกระตุ้นโกรทฮอร์โมนในร่างกายด้วยนะคะ

4. โฮลเกรน
   
          Pennsylvania State University ได้ทำการวิจัยโดยนำอาสาสมัครมาเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักเป็นเวลา 3 เดือน โดยให้กลุ่มหนึ่งกินแต่อาหารประเภทโฮลเกรนล้วน ๆ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกินอาหารประเภทขัดสีล้วน ๆ และพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่กินโฮลเกรนสามารถลดไขมันในช่องท้องได้มากกว่าอาสาสมัคร อีกกลุ่มหนึ่ง นั่นก็เพราะว่า โฮลเกรนมีแมกนีเซียมสูง แถมยังมีแร่ธาตุที่ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของเราได้อีกต่างหาก

5. พริกหวานสีแดง
   
          สีแดง ๆ จากพริกหวานมีทั้งไลโคปีน เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนมูลอิสระที่สำคัญต่อร่างกาย โดยมีสรรพคุณช่วยกำจัดไขมันเลวที่สะสมในช่องท้อง นอกจากนี้พริกหวานสีแดงยังอุดมไปด้วยวิตามินซี สารประกอบสำคัญของการเบิร์นไขมันในร่างกายอีกด้วยล่ะ

6. น้ำมันคาโนลา
   
          น้ำมันคาโนลาเป็นน้ำมันปรุงอาหารเพื่อสุขภาพที่กลุ่มคนเฮลธ์ตี้รู้จักเป็น อย่างดี และผลการวิจัยจากประเทศบราซิลก็ย้ำสรรพคุณของน้ำมันคาโนลาในเรื่องลดพุงมา ว่า น้ำมันคาโนลาเป็นน้ำมันสกัดจากธรรมชาติที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงมาก จึงช่วยลดระดับอินซูลินในร่างกาย ส่งผลให้การสะสมไขมันในช่องท้องลดลงได้ และแน่นอนว่าก็ช่วยลดพุงด้วย

7. วอลนัท
   
          สารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านการอักเสบในวอลนัทเป็นส่วนสำคัญที่จะ ช่วยต่อต้านความเสี่ยงโรคอ้วนลงพุงได้ อีกทั้งโปรตีนและไฟเบอร์ในวอลนัทยังจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้อง ทำให้เราคุมอาหารได้ดีขึ้น พิชิตพุงโต ๆ ให้เรียบแบนได้ดีขึ้นนั่นเอง

8. ไข่ขาว
   
          ไข่ขาวมีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และเป็นอาหารลดพุงที่หากินได้ง่าย แถมยังมีราคาไม่แพง ดังนั้นใครอยากลดพุงแนะนำให้กินไข่ขาวเป็นประจำทุกวัน วันละ 1 ฟองก็ยังดี เพื่อให้โปรตีนในไข่ขาวช่วยเปลี่ยนไขมันในช่องท้องให้เป็นกล้ามเนื้อ และช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกาย

9. บรอกโคลี

          บรอกโคลีเป็นผักที่มีแคลอรีต่ำประมาณ 34 กิโลแคลอรี และยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ได้แก่ เส้นใยอาหาร เบต้าแคโรทีน ที่มีส่วนช่วยละลายไขมันเลว วิตามินซี วิตามินเค ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย และสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง

10. เมล็ดแฟลกซ์
   
          เมล็ดแฟลกซ์เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลวได้ เพราะมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่จะช่วยจับไขมันชนิดเลวในร่างกายและพาออกมาใน รูปของเสียตอนเราขับถ่าย อีกทั้งในเมล็ดแฟลกซ์ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระคอยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ชนิดเลวในช่องท้องได้ดีขึ้นด้วย

          จุด เริ่มต้นของการลดพุงที่ทำได้ง่าย ๆ และสามารถทำได้ทุกคนแน่ ๆ ก็แค่เลือกกินอาหารเหล่านี้ และถ้าอยากลดพุงได้เร็วขึ้น เห็นผลชัดเจนขึ้นอีก ก็แนะนำให้ออกกำลังกายร่วมด้วยนะคะ โดยอาจแกว่งแขนลดพุงสักหน่อยก็ยังดี
   


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ชีวจิต
eatingwell
bodybuilding
http://health.kapook.com/view153291.html
เครดิตภาพ  http://health.kapook.com/view153291.html