Tuesday, June 3, 2014

วิธีลดน้ำหนักสำหรับแมวอ้วน ก่อนโรคร้ายมาเยือน


   ช่วงนี้ไม่ว่าจะเปิดเข้าไปในโซเชียลเน็ตเวิร์กไหน ๆ ก็มักจะมีรูปแมวปรากฏขึ้นมาให้เห็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเจ้าแมวตัวกลมอ้วนที่หลายคนเทใจให้ด้วยความเอ็นดู ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรู้สึกชื่นชอบ หรือชื่นชม แต่อย่าลืมว่าแมวอ้วนเป็นความน่ารักที่อันตรายมากเลยทีเดียว เพราะโรคอ้วนในแมวก็เป็นต้นเหตุของโรคร้ายต่าง ๆ ไม่ต่างจากคนเช่นกัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ทาสแมวทั้งหลายจะช่วยพวกมันลดน้ำหนักเสียที เพื่อสุขภาพที่ดี และอยู่กับคุณไปนาน ๆ ด้วยวิธีลดน้ำหนักสำหรับแมวอ้วนดังต่อไปนี้ค่ะ


  1. เปลี่ยนจากการให้อาหารแมวธรรมดาเป็นอาหารแมวพลังงานต่ำ โดยการศึกษาในปัจจุบันพบว่า อาหารโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ ส่งผลดีกับการลดน้ำหนักมากที่สุด เนื่องจากอาหารโปรตีนสูงมีความใกล้เคียงกับอาหารแมวที่ได้จากธรรมชาตินั่นเอง

  2. เปลี่ยนวิธีการให้อาหารแมว โดยปรับจากการให้อาหารแบบบุฟเฟต์ หรือวางอาหารทิ้งไว้ เป็นการให้อาหารโดยแบ่งเป็นมื้อย่อย ๆ แทน ประมาณ 2-3 มื้อต่อวัน

  3. ไม่หยิบเศษอาหารบนโต๊ะที่เหลือจากการรับประทานอาหารให้แมวกิน แต่ยังสามารถให้แมวกินอาหารเสริมหรือขนมสำหรับแมวได้เล็กน้อยในระหว่างวัน

  4. คอยจับตาดูแมวอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่แอบไปขโมยกินอาหารจากที่อื่น หรือเศษอาหารที่เพื่อนบ้านให้มา

  5. ทำตารางเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของแมวเป็นรายสัปดาห์ โดยน้ำหนักตัวแมวควรจะลดลงให้ได้ 1 เปอร์เซ็นต์จากน้ำหนักเดิมในแต่ละสัปดาห์

  6. ควรพาแมวไปออกกำลังเป็นประจำทุกวัน โดยในระหว่างที่ออกกำลังกายควรจะนำของเล่น หรือเกมเข้ามาใช้เป็นตัวช่วย เพราะทั้ง 2 อย่างนี้จะช่วยเติมความสนุกสนาน และเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานด้วย

  7. สัตวแพทย์บางคนแนะนำว่า ควรเลือกอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) ให้กับแมวอ้วน เพราะเป็นอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อโดยปราศจากไขมัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากคิดจะให้อาหารเสริมกับแมว ก็ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนทุกครั้ง

  8. เมื่อแมวกลับมามีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ควรรักษาน้ำหนักใหม่ให้คงที่ ด้วยการให้อาหารที่มีคุณภาพสูงในปริมาณที่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย

  9. ควรปรึกษาและให้ความร่วมมือกับสัตวแพทย์ในขณะที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการลดความอ้วน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากหากน้ำหนักแมวลดลงอย่างรวดเร็วมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ หรือโรค Hepatic Lipidosis ได้


ทริคสำหรับลูกแมว

 
 การให้อาหารลูกแมว

          แม้อาหารแมวบางยี่ห้อจะระบุว่า เหมาะสมกับแมวทุกอายุ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการให้อาหารของคุณ ทางที่ดีจึงควรเช็กข้อมูลให้แน่ใจก่อนจะนำไปให้ลูกแมวกิน นอกจากนี้ควรจะให้อาหารกับลูกแมวบ่อยกว่าแมววัยเจริญพันธุ์ และเริ่มให้อาหารลูกแมวในปริมาณเดียวกับแมววัยเจริญพันธุ์ เมื่อลูกแมวอายุครบ 6 เดือน แต่อาจจะเพิ่มปริมาณให้มากกว่าเล็กน้อย แล้วค่อยลดปริมาณให้น้อยลงเมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ 7


 วิธีป้องกันไม่ให้ลูกแมวกินเศษอาหาร

          คุณควรจะเก็บอาหารที่เหลือจากโต๊ะอาหารเข้าตู้เย็นให้เรียบร้อย ส่วนเศษอาหารก็ควรเทใส่ถุง พร้อมกับมัดปากถุงให้มิดชิดก่อนนำไปทิ้งในถังขยะ และถังขยะนั้นก็ควรมีฝาปิดหรือตัวล็อกด้วย อีกทั้งควรล้างจานให้สะอาดหลังรับประทานอาหารเสร็จทุกครั้ง ไม่ควรแช่น้ำหรือวางทิ้งไว้ นอกจากวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ก็คือ นำลูกแมวไปขังไว้ห้องอื่นในขณะที่คุณกำลังรับประทานอาหาร ที่สำคัญควรตรวจเช็กให้แน่ใจด้วยว่า ไม่มีอาหารหรือขนมของคนอยู่ในบริเวณดังกล่าว


          สัตวแพทย์ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า มีแมวกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ที่กำลังเผชิญกับโรคอ้วน ในขณะที่เจ้าของและคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องน่ารัก ทั้งที่จริงแล้วโรคอ้วนเป็นอันตรายกับแมวอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานในระดับ 2 ได้ ซึ่งถ้าหากคุณไม่แน่ใจว่า แมวมีน้ำหนักเกินหรือเปล่า ก็ควรพาไปเช็กให้เรียบร้อย และเริ่มลดน้ำหนักให้แมวอย่างจริงจังได้แล้ว หากอยากให้แมวอยู่กับคุณไปนาน ๆ  

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/288230444874685292/

No comments:

Post a Comment