กินดึกไม่ดีใคร ๆ ก็รู้ แต่ถ้าความหิวไม่ปราณี แสบท้องจนนอนไม่ได้ จะทำยังไงดีล่ะ?! อะไรกินได้และอะไรกินไม่ได้ คุณปาล์ม-ขัตติยา ประชาเดชะ นักโภชนาการ จากคลับสุขภาพและความงามอาเมทิส มีคำแนะนำ
กินได้ไม่ผิด !
น้ำเต้าหู้
น้ำเต้าหู้
น้ำเต้าหู้ที่มีขายทั่วไปในตลาดโต้รุ่ง เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับบรรเทาความหิวยามกลางคืน นอกจากจะอุ่นท้องแล้ว ยังมีกรดอะมิโนทริปโตฟานที่ช่วยให้คุณหลับสบายอีกด้วย ควรเลือกดื่มแบบที่ไม่เติมน้ำตาลและธัญพืชอะไรเลย ระบบย่อยจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมากนัก แต่หากติดหวานก็พออนุโลมให้ใส่น้ำตาลได้ 1 ช้อนชา
ส้ม
ส้มเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารมากมายทั้งวิตามินเอ
บี ซี และอื่นๆ แต่ก็มีน้ำตาลสูงเช่นกัน เวลากินต้องกินทั้งผลเท่านั้น ไม่ควรดื่มเฉพาะน้ำส้มคั้น
เพราะจะให้น้ำตาลในปริมาณเกินพอดี หากคุณกินแล้วต้องกลับไปทำงานต่อ รสเปรี้ยว ๆ หน่อยของส้มจะช่วยลดความเครียดและทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้น
แอปเปิล
แอปเปิล
ถ้าเป็นแอปเปิลเขียวก็ดี
แต่ถ้าไม่มี แอปเปิลแดงก็ได้ เพราะผลไม้ชนิดนี้มีใยอาหารสูง ทำให้คุณอิ่มท้อง
แต่มีแคลอรี่ค่อนข้างต่ำ ลูกขนาดประมาณหนึ่งกำมือให้พลังงานไม่ถึง 60 แคลอรี่ด้วยซ้ำ
น้ำเปล่า
น้ำเปล่า
หากคุณจำเป็นต้องอยู่ดึก
ควรจิบน้ำเปล่าเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ และให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นลองดื่มน้ำสักแก้วสองแก้ว
รอสัก 10 นาที หากท้องยังร้องไม่หยุด
ค่อยตรงเข้าไปค้นตู้เย็นหาตัวช่วยบรรเทาความหิวอื่น ๆ
อย่าได้กินเด็ดขาด !!
กล้วยหอม
กล้วยหอม
กล้วยหอมจัดเป็นอาหารเพิ่มพลังงาน
เพราะมีแคลอรี่สูงมากถึงประมาณ 100 แคลอรี่ต่อผล
เคยมีผลจากการวิจัยพบว่าแค่กล้วยหอมเพียง 2 ผล ก็สามารถให้พลังงานได้มากถึง
90 นาที แม้กล้วยหอมจะอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่เหมาะกับคนที่มีอาการบวมน้ำ
ก็ไม่ใช่อาหารที่เหมาะสำหรับรับประทานยามใกล้เข้านอนอยู่ดี
โจ๊ก
คุณอาจคิดว่าอาหารอ่อน
ๆ อย่างโจ๊กหรือข้าวต้ม เป็นอาหารย่อยง่ายเหมาะกับการกินยามดึก แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย
ทั้งสองอย่างให้พลังงานที่ค่อนข้างสูง แถมเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไปยังทำให้ระบบย่อยต้องทำงานหนักอีกด้วย
นม/โยเกิร์ต
นม/โยเกิร์ต
นมวัวและโยเกิร์ตมีไขมันจากสัตว์ซึ่งจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในย่อยมากกว่าน้ำ
เต้าหู้ เหมาะสำหรับกินในยามเช้ามากกว่ากลางดึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต ถ้าเป็นรสธรรมชาติอาจจะพอโอเค
แต่ถ้าเป็นรสต่าง ๆ ที่ผสมผลไม้เชื่อมลงไป น้ำตาลก็จะยิ่งพุ่งสูง
แหล่งที่มา Lisa, http://health.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
No comments:
Post a Comment