Friday, June 5, 2015

วิธีรักษาตาปลาที่เท้าง่าย ๆ แค่ใช้ของใกล้ตัว



        ตาปลา ก้อนหนังกำพร้าที่สร้างความรำคาญ และอาจสร้างความเจ็บปวดให้ใครหลายคน มาดูวิธีรักษาที่แสนจะง่ายจากของใกล้ตัวในบ้าน อยากให้เท้าเรียบเนียนสวยต้องรีบทำตาม

          ตาปลา หนึ่งในโรคผิวหนังที่แม้จะไม่มีความอันตราย แต่ก็สร้างความรำคาญใจได้ไม่น้อยเพราะเมื่อเป็นแล้วก็อาจจะทำให­­้รู้สึกเจ็บได้ขณะที่เดินหรือสวมใส่รองเท้า ซึ่งวิธีรักษาเจ้าตาปลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก และไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ก็สามารถหายได้ เพียงแค่ใช้ของต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวที่กระปุกดอทคอมนำมาแนะนำให้ทราบกัน แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีรักษา ใครที่ยังไม่รู้จักเจ้าตาปลานี้ดีพอ ลองมาทำความรู้จักกันหน่อยดีกว่า

ตาปลาเกิดจากอะไร

          ตาปลา หรือที่มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Corn เป็นก้อนของหนังขี้ไคลที่เกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรังเ­­ป็นเวลานาน โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นบริเวณเท้า เพราะเป็นส่วนที่แบกรับน้ำหนักตัวอยู่ตลอดเวลา สาเหตุของการเกิดตาปลานั้นเกิดจากการเสียดสีกันระหว่างเท้าและร­องเท้า บริเวณนิ้วเท้าที่กระดูกนิ้วเท้าเสียดสีกัน หรือด้านบนหลังเท้าที่เกิดจากการสวมรองเท้าหัวแบนเป็นประจำ โดยตาปลาที่เกิดนี้แม้จะสามารถทำให้เกิดการเจ็บปวดได้ แต่ก็ไม่ได้มีการติดเชื่อและทำให้เท้าเกิดการอักเสบรุนแรงแต­่อย่างใด

            นอกจากนี้อาการเจ็บปวดที่เกิดจากตาปลานั้น ก็เกิดจากการที่ก้อนหนังขี้ไคลที่แข็งตัวถูกกดเข้าไปลึกในผิวหน­­ัง หรือถ้าเป็นมากก็อาจจะไปกดทับกระดูกและเส้นประสาททำให้รู้สึ­­กเจ็บได้ วิธีรักษาตาปลาก็มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การการรักษาด้วย­ตนเองและรักษาโดย แพทย์ ซึ่งวิธีการรักษาด้วยแพทย์จะเป็นวิธีที่รักษาให้หายได้เร็ว แต่มีค่าใช้จ่ายสูง และเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับคนที่มีตาปลาขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะรั­­กษาให้หายได้เอง ส่วนวิธีการรักษาด้วยตนเอง ก็มีหลายวิธี ดังนี้

1. น้ำส้มสายชูกลั่นขาว

          เริ่มกันที่น้ำส้มสายชู น้ำส้มสายชูกลั่นขาวถือเป็นของใกล้ตัวที่สามารถรักษาตาปลาได้ดี­­ที่สุด เพราะกรดที่เข้มข้นในน้ำส้มสายชู ช่วยให้ผิวที่แห้งแข็งนิ่มลงได้ อีกทั้งยังลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อีกด้วย โดยการน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำ 3 ส่วน แล้วนำสำลีชุบน้ำส้มสายชูเจือจางทาลงบนตาปลา ปิดทับด้วยผ้าพันแผลทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นนำผ้าพันแผลออก แล้วขัดด้วยหินขัดเท้าเบา ๆ บำรุงด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว ทำซ้ำได้จนกว่าตาปลาจะหลุดออก แต่ควรระวังไม่ให้น้ำส้มสายชูที่ใช้เข้มข้นจนเกินไป



2. เบกกิ้งโซดา

          เบกกิ้ง โซดาเป็นสารที่สามารถช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือแม้แต่ตาปลา นอกจากนี้ก็ยังช่วยฆ่าเชื้อและต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผิวไม่เกิดการติดเชื้อได้อีกด้วย

          วิธีใช้ก็นำเบกกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำแล้วแช่เท้าประมาณ 10-15 นาที ขัดบริเวณที่เป็นตาปลาด้วยหินขัดเท้าหรือแปรงนุ่มๆ หรือจะนำน้ำมะนาวผสมกับเบกกิ้งโซดาและน้ำเปล่า ให้เป็นเนื้อครีม จากนั้นนำไปทาบริเวณทีเป็นตาปลา ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ไว้ 1 คืน แล้วแกะออก ล้างด้วยน้ำอุ่น จากนั้นขัดด้วยหินขัดเท้าเบา ๆ จะช่วยให้ตาปลาหลุดออกมาได้ง่ายขึ้นค่ะ


3. มะนาว หรือเลมอน

          น้ำมะนาวหรือน้ำเลมอน เป็นของใกล้ตัวที่สามารถรักษาตาปลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะกรดจากน้ำมะนาวและน้ำเลมอนนั้นสามารถช่วยให้ตาปลาที่แข็งน­­ิ่มลงได้ และช่วยให้ตาปลาหลุดออกมาได้เร็วขึ้น โดยใช้สำลีชุบลงในน้ำมะนาวหรือน้ำเลมอนแล้วเช็ดบริเวณที่เป็นตา­­ปลา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ทำซ้ำทุกวันจะช่วยให้ได้ผลเร็วขึ้น หรือจะใช้บริเวอร์ยีสต์ (Brewer's Yeast) ซึ่งเป็นอาหารเสริมผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อยลงเป็นเนื้อครีม พอกที่บริเวณตาปลา ปิดทับด้วยพลาสเตอร์แล้ว ทิ้งไว้ 1 คืน จะช่วยให้ตาปลานิ่มลงได้เช่นกัน



4. กระเทียม

          กระเทียมมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันเชื้อแบคทีเรียรวมทั้งฆ่าเชื้อ นอกจากนี้ยังป้องกันการติดเชื้อ จึงสามารถช่วยรักษาโรคตาปลาให้หายได้ โดยการนำกระเทียมมาผ่าครึ่งแล้วถูบริเวณที่เป็นตาปลา ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งแล้วปิดพลาสเตอร์ทับทิ้งไว้ 1 คืน ตอนเช้าแกะออกแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น หรือจะใช้กระเทียมสับมาพอกแล้วปิดทับด้วยพลาสเตอร์ 3 วันก็จะช่วยให้ตาปลาหลุดออกมาค่ะ


5. น้ำมันสน

          น้ำมันสน มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่ทรงประสิทธิภาพ ที่สามารถรักษาตาปลาได้ และสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ระยะเวลาในการรักษาสั้นลง วิธีการใช้น้ำมันสนในการรักษาตาปลาที่ดีที่สุดคือก่อนใช้ควรนำน­­้ำแข็ง ประคบลงบริเวณที่เป็นตาปลาประมาณ 2 นาทีแล้วเช็ดให้แห้งจากนั้นน้ำมันสนทาลงบริเวณตาปลา แล้วปิดพลาสเตอร์ทับไว้ 1 คืน และแกะออกในตอนเช้า ทำเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้หายไวขึ้น


6. มะละกอดิบ

          มะละกอดิบเป็นวิธีที่ช่วยรักษาตาปลาได้ง่ายแถมได้ผลมากที่สุด เพราะเอ็นไซม์บางชนิดในมะละกอกดิบสามารถช่วยขจัดผิวหนังที่ตายแ­­ล้ว แถมยังช่วยรักษาอาการเจ็บบริเวณตาปลา และยังทำให้ตาปลาแห้งลงและหลุดไปเองได้อย่างง่ายได้ วิธีการใช้ก็ไม่ยาก เพียงนำมะละกอดิบมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วนำสำลีชุบน้ำมะละกอดิบแปะลงบนแผลจากนั้นปิดด้วยเทปพันแผลทิ­­้งไว้ 1 คืนแล้วทำความสะอาด ทำซ้ำทุกวันจนกว่าจะเห็นผล


7. ชะเอมเทศ

          ในแพทย์แผนอายุรเวทของอินเดีย ชะเอมเทศมักถูกนำมาใช้ในการรักษาตาปลา ซึ่งผลที่ออกมาก็น่าอัศจรรย์มากเลยทีเดียว แค่เพียงนำชะเอมเทศแบบผงผสมกับน้ำมันเมล็ดมัสตาร์ดให้เป็นเนื้อ­­ครีม พอกลงบนบริเวณที่เป็นตาปลาแล้วปิดทับด้วยพลาสเตอร์ทิ้งไว้ 1 คืน ตอนเช้าแกะพลาสเตอร์ออกแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าตาปลาจะจะเริ่มนิ่มและหายไปค่ะ


8. ผงขมิ้น

          สารคูเคอร์มินในขมิ้นมีฤทธิ์ลดการอักเสบโดยธรรมชาติ และสามารถลดอาการเจ็บและแผลตาปลาให้หายได้เร็วขึ้น โดยนำผงขมิ้นไปผสมกับน้ำผึ้งให้เป็นเนื้อครีม ทาบริเวณที่เป็นตาปลาแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อวัน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ ตาปลาก็จะค่อย ๆ หลุดไป หรือจะใช้ผงขมิ้นผสมกับเจลว่านหางจระเข้ ทาลงในพาสเตอร์และปิดไว้บนข้ามคืน จากนั้นแกะออก แล้วบำรุงด้วยครีมตามปกติ ทำซ้ำเป็นประจำทุกวันจนกว่าตาปลาจะหายไป


9. สัปปะรด

          เปลือกสัปปะรดที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ก็สามารถรักษาตาปลาได้ โดยการนำเปลือกที่เราไม่ใช้แล้วมาหั่นเป็นขนาดพอดีกับตาปลาแล้ว­­แปะลงตาปลา จากนั้นปิดทับด้วยพลาสเตอร์ทิ้งเอาไว้ 1 คืน จากนั้นแกะออกล้างให้สะอาด และทาบริเวณตาปลาด้วยน้ำมันมะพร้าว ทำแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำจนกว่าจะหาย


10. น้ำมันละหุ่ง


          น้ำมันละหุ่งเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์แรง ดังนั้นจึงควรใช้อย่างระมัดระวังในการรักษาตาปลา โดยควรหาเทปพันแผลหรือพลาสเตอร์แบบที่เป็นรูตรงกลางปิดรอบ ๆ ให้เหลือแต่บริเวณที่เป็นตาปลา แล้วนำน้ำมันละหุ่งหยอด กดทับด้วยสำลีแล้วปิดทับด้วยเทปพันแผล ป้องกันไม่ให้น้ำมันละหุ่งซึมออกมาโดนผ้าหรือของอย่างอื่นด้วยก­­ารนำถุง เท้าเก่า ๆ มาสวมทับไว้อีกชั้นทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออก จะช่วยให้ตาปลาหาย­ได้

 
          ถ้าไม่อยากให้ตัวเองต้องมานั่งรักษาตาปลากันทีหลังก็ควร­จะเลือกสวมใส่รองเท้า ที่มีพื้นนิ่ม และหลีกเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าที่มีส้นสูง ๆ หรือมีลักษณะรองเท้าที่ไม่ดีต่อสุขภาพเท้าเป็นเวลานานวิธีนี้ก็­­จะช่วยได้ นะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
besthealthmag.ca
top10homeremedies.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

No comments:

Post a Comment