Monday, June 15, 2015

โรคร่าเริง ภัยร้ายใกล้ตัวที่คนชอบอดหลับอดนอนเสี่ยงเป็น !




         โรคร่าเริง โรคนี้ชื่อน่าสนุกแต่ผลกระทบกับสุขภาพเหลือร้ายเกินกว่าจะคาดคิ­­ด คนชอบอดหลับอดนอนเป็นประจำระวังไว้เลย

          พฤติกรรมอดหลับอดนอนที่ทำมาจนเคยชิน ต่อไปนี้ขอร้องว่าให้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยด่วน และอย่าคิดไปเองนะคะว่า อดหลับอดนอนตอนนี้แล้วค่อยไปนอนชดเชยในช่วงกลางวันแทน เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคร่าเริง ภัยร้ายจากพฤติกรรมทำลายสุขภาพ จากคำบอกเล่าของแพทย์แผนไทย บุณยพร ยี่มี

รู้จักโรคร่าเริง

          โรคร่าเริงเกิดจากความผิดปกติที่เกี่ยวกับการหลั่งฮอร์โมนของต่­­อมไร้ท่อ บวกกับพฤติกรรมอดหลับอดนอนที่ทำสะสมจนเหมือนเป็นการใช้งานร่างก­­ายอย่าง หนัก ยิ่งกับคนที่ชอบอ่านหนังสือหรือทำงานหามรุ่งหามค่ำต่อเนื่องกัน­­หลายวัน นาฬิกาชีวิตและระบบการทำงานของร่างกายจะปรวนแปรไปหมด

อาการของโรคร่าเริง

          คนที่เป็นโรคร่าเริงจะรู้สึกอ่อนเพลียในช่วงกลางวัน หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย และไม่มีสมาธิในการเรียนหรือการทำงาน แต่ในช่วงกลางคืนสมองจะแล่น ความคิดสร้างสรรค์บังเกิด และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างเต็มที่ จนทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควร

ผลกระทบของโรคร่าเริงกับสุขภาพ

          เมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน หรือทำบ่อย ๆ จนเกิดภาวะสะสม ระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายจะเรรวน และส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น เป็นสาเหตุทำให้ฮอร์โมนปรวนแปร รอบเดือนมาไม่ปกติ หงุดหงิดง่าย เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และโรคเบาหวาน

วิธีป้องกันความเสี่ยงโรคร่าเริง


          สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นโรคร่าเริง แพทย์แผนไทย บุณยพร ยี่มี ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำลายสุขภาพดังนี้
 
         
ตื่นสายจนต้องรับประทานมื้อเช้าในช่วงเกือบ 11.00 น.
         
อดหลับอดนอน
         
ไม่ออกกำลังกาย
         
ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
         
ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังเป็นประจำ

          อย่าง ไรก็ดี สำหรับคนที่คิดว่าร่างกายเคยชินกับการอดหลับอดนอนจนไม่รู้สึกถึ­­งความผิด ปกติใด ๆ กับสุขภาพ ขอให้จำไว้ว่า ผลกระทบกับสุขภาพเมื่อคุณอดหลับอดนอนอาจไม่แสดงตัวในเร็ววันนี้­­ ทว่าเมื่ออายุย่างเข้าสู่เลข 4 เป็นต้นไปคุณจะได้เจอกับภาวะสุขภาพที่เต็มไปด้วยโรครุมเร้าเลยก­­็ได้นะคะ ฉะนั้นเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเองตั้งแต่วันนี้ดูจะปลอดภัยกว่าเ­­ยอะ

แหล่งที่มา  http://health.kapook.com/view121492.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


No comments:

Post a Comment