Sunday, August 2, 2015

รับประโยชน์จากแอปเปิลแบบจัดเต็ม คุณกินได้ตาม 7 ข้อนี้หรือเปล่า ?




         ประโยชน์ของแอปเปิล รับไปเลยเต็ม ๆ ถ้ากินแอปเปิลได้ตาม 7 ข้อนี้ ว่าแต่เราควรกินแอปเปิลตอนไหนดีนะ

          ถ้าให้ยกผลไม้เพื่อสุขภาพมาสักอย่าง เชื่อว่าแอปเปิลจะต้องติดโผ 1 ใน 3 อันดับต้น ๆ แน่นอน และทุกวันนี้เพื่อสุขภาพที่ดี หลายคนก็กินแอปเปิลเป็นประจำอยู่แล้ว แต่รู้ไหมคะว่า คุณมีโอกาสได้รับประโยชน์จากแอปเปิลแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด ถ้ากินแอปเปิลตาม 7 ข้อนี้ อย่างที่ Reader's digest แนะนำมา

กินแอปเปิลคู่กับชาเขียวร้อน

          เมื่อแอปเปิลและชาเขียวฟีเจอริ่งกัน รายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การอาหาร สหรัฐอเมริกา ก็เผยว่า สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติของอาหารทั้งสองชนิดนี้จะร่วมกันต่อต้าน สารกระตุ้นเซลล์เยื่อบุผิวเส้นเลือด (vascular endothelial growth factor, VEGF) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์ในผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เส้นเลือดติดขัดจนเกิดโรคหัวใจ โรคอัมพาต และอาจกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตัวร้าย นอกจากนี้หากกินแอปเปิลและชาเขียวคู่กันก็ยังจะได้รับคุณค่าทางสารอาหาร คล้ายตัวยา และชาเขียวก็มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกต่างหาก

กินแอปเปิลเป็นของว่างก่อนออกไปซื้ออาหาร

          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell พบว่า อาสาสมัครที่ได้ทานแอปเปิลเป็นของว่างก่อนจะออกไปซื้อของกินมีแนวโน้มเลือก ซื้อผัก ผลไม้ และอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น 28% เมื่อเทียบกับกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับคุกกี้เป็นของว่าง และมีอัตราเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพมากกว่ากลุ่มอาสาสมัครที่ไม่ได้รับ ประทานอะไรเลยก่อนไปซื้อของกินกว่า 25% ซึ่งก็นับว่าเป็นเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้เรามีโอกาสได้ทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องบังคับตัว เองนะคะ

กินส้มคู่กับแอปเปิล

          งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell แนะนำให้กินส้มกับแอปเปิลคู่กันไปเลยยิ่งดี เนื่องจากสารสกัดจากผลไม้อย่างส้มและแอปเปิลมีประโยชน์ต่อสมอง อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระชนิดพิเศษที่พบในผลไม้ทั้งสองชนิดนี้ยังช่วยปก ป้องเซลล์จากสภาวะความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ตัวการที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย และไม่เพียงแต่ส้มกับแอปเปิลเท่านั้นที่ดีต่อการทำงานของสมองนะคะ ยังมีกล้วยอีกอย่างที่นักวิจัยการันตีมาแล้วว่า มีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์สมองและประสาทไม่ให้ถูกทำลายง่าย ๆ จนต้องเสี่ยงกับโรคอัลไซเมอร์

กินแอปเปิลหลังมื้ออาหาร

          ใครไม่อยากกินจุบจิบหลังมื้ออาหารอีกต่อไป แนะนำให้กินแอปเปิลเป็นผลไม้ล้างปากหลังอาหารทุกมื้อ เพราะแอปเปิลมีเพคติน (Pectin) ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่จะช่วยเปลี่ยนน้ำในกระเพาะอาหารเป็นเจล ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น อีกทั้งเมื่อระบบย่อยอาหารทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป น้ำตาลในเลือดก็จะคงระดับสมดุล ไม่กระตุ้นให้อินซูลินผิดปกติ และที่สำคัญ แอปเปิลหลังมื้ออาหารยังช่วยลดความอยากของหวานและอาหารขยะได้ด้วยนะ

จับคู่แอปเปิลกับดาร์ก ช็อกโกแลต

          แอปเปิลมีสารฟลาโวนอยด์ที่ชื่อว่า เควอซิทิน (Quercetin) ในขณะที่ดาร์ก ช็อกโกแลต มีฟลาโวนอยด์ที่ชื่อว่า คาเทซิน (Catechin) สูง ซึ่งงานวิจัยจากอิตาลีก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อฟลาโวนอยด์ทั้ง 2 ชนิดนี้ทำงานร่วมกัน จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโปรตีนคอลลาเจนออกมา ซึ่งคอลลาเจนตัวนี้จะช่วยบำรุงและซ่อมแซมหลอดเลือดที่เสียหายให้กลับมา เชื่อมติดกันเป็นปกติได้อีกครั้ง

          นอกจากนี้นักวิจัยยังเผยอีกด้วยว่า เมื่อเควอซิทินและคาเทซินรวมตัวกัน คุณสมบัติของฟลาโวนอยด์ทั้งสองจะช่วยปกป้องเราจากภาวะเส้นเลือดอุดตัน รวมทั้งลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แอปเปิล+ชีส คู่นี้ก็เวิร์ก   

          ลองสังเกตเวลาที่เราเคี้ยวแอปเปิลสิคะ จะรู้สึกได้เลยว่า ช่องปากจะผลิตน้ำลายมาผสมกับน้ำแอปเปิลในจำนวนที่มากกว่าปกติ ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยกำจัดเศษอาหารที่ตกค้าง รวมไปถึงคราบพลัคและแบคทีเรียในช่องปากก็จะลดจำนวนลงเพราะค่า pH ในน้ำลายด้วย ส่วนชีสมีไทรามีน (Tyramine) ซึ่งเป็นกรดในอาหารที่ช่วยลดคราบพลัคได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่ออาหารที่ีคุณสมบัติเด่นเหมือนกันมาเจอกัน ช่องปากของเราเลยสะอาดเอี่ยมไปเลย

กินแอปเปิลวันละ 1 ลูก

          อยากห่างไกลจากโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ต้องกินแอปเปิลให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ลูก เพราะนักวิจัยชาวดัตช์ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มอาสาสมัครที่กินผักผลไม้เนื้อสีขาวอย่างแอปเปิล ลูกแพร์ เห็ด หัวหอม เป็นประจำทุกวัน จะมีอัตราความเสี่ยงจากโรคที่เกิดจากภาวะเส้นเลือดสมองอุดตันเฉียบพลัน เช่น โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ลดลงกว่า 9% เลยทีเดียว ฉะนั้นอย่าลืมรับประทานแอปเปิลทุกวันด้วยนะคะ

          กินแอปเปิลแบบเดิมก็ได้รับประโยชน์จากแอปเปิลไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ากินแอปเปิลได้ตามนี้ รับรองว่าได้ประโยชน์จากแอปเปิลอย่างตรงจุดและครอบคลุมกว่าแน่นอนค่ะ


แหล่งที่มา  http://health.kapook.com/view124843.html

No comments:

Post a Comment