มัลเบอร์รี
หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน ผลไม้พื้นบ้านแบบไทย ๆ
สุดยอดแหล่งวิตามินซี มิตรแท้คนรักสุขภาพ
เทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก็ยังเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญมากพอ ๆ กับการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกายต่าง ๆ ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพมากมายหลายอย่างที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันมาก่อนได้รับ ความนิยมกันมากขึ้น อย่างเช่น มัลเบอร์รี ที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อกันเท่าไร แต่ในเรื่องของสรรพคุณนั้นโดดเด่นจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดอีกชนิด หนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับผลไม้อย่างมัลเบอร์รี หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างไทย ๆ ว่า ลูกหม่อน ลองไปดูกันสิว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้จะมีดีแค่ไหน และทำไมถึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ อยากรู้ก็ตามมาดูกันเลยค่ะ
เทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก็ยังเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญมากพอ ๆ กับการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกายต่าง ๆ ทำให้อาหารเพื่อสุขภาพมากมายหลายอย่างที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกันมาก่อนได้รับ ความนิยมกันมากขึ้น อย่างเช่น มัลเบอร์รี ที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อกันเท่าไร แต่ในเรื่องของสรรพคุณนั้นโดดเด่นจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดอีกชนิด หนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับผลไม้อย่างมัลเบอร์รี หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างไทย ๆ ว่า ลูกหม่อน ลองไปดูกันสิว่าเจ้าผลไม้ชนิดนี้จะมีดีแค่ไหน และทำไมถึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ อยากรู้ก็ตามมาดูกันเลยค่ะ
มัลเบอร์รี คืออะไร ?
มัลเบอร์รี (Mulberry) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus nigra. L. เป็นหนึ่งในพืชตระกูลเบอร์รี โดยคนไทยมักจะรู้จักกันในชื่อของลูกหม่อน เนื่องจากเป็นผลของต้นหม่อนที่ใช้ในการเลี้ยงหนอนไหม อันเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมผ้าไหม โดยลักษณะของต้นหม่อน เป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบ ไม่มีหนาม แต่มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ใบมีลักษณะขอบหยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือเป็นรูปหัวใจ ผิวใบสาก ก้านใบเรียวเล็ก ดอกเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกตามซอกใบและปลายยอด ผลของหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี มีลักษณะเป็นผลรวมทรงกระบอก สีของผลเป็นสีเขียวอ่อน แต่เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีแดงเข้ม ไปจนเกือบดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว
ทั้งนี้ มัลเบอร์รีมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ มัลเบอร์รีสีขาว มัลเบอร์รีสีแดง และมัลเบอร์รีสีดำ มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ โดยมัลเบอร์รี 100 กรัมมีคุณค่าทางอาหารดังนี้
- พลังงาน 43 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 9.80 กรัม
- โปรตีน 1.44 กรัม
- ไขมัน 0.39 กรัม
- ไฟเบอร์ 1.7 กรัม
- โฟเลต 6 ไมโครกรัม
- วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) 0.620 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน) 0.050 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) 0.101 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 25 ยูนิต
- วิตามินซี 36.4 มิลลิกรัม
- วิตามินอี 0.87 มิลลิกรัม
- วิตามินเค 7.8 ไมโครกรัม
- โซเดียม 10 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 194 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 39 มิลลิกรัม
- ทองแดง 60 ไมโครกรัม
- ธาตุเหล็ก 1.85 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 18 มิลลิกรัม
- เซเลเนียม 0.6 ไมโครกรัม
- สังกะสี 0.12 มิลลิกรัม
- เบต้า-แคโรทีน 9 ไมโครกรัม
- ลูทีน-ซีแซนทีน 136 ไมโครกรัม
มัลเบอร์รี (Mulberry) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus nigra. L. เป็นหนึ่งในพืชตระกูลเบอร์รี โดยคนไทยมักจะรู้จักกันในชื่อของลูกหม่อน เนื่องจากเป็นผลของต้นหม่อนที่ใช้ในการเลี้ยงหนอนไหม อันเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมผ้าไหม โดยลักษณะของต้นหม่อน เป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบ ไม่มีหนาม แต่มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ใบมีลักษณะขอบหยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือเป็นรูปหัวใจ ผิวใบสาก ก้านใบเรียวเล็ก ดอกเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกตามซอกใบและปลายยอด ผลของหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี มีลักษณะเป็นผลรวมทรงกระบอก สีของผลเป็นสีเขียวอ่อน แต่เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีแดงเข้ม ไปจนเกือบดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว
ทั้งนี้ มัลเบอร์รีมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ มัลเบอร์รีสีขาว มัลเบอร์รีสีแดง และมัลเบอร์รีสีดำ มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ โดยมัลเบอร์รี 100 กรัมมีคุณค่าทางอาหารดังนี้
- พลังงาน 43 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 9.80 กรัม
- โปรตีน 1.44 กรัม
- ไขมัน 0.39 กรัม
- ไฟเบอร์ 1.7 กรัม
- โฟเลต 6 ไมโครกรัม
- วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) 0.620 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 6 (ไพริด็อกซิน) 0.050 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) 0.101 มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 25 ยูนิต
- วิตามินซี 36.4 มิลลิกรัม
- วิตามินอี 0.87 มิลลิกรัม
- วิตามินเค 7.8 ไมโครกรัม
- โซเดียม 10 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 194 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 39 มิลลิกรัม
- ทองแดง 60 ไมโครกรัม
- ธาตุเหล็ก 1.85 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 18 มิลลิกรัม
- เซเลเนียม 0.6 ไมโครกรัม
- สังกะสี 0.12 มิลลิกรัม
- เบต้า-แคโรทีน 9 ไมโครกรัม
- ลูทีน-ซีแซนทีน 136 ไมโครกรัม
12 ประโยชน์มัลเบอร์รี เด่นดีเรื่องสุขภาพ
เช่นเดียวกับญาติในตระกูลเบอร์รี มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ด้วยเพราะคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นอยู่ในผลสีเข้ม และรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวถูกปาก อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง มัลเบอร์รีกวน หรือจะดื่มเป็นเครื่องดื่ม อย่างน้ำมัลเบอร์รี จึงทำให้มัลเบอร์รีกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมได้ไม่ยาก เราลองไปดูกันดีกว่าว่ามัลเบอร์รีมีดียังไงกันบ้าง
1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
อาการระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมักเป็นปัญหาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่มัลเบอร์รีมีสรรพคุณช่วยไม่ให้น้ำตาลในเลือดเกิดการผกผันโดยจะเข้าไปชะลอการย่อยของคาร์โบไฮเดรต ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่เกิดการผกผันจนส่งผลเสียต่อร่างกาย
2. ลดคอเลสเตอรอล
คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่อยู่ในร่างกายซึ่งจำเป็นต้องควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ เพราะหากมีมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งการรับประทานมัลเบอร์รีสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) และกระตุ้นการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไขมันในตับ และความเสี่ยงไขมันพอกตับได้อีกด้วยค่ะ
3. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
มัลเบอร์รีถือเป็นพืชในตระกูลเบอร์รีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงคุณค่า ที่ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ จากการถูกทำลาย อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ และริ้วรอยที่เกิดขึ้นก่อนวัย ไม่เพียงเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รียังช่วยบำรุงผิวให้ดูเนียนนุ่ม กำจัดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิว และยังบำรุงผมให้เงางามได้อีกด้วย
4. บำรุงสมอง
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ทำการทดลองกับหนูตัวผู้ พบว่า เมื่อให้หนูทดลองที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมองกินมัลเบอร์รี หนูเหล่านั้นจะมีความจำที่ดีขึ้น และลดการเกิดภาวะออกซิเดชั่น อันเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังป้องกันไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลายด้วย
เช่นเดียวกับญาติในตระกูลเบอร์รี มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ด้วยเพราะคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นอยู่ในผลสีเข้ม และรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวถูกปาก อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง มัลเบอร์รีกวน หรือจะดื่มเป็นเครื่องดื่ม อย่างน้ำมัลเบอร์รี จึงทำให้มัลเบอร์รีกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมได้ไม่ยาก เราลองไปดูกันดีกว่าว่ามัลเบอร์รีมีดียังไงกันบ้าง
1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
อาการระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมักเป็นปัญหาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่มัลเบอร์รีมีสรรพคุณช่วยไม่ให้น้ำตาลในเลือดเกิดการผกผันโดยจะเข้าไปชะลอการย่อยของคาร์โบไฮเดรต ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่เกิดการผกผันจนส่งผลเสียต่อร่างกาย
2. ลดคอเลสเตอรอล
คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่อยู่ในร่างกายซึ่งจำเป็นต้องควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ เพราะหากมีมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งการรับประทานมัลเบอร์รีสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) และกระตุ้นการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไขมันในตับ และความเสี่ยงไขมันพอกตับได้อีกด้วยค่ะ
3. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
มัลเบอร์รีถือเป็นพืชในตระกูลเบอร์รีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงคุณค่า ที่ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ จากการถูกทำลาย อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ และริ้วรอยที่เกิดขึ้นก่อนวัย ไม่เพียงเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รียังช่วยบำรุงผิวให้ดูเนียนนุ่ม กำจัดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิว และยังบำรุงผมให้เงางามได้อีกด้วย
4. บำรุงสมอง
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ทำการทดลองกับหนูตัวผู้ พบว่า เมื่อให้หนูทดลองที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมองกินมัลเบอร์รี หนูเหล่านั้นจะมีความจำที่ดีขึ้น และลดการเกิดภาวะออกซิเดชั่น อันเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังป้องกันไม่ให้เซลล์สมองถูกทำลายด้วย
5. ป้องกันโรคมะเร็ง
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคมะเร็งเกิดจากภาวะความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดจากการที่เซลล์ถูกทำลาย ซึ่งวิธีการป้องกันก็คือการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และในมัลเบอร์รีก็มีเจ้าสารนี้อยู่ไม่ใช่น้อย โดยสารเหล่านี้จะไปทำการยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และกำจัดเซลล์มะเร็งไปพร้อม ๆ กัน นับว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ให้ผลที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
6. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายในพืช แต่กลับมีในมัลเบอร์รี ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายสามารถส่งออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น
7. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
มัลเบอร์รีเป็นพืชที่มีสารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะไปกระตุ้นเซลล์แมคโคเฟจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้เราไม่ป่วยง่ายค่ะ
8. ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารที่พบได้ในเปลือกผลไม้บางชนิด เช่น องุ่น และพืชตระกูลเบอร์รีบางชนิด และในมัลเบอร์รีก็มีอยู่ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าหากบริโภคอาหารที่มีสารชนิดนี้จะช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงจนเกินไป และลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดด้วย
9. บำรุงสายตา
ซีแซนทีนที่อยู่ในมัลเบอร์รี เป็นสารสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา โดยสารนี้จะเข้าไปลดภาวะออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในดวงตา ป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังช่วยให้ดวงตาใสปิ๊ง นี่ยังไม่รวมถึงวิตามินบี 1 ที่มีประโยชน์ในการบำรุงสายตาโดยตรง ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคมะเร็งเกิดจากภาวะความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดจากการที่เซลล์ถูกทำลาย ซึ่งวิธีการป้องกันก็คือการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และในมัลเบอร์รีก็มีเจ้าสารนี้อยู่ไม่ใช่น้อย โดยสารเหล่านี้จะไปทำการยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และกำจัดเซลล์มะเร็งไปพร้อม ๆ กัน นับว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ให้ผลที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
6. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายในพืช แต่กลับมีในมัลเบอร์รี ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายสามารถส่งออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น
7. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
มัลเบอร์รีเป็นพืชที่มีสารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะไปกระตุ้นเซลล์แมคโคเฟจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้เราไม่ป่วยง่ายค่ะ
8. ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารที่พบได้ในเปลือกผลไม้บางชนิด เช่น องุ่น และพืชตระกูลเบอร์รีบางชนิด และในมัลเบอร์รีก็มีอยู่ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าหากบริโภคอาหารที่มีสารชนิดนี้จะช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงจนเกินไป และลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดด้วย
9. บำรุงสายตา
ซีแซนทีนที่อยู่ในมัลเบอร์รี เป็นสารสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา โดยสารนี้จะเข้าไปลดภาวะออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในดวงตา ป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังช่วยให้ดวงตาใสปิ๊ง นี่ยังไม่รวมถึงวิตามินบี 1 ที่มีประโยชน์ในการบำรุงสายตาโดยตรง ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
10. ช่วยในการล้างพิษ
ในแพทย์แผนจีน มัลเบอร์รีถือเป็นสมุนไพรชั้นดีที่ช่วยล้างพิษในตับ ไต และเลือด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาค้างได้ดี คอดื่มทั้งหลายทราบแล้วต้องหามากินด่วนเลย
11. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
แคลเซียม วิตามินเค ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ที่มีอยู่รวมกันในผลมัลเบอร์รีแบบจัดเต็ม ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกและป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกตามวัยได้ ยิ่งถ้ารับประทานกับโยเกิร์ตละก็จะยิ่งได้แคลเซียมเพิ่มขึ้นอีกเพียบเลย
12. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย
ปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มัลเบอร์รีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ดีสำหรับระบบขับถ่าย ไฟเบอร์ในมัลเบอร์รีจะเข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อีกทั้งยังช่วยแก้ท้องอืด และจุกเสียดได้อีกด้วย
ในแพทย์แผนจีน มัลเบอร์รีถือเป็นสมุนไพรชั้นดีที่ช่วยล้างพิษในตับ ไต และเลือด อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาค้างได้ดี คอดื่มทั้งหลายทราบแล้วต้องหามากินด่วนเลย
11. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
แคลเซียม วิตามินเค ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ที่มีอยู่รวมกันในผลมัลเบอร์รีแบบจัดเต็ม ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูกและป้องกันภาวะกระดูกพรุน อีกทั้งยังชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกตามวัยได้ ยิ่งถ้ารับประทานกับโยเกิร์ตละก็จะยิ่งได้แคลเซียมเพิ่มขึ้นอีกเพียบเลย
12. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย
ปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มัลเบอร์รีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ดีสำหรับระบบขับถ่าย ไฟเบอร์ในมัลเบอร์รีจะเข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อีกทั้งยังช่วยแก้ท้องอืด และจุกเสียดได้อีกด้วย
ข้อควระระวังในการรับประทานมัลเบอร์รี
อย่างไรก็ตามแม้มัลเบอร์รีจะมีประโยชน์ แต่ก็ควรระมัดระวังในการรับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการแพ้มัลเบอร์รีไม่ควรรับประทานอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้อาการกำเริบ ขณะที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานก็ควรรับประทานแต่พอดี เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตราย ทางที่ดีก่อนรับประทานควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนจะดีที่สุดค่ะ
ด้วยประโยชน์ที่อัดแน่นในผลไม้สีแดงเข้มนี้ ถ้าจะให้เรียกว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดแบบไทย ๆ ก็คงจะไม่ผิด ซึ่งในปัจจุบันก็ยังหารับประทานได้ง่าย ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง น้ำผลไม้ รวมทั้งในรูปแบบอาหารเสริม ใครสะดวกรับประทานแบบไหนก็ลองหามาทานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพกันเลย และจะยิ่งดีขึ้นไปอีกถ้าดูแลสุขภาพในด้านอื่น ๆ ไปด้วยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
nutrition-and-you.com
globalhealingcenter.com
organicfacts.net
authoritynutrition.com
stylecraze.com
livestrong.com
http://health.kapook.com/view143799.html
No comments:
Post a Comment