Wednesday, April 20, 2016

15 สมุนไพรแก้ผดผื่นคันหน้าร้อน หายได้ด้วยของดีใกล้ตัว




สมุนไพรแก้ผดผื่นคันหน้าร้อน หนึ่งทางเลือกในการรักษาผดผื่นคัน โดยเฉพาะอากาศร้อน ๆ ที่มักจะมีอาการกันมากขึ้น

          ปกติ อาการคันบนผิวหนังก็รบกวนความสงบสุขของเรามากพออยู่แล้ว แต่ในช่วงหน้าร้อน ยิ่งอากาศร้อนก็ยิ่งเหมือนผดผื่นคันจะเห่อขึ้นมากเป็นเท่าตัว ตาย ๆ ปล่อยไปแบบนี้ผิวคงเสียโฉมจนอาจกู่ไม่กลับ งั้นเรามาแก้ผดผื่นคันหน้าร้อนด้วยสมุนไพรใกล้ตัวทั้ง 15 ชนิดนี้ดีกว่า

1. แตงกวา
   
          แตงกวามีคุณสมบัติของความเย็น ดังนั้นเมื่อเกิดผดผื่นคันหน้าร้อนก็จะช่วยบรรเทาความร้อนและความแสบของผื่น คันเหล่านั้นได้ โดยฝานแตงกวาเป็นแว่นบาง ๆ แล้วนำมาประคบบริเวณที่รู้สึกคันและแสบร้อนได้เลย

2. ตำลึง
   
          ตามตำรับยาสมุนไพรบ่งชี้เลยว่าตำลึงเป็นยาเย็น ดับพิษร้อน สามารถแก้ผื่นคันและผดร้อนที่เกิดขึ้นตามผิวหนังได้ โดยนำใบตำลึงสดประมาณ 4-5 ใบมาขยี้ให้พอได้น้ำตำลึงมาทาบริเวณผื่นคัน

3. มะระ

          หวานเป็นลม ขมอย่างมะระก็ต้องเป็นยา โดยมะระมีสรรพคุณแก้ผื่นคันได้เป็นอย่างดี เพียงแค่นำใบมะระสดมาต้ม จากนั้นคั้นเอาน้ำมาทาแก้ผดผื่นคันและผดร้อนตามผิวหนังได้เลย หรือจะใช้ผลตากแห้งมาบดจนเป็นผงแล้วโรยผิวหนังที่เป็นผดร้อนก็ได้เช่นกัน

4. เปลือกกล้วย

          เปลือกกล้วยก็มีฤทธิ์เย็น สามารถบรรเทาผดผื่นคันและอาการแสบร้อนบริเวณผิวหนังได้ โดยใช้ด้านในของเปลือกกล้วยมาประคบผดผื่นร้อน ถูเบา ๆ และวางทิ้งไว้สักพักจนอาการทุเลาลง

5. เปลือกแตงโม

          นอกจากจะเป็นผลไม้คลายร้อนแล้วเปลือกของแตงโมยังมีฤทธิ์เย็นไม่ต่างจากแตง กวาสักเท่าไร ฉะนั้นหากกินเนื้อแตงโมหมดแล้วก็อย่าเพิ่งทิ้งเปลือกเลยนะคะ เพราะเมื่อเกิดผดร้อนและผื่นคัน เราสามารถนำเปลือกด้านในของแตงโมมาประคบผิวหนังได้อีกต่อ

6. ว่านหางจระเข้

          วุ้นในว่านหางจระเข้มีความเย็น และมีคุณสมบัติบรรเทาอาการแสบร้อน รวมทั้งรอยไหม้บนผิวหนังได้อย่างดี แต่พวกผื่นคันและผดร้อน หรือแม้กระทั่งอาการคันจากผื่นแพ้ว่านหางจระเข้ก็แก้ได้ชะงัดไม่น้อยหน้าไป กว่ากันเลยล่ะ

7. มะยม

          รากตัวผู้ของมะยมมีสรรพคุณรักษาโรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคันได้ชะงัด อีกทั้งยังช่วยขับน้ำเหลืองให้แห้งเร็วขึ้นด้วย โดยใช้รากมะยมล้างสะอาดมาต้มดื่มเป็นประจำ หรือจะนำมาทาถูบริเวณที่เกิดผดร้อนด้วยก็ได้

8. ขมิ้นชัน

          นำเหง้าขมิ้นยาวประมาณ 2 นิ้ว มาฝนใส่ในน้ำต้มสุกแล้วใช้ทาบริเวณผดร้อนและผื่นคัน หรือจะใช้ผงขมิ้นโรยบริเวณที่มีอาการคันและแสบร้อนก็ได้ค่ะ ขมิ้นมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ลดการอักเสบ และช่วยขับน้ำได้ดี

9. สะเดา
   
          สะเดามีสรรพคุณต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส ดังนั้นหากมีอาการคันบริเวณผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นผดร้อน ผื่นคันจากอาการแพ้ หรือผื่นคันทั่วไป ก็สามารถนำน้ำต้มสะเดามาทาถูบริเวณที่คันได้เช่นกัน

10. ไพล
   
          น้ำมันหอมระเหยจากไพลจะช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ลดอาการคัน ผดร้อน และผดผื่นจากการแพ้ได้ โดยนำเหง้าสดของไพลมาฝานบาง ๆ และนำไปต้มจนได้น้ำมันมาใช้แก้คันต่อไป

11. ใบพลู
   
          สารสำคัญในใบพลูมีหลายชนิดซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของ โลหิต ยับยั้งการเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง ต้านเชื้อราของโรคผิวหนังและกลากเกลื้อน ฮ่องกงฟุต ดังนั้นเมื่อเกิดผดร้อนหรือผื่นคันให้นำใบพลูสดโขลกให้ละเอียด ผสมเหล้าขาวเล็กน้อย ใช้ทาจนหาย

12. มะนาว

          เห็นเปรี้ยว ๆ แบบนี้มะนาวก็มีสรรพคุณช่วยแก้ผื่นคันที่เกิดเพราะอากาศร้อน ๆ ได้ เนื่องจากมะนาวมีคุณสมบัติช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิวหนัง อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้กระชับเต่งตึงอีกต่างหาก

13. ข่า
   
          นอกจากกลิ่นหอม ๆ แล้ว ข่ายังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราติดอยู่กับตัวเอง โดยในการแก้ผดร้อนและผื่นคันที่มากับหน้าร้อน ให้ใช้เหง้าข่าแก่ ๆ 1 แง่ง ตำให้ละเอียด แล้วผสมกับเหล้าขาวให้พอขลุกขลิก จากนั้นใช้ทั้งน้ำและเนื้อข่ามาทาบริเวณที่เกิดผดร้อนจนกว่าอาการจะทุเลา

14. ประคำดีควาย

          สมุนไพรที่มีมานานอย่างประคำดีควาย จุดนี้หากจะนำมาแก้ผดร้อนและผื่นคันแนะนำให้ใช้ส่วนดอกประคำดีควายค่ะ โดยนำดอกประคำดีควายประมาณ 4-5 ดอก ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยตวง และนำน้ำที่คั้นได้มาทาผิวหนังทุกเช้า-เย็น

15. ฟ้าทะลายโจร
   
          ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณเกือบเทียบเท่ายาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคหวัดทั่วไป อีกทั้งยังสามารถรักษาฝีและแผลอักเสบได้ด้วย แต่สำหรับอาการผดร้อนและผื่นคันจากอากาศร้อนจัด ให้นำใบสดของฟ้าทะลายโจรมาคั้น จากนั้นนำน้ำมาทาบริเวณที่เกิดอาการได้เลย

          15 สมุนไพรไทยใกล้ตัวทั้งหมดนี้ก็หาไม่ยากเท่าไร และหากรู้สรรพคุณของสมุนไพรเหล่านี้แล้วก็เหมือนมียาดี ๆ อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเลยเนอะ

 
   

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หมอชาวบ้าน
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
Reader’s digest
http://health.kapook.com/view146537.html

No comments:

Post a Comment