มีบ้างไหมที่คุณรู้สึกเหนื่อย…เหนื่อยทั้งกาย
เหนื่อยทั้งใจเสียเต็มประดา จนไม่อยากลุกขึ้นทำอะไร อยากนอนอยู่กับที่เฉยๆ
เผื่อจะหายเหนื่อยขึ้นมาบ้าง เหนื่อยแบบนี้ไม่ได้เหนื่อยเหมือนกับการวิ่งหรือการออกกำลังกายมาใหม่ๆ
แต่หมายถึงอารมณ์เพลียละเหี่ยใจไม่มีแรงทำอะไรสักอย่าง พอถึงวันหยุดก็จมอยู่กับที่นอนทั้งวันจนดูเหมือนคนขี้เกียจ
แถมให้คิดอะไรก็คิดไม่ค่อยจะออกเสียด้วย กลายเป็นคนคิดช้า ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนที่เคยเป็น
เชื่อไหมว่าในโลกนี้มีคนที่กำลังมีอาการแบบนี้อยู่อีกเป็นล้านๆ คน จนเหมือนเป็น
เรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาหรอกครับ เพราะลองคิดดูว่าถ้ามีคนมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียละเหี่ยใจตลอดเวลาแบบนี้เยอะขนาดนั้น
แล้วองค์กรหรืองานที่คนเหล่านี้ทำอยู่จะเคลื่อนตัวไปได้ช้าเพียงใด ยิ่งหากมองภาพรวมในระดับประเทศชาติยิ่งแล้วใหญ่
การพัฒนาศักยภาพแขนงต่างๆ อะไรต่อมิอะไรคงเป็นไปได้ช้าพิลึก
ในทางการแพทย์มองว่าอาการอ่อนเพลียของคนเราที่เกิดขึ้นเสมอๆนี้ ถือเป็นความผิดปกติของร่างกายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
สาเหตุของความเหนื่อยอ่อนแบบนี้คงจะตอบได้ยากว่าเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะแต่ละคนล้วนมีปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกัน
แต่โดยรวมแล้วมักมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วย ไม่สบาย การอดนอน ความเครียด คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
การทำงานมากเกินไป การรับประทานยาประจำตัว หรือไม่ก็อารมณ์ที่กำลังซึมเศร้าจากแรงกดดันรอบๆ ตัว
ยิ่งอยู่ในสังคมเมืองใหญ่ที่เรามักจะใช้พลังงานกันเกินพิกัด เวลาควรนอนไม่นอน
เวลาควรกินไม่กิน เพราะทำงานเกินเวลา หรือพวกที่นิยมการปาร์ตี้สังสรรค์ดึกดื่นข้ามคืนข้ามวัน
พอตื่นขึ้นมาก็ลุกไม่ไหว เรียกว่าปาร์ตี้กันเกินเวลา พาให้การงานเสียก็มีอยู่ไม่น้อย
พอได้สติขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรเสียแล้ว
อาการเหนื่อยๆเพลียๆนี้อาจรักษาได้ด้วยยาบางอย่าง เช่น ยาระงับประสาท
หรือยานอนหลับ กินให้คลายเครียดนอนหลับสนิท ตื่นมาจะได้มีเรี่ยวแรง
แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ก็อย่างที่พอรู้ๆ กันอยู่ ถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลเสียต่อสุขภาพประสาทแน่ๆ
ทางที่ดีคือการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเสียใหม่น่าจะให้ผลที่ดีในระยะยาวกับตัวคุณมากกว่า
ลองพิจารณา 8 วิธีที่เราจะแนะนำต่อไปนี้
แล้วนำไปปฏิบัติตามดู คุณอาจจะหยุดความอ่อนเพลียละเหี่ยใจกลับมาเป็นคนใหม่ได้ในเวลาไม่ช้าครับ
1.ไปตรวจสุขภาพ ลองนึกๆ ดูว่าที่คุณรู้สึกเหนื่อยๆ นั้น เป็นเพราะเกิดจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า
ปวดเมื่อยเนื้อตัว งงๆ ลอยๆ จำอะไรไม่ค่อยได้หรือซึมเศร้า บางทีอาจมาจากโรคที่ทำให้ร่างกายผิดปกติ
หรือบางครั้งยาที่เรากินเข้าไปก็มีผลทำให้ร่างกายเราอ่อนเพลียได้ เช่นยาที่มีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย
ยาแก้แพ้ หรือยารักษาอาการติดเชื้อบางประเภท ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่าง ยาระงับประสาทบางตัว
อาจทำให้คนกินรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งคุณควรขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากคุณหมอในเรื่องนี้ดูว่ามีวิธีไหนหลีก
เลี่ยงได้บ้าง
2.ให้ความสำคัญกับการหลับเพิ่มขึ้น ในวันหนึ่งๆ คุณควรนอนให้ได้อย่างน้อย
7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากคุณนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นประจำ
ลองนึกดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อการนอนของคุณบ้าง เช่น ชอบเปิดไฟนอน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือก่อนนอนเป็นนิสัย
การทำแบบนี้มักจะเป็นการรบกวนการนอนของคุณโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรยกกิจกรรมเหล่านี้ไปทำที่อื่น
แล้วก่อนนอนควรทำอะไรที่จิตใจคุณสงบนิ่ง สบาย เช่น อาบน้ำให้สะอาด
หรือทำสมาธิสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น แล้วเมื่อถึงเวลานอนให้ตรงเข้าไปในห้องนอนเพื่อเข้านอนเพียงอย่างเดียว
อ้อ...ควรงดการดื่มกาแฟ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน
3.กินอาหารเพียงพอต่อธรรมชาติที่ร่างกายต้องการ นอกจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในปริมาณที่สมดุลแล้ว ยังจำเป็นต้องกินอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่เพียงพอด้วย
ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีกำลังวังชา ไม่กินมากไปจนทำให้ร่างกายอ้วนจนเดินไม่ไหว หรือกินน้อยไปจนกลายเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย
เลือกกินให้พอดีๆ ทั้งข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องไปเสียเงินค่าอาหารเสริมต่างๆ ทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำ
เป็น
4.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ
อย่างน้อยวันละ 8 แก้วขึ้นไป เราพอจะรู้อยู่ว่าการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี
ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น แต่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าการดื่มน้ำก็ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน
เพราะเวลาที่ร่างกายไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
โดยธรรมชาติจะปรับตัวทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะได้น้ำมาในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้กลายเป็นพลังงาน
คล้ายๆ กับรถที่ขาดน้ำมันเชื้อเพลิง
นอกจากนี้เวลาที่คุณต้องออกแรงหรือใช้ความคิดมากๆ จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง
การได้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผักคั้นสดๆ สัก 1-2 แก้ว จะช่วยให้คุณรู้สึกแช่มชื่นอย่างเห็นผล
เพราะน้ำตาลธรรมชาติและวิตามินซีในน้ำผัก/ผลไม้
จะเข้าไปทดแทนส่วนที่ถูกใช้ไปได้เป็นอย่างดี และหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนจะดีกว่า
5.กินอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออกเป็นแต่ละมื้อย่อยๆ ปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ คุณลองสังเกตดูเวลาเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆ จนอิ่มแปล้นั้น
มักจะตามด้วยอาการง่วงเหงาเงื่องหงอยในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเสมอครับ นั่นเพราะร่างกายใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหารจนหมด
ดังนั้นการกินอาหารในแต่ละมื้อน้อยๆ จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานแต่พอดีๆ แต่ยังช่วยให้ร่างกายคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย
แถมจะช่วยให้การเผาผลาญอาหารทำได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
6.หายใจลึกๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออกติดต่อกันสักประมาณ 2 นาที จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากอาการเหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล เศร้าใจ เสียใจ
หรือโกรธต่างๆ ได้มาก ซึ่งช่วยให้จิตใจคุณสงบ สบายขึ้น
คุณอาจตั้งสติจดจ่อกับการหายใจแบบนี้ในเวลาที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่คนเดียว เช่น
ตอนที่รถติดๆ บนถนน ขณะเดินเล่น หรือแม้กระทั้งเวลาซักผ้า ล้างจาน จะช่วยให้จิตใจคุณมีสมาธิดีขึ้นด้วย
7.ออกกำลังกายให้มากขึ้น และทำอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเอ็นโดฟินส์ขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ
ซึ่งสารนี้ให้ความรู้สึกเป็นสุข ช่วยคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้ชะงัด และยังช่วยให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานที่เผาผลาญมาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก
ขนาดที่เหมาะคือการออกกำลังกายหนักปานกลางอย่างน้อยประมาณ 30 นาที อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่นานๆ จะมีโอกาสออกกำลังกายสักที ควรตั้งต้นเสียใหม่ยังไม่สายเกินไป
ด้วยการเริ่มออกกำลังกายจากทีละน้อยๆ ช้าๆ ก่อน เช่น การเดินรอบๆ บ้าน
แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทาง ความหนักทีละนิดๆ เช่น เปลี่ยนเป็นวิ่งระยะใกล้ๆ
แล้วค่อยเพิ่มระยะทางขึ้น เลือกการออกกำลังกายแบบใดก็ได้ที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินไปจนทนไม่ไหวเสียก่อน
เมื่อคุณได้ใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิท ความรู้สึกนึกคิดก็จะแจ่มใสกว่าเดิม
8.อยู่กับปัจุบันให้ได้ มีคนกล่าวไว้ว่าหากแบ่งพลังงานที่ หล่อเลี้ยงชีวิตเป็น 100 ส่วน ประมาณ 35 ส่วนจะถูกใช้ไปกับการคิดถึงอดีต
35 ส่วนจะใช้ไปกับการคิดถึงอนาคต ที่เหลือเพียง 30 ส่วนจึงจะใช้ไปในการคิดถึงปัจจุบัน ฟังแล้วเห็นภาพว่าทำไมเรารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องบางเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว
และเราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือเหนื่อยกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเสียเหลือเกิน ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ
การอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นได้
การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันทำให้คุณมีสติอยู่ทุกขณะจิต มองโลก มองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความจริงจะช่วยให้คุณตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างดี
มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลังไม่ลนลาน
ร้อนรน ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนรอบข้างได้
อ่านจนครบ 8 วิธีแล้ว
หวังว่าใครที่มักรู้สึกเพลียใจอยู่จนเป็นกิจวัตรน่าจะปรับตัวให้ดีขึ้นนะครับ แถมท้ายอีกหน่อยด้วยวิธีแก้เครียด
และกลัว ซึ่งมีที่มาเหตุการณ์ต่างๆที่คุณประสบพบเจอ ปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ
ปัญหาชีวิต ความคิด ความทรงจำ หรือแม้ผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวังเอาไว้
ทั้งหมดนี้ล้วนก่อความเครียดให้คุณได้ไม่มากก็น้อย นำมาซึ่งอาการข้างเคียงต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ปวดคอ ปวดตึงที่กล้ามเนื้อไหล่ เหงื่อออกมาก ใจเต้นแรง เป็นต้น วิธีการคลายเคียดที่เราอยากแนะไว้ตรงนี้
โดยการ…..
·
กินอาหารให้ถูกสัดส่วน พร้อมกับหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างที่พูดถึงไปแล้วข้างต้น
·
อย่าเก็บปัญหาที่คุณกำลังเครียดอัดอั้นไว้กับตัว ลองทำใจปลดปล่อยมันออกมาด้วยการเล่าให้เพื่อนสนิทที่คุณไว้ใจสักคนฟัง
ปรึกษากับเพื่อนถึงปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ การปลดปล่อยจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น
แล้วสติปัญญาแจ่มใสคิดแก้ไขสถานการณ์ก็จะเกิดตามมา ไม่เชื่อลองดู
·
ผ่อนคลายจิตใจด้วยการหัวเราะเสียบ้าง การอยู่ท่ามกลางคนอารมณ์ดีจะช่วยคุณได้มากในเรื่องนี้
จะทำให้คุณคลายเคียดได้ชะงัด ความคิดจะกับมาแจ่มใส พร้อมหันหน้าสู้ปัญหาอย่างมีสติ
·
ให้เวลากับกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำงานบ้านฯลฯ
จะเป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดได้ดีอีกวิธีหนึ่ง ทั้งยังทำให้คุณมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นๆ
ที่นอกเหนือจากปัญหาเดิมๆ เหล่านั้นด้วย เผลอๆ จะช่วยคุณมีทางออกให้กับปัญหาแบบไม่รู้ตัว
·
ที่สำคัญที่สุดอย่างที่กล่าวไปแล้วคือ
การอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดครับ
http://school.obec.go.th/jc/botkam11.htm
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/371687775468210469/
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/371687775468210469/
No comments:
Post a Comment