Wednesday, January 25, 2017

15 พฤติกรรมยามดึกที่ทำให้อ้วน นอนไม่หลับ และฝันร้าย !




          เช็คกันหน่อยว่ายามดึกคุณชอบทำกิจกรรมเหล่านี้หรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมอ้วนขึ้น ลดน้ำหนักไม่ลงสักที หรือนอนไม่หลับและฝันร้ายเกือบทุกคืน !

          ใต้ความอ้วนที่มี ใต้อาการนอนไม่หลับที่เป็น และใต้การนอนฝันร้ายที่เห็นและจำได้ เชื่อไหมคะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณมีที่มาที่ไปด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งหากคุณมักจะทำพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนเข้านอนด้วยแล้ว ก็ยากเหลือเกินที่จะหลุดพ้นจากความอ้วน อาการนอนไม่หลับ และฝันร้าย ! แต่จะมีพฤติกรรมยามดึกแบบไหนบ้างที่เป็นต้นเหตุ ลองมาเช็กกัน

1. จัดหนักมื้อเย็น

          กินมื้อเย็นเต็มที่ก็เสี่ยงจะเกิดไขมันสะสมในร่างกายมากพออยู่แล้ว แต่ยังไม่เพียงเท่านั้นสิคะ เพราะเมื่อเรากินมื้อเย็นเยอะเกินไป อิ่มเกินไป ร่างกายก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการย่อยอาหารในท้อง ซึ่งอาจทำให้ระบบย่อยอาหารต้องยืดเวลาการทำงาน และรบกวนการนอนหลับพักผ่อนของเราได้

          อีกทั้งการกินให้เกินความอิ่มของท้องอาจก่อให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย จุกแน่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ส่งผลให้คุณนอนหลับอย่างกระสับกระส่าย ฝันร้าย จนสุดท้ายก็นอนไม่พอ เสี่ยงต่อความอ้วนเพิ่มขึ้นไปอีก
 
2. งดมื้อเย็น

          ครั้นจะงดมื้อเย็นไปเลยระบบย่อยอาหารก็จะปรวนแปรไม่น้อยเหมือนกัน ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อจากการที่กรดในกระเพาะไม่ได้ใช้งานอย่างถูกวิธี หรือบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ รู้สึกหิวหนักมากจนนอนไม่หลับ เดือดร้อนให้ฮอร์โมนในร่างกายสับสนวุ่นวายไปหมด แล้วเชื่อเถอะค่ะว่า เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาคุณจะรู้สึกหิวสุด ๆ แถมยังอาจรู้สึกอยากจะกินแต่ของหวาน !

 3. กินของทอดของมันเป็นมื้อเย็น

          อาหารไขมันสูงอย่างอาหารประเภททอด ขาหมู หรืออะไรก็ตาม นับเป็นอาหารที่ร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อยค่อนข้างนาน ก่อกวนการนอนหลับพักผ่อนของร่างกาย นำไปสู่การนอนหลับฝันร้ายได้อีกด้วย และก็อย่างที่รู้กันด้วยนะคะว่า อาหารไขมันสูงเป็นมิตรกับความอ้วนอยู่แล้ว ฉะนั้นหากไม่อยากอ้วน ไม่อยากฝันร้าย ไม่อยากนอนไม่หลับ ก็พยายามเลี่ยงอาหารไขมันสูงในมื้อเย็นให้ไกลเลย
 
4. กินอาหารรสจัดจ้าน

          การรับประทานอาหารรสจัดจ้านในมื้อเย็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาใกล้เข้านอน เป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อการนอนฝันร้ายจนนอนไม่พอมาก ๆ เลยล่ะค่ะ เพราะอาหารรสจัดจะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกายให้ตื่นตัว ซึ่งดูเหมือนจะดีต่อการลดน้ำหนักใช่ไหมคะ แต่เปล่าเลย...เพราะอย่าลืมว่าในระหว่างที่เรานอนหลับ ร่างกายควรต้องการความสงบเพื่อให้นอนหลับได้สนิท ใช่เวลาที่ระบบเผาผลาญจะมาครึกครื้นเฮฮาซะที่ไหน !

          อ้อ ! นอกจากนี้อาหารรสจัดอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคกรดไหลย้อนให้เราได้อีกต่างหากด้วยล่ะจะบอกให้

5. กินขนมหวานก่อนนอน

          ถ้าไม่อยากอ้วนก็ไม่ควรกินขนมหวานหลัง 6 โมงเย็นด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากแคลอรีในขนมหวานจะสูงลิ่วแล้ว การรับประทานอาหารที่มีรสหวาน โดยเฉพาะหากเป็นความหวานที่มาจากสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล แบบนี้ก็จะเสี่ยงต่อการนอนไม่หลับหรือฝันร้ายเพิ่มมาด้วย เนื่องจากสารสังเคราะห์ดังกล่าวเป็นสารแปลกปลอมที่ร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อยค่อนข้างนาน ดังนั้นระบบย่อยอาหารจึงต้องทำงานล่วงเวลาอีกแล้วนั่นเอง
 
6. กินของว่างระหว่างดูทีวี

          ใครที่ชอบดูหนัง ดูละครก่อนเข้านอน และต้องมีของว่างแก้เหงาปากกินเพลิน ๆ ไปด้วย ขอให้รู้ไว้เลยค่ะว่าพฤติกรรมนี้ไม่ได้แค่พาให้อ้วนขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้คุณนอนหลับไม่สนิท และอาจฝันร้ายเอาได้ เนื่องจากในขนมขบเคี้ยวส่วนใหญ่มักจะมีส่วนผสมของสารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล หรืออย่างน้อย ๆ ก็อาจมีสารสังเคราะห์อื่น ๆ ที่ใช้ผสมอาหาร ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยหรือเผาผลาญสารเหล่านี้ได้ในทันที ก่อกวนระบบเผาผลาญและระบบย่อยอาหารให้ต้องทำงานหนัก

7. เทคคาเฟอีนเข้าร่างกาย

          รู้ทั้งรู้ว่าคาเฟอีนช่วยปลุกให้สมองตื่นจากความง่วงงุน ดังนั้นหากเราเติมคาเฟอีนให้ร่างกายภายใน 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ก็เป็นไปได้มากว่าคืนนั้นจะนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายจนอาจเลยเถิดไปถึงฝันร้าย และแน่นอนว่าเมื่อนอนไม่พอร่างกายก็เสี่ยงต่อพฤติกรรมพาอ้วนอื่น ๆ อีกเป็นกระบวน

          อ้อ ! และอย่าคิดว่าอาหารที่มีคาเฟอีนจะเป็นกาแฟหรือชาเท่านั้นนะคะ เพราะจริง ๆ แล้วมีรายการอาหารแฝงคาเฟอีนมากกว่านั้นที่เราอยากให้คุณรู้

          - 6 อาหารที่มีคาเฟอีนแฝงอยู่ บอกเลย ถึงไม่ดื่มกาแฟก็หนีไม่พ้น
 
8. ดริงก์ก่อนนอน

          เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยให้หลับสบายขึ้นอย่างที่เข้าใจ เพราะจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเบียร์ ไวน์ เหล้า หรือแอลกอฮอล์ชนิดอื่น ๆ ก็ล้วนแต่มีสารแคมีที่ออกฤทธิ์ต่อสมองทำให้นอนไม่หลับด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะหากดื่มแอลกอฮอล์ภายใน 4-6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ที่หลังดื่มในช่วงแรก ๆ อาจทำให้รู้สึกง่วงงุน แต่เมื่อหมดฤทธิ์แอลกอฮอล์ไปแล้วร่างกายจะตื่นตัว และอาจจะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย ๆ จนทำให้ต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึกเป็นระยะ ๆ อีกอย่างอย่าลืมด้วยค่ะว่า แอลกอฮอล์แต่ละชนิด แคลอรีก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยเชียวล่ะ

9. เข้านอนทันทีหลังจบมื้อเย็น

          บางคนเลิกงานดึก เลยจำเป็นต้องกินมื้อเย็นเลทไปด้วย และลงท้ายด้วยการกินอิ่ม อาบน้ำ และเข้านอนเลย ซึ่งแน่นอนค่ะว่ากรณีนี้จะเกิดอาการจุกแน่น ทำให้นอนไม่สบาย เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อน และอาจนอนฝันร้ายเพราะการนอนหลับกระสับกระส่ายของเรานี่แหละ 

10. กินอิ่มแล้วไม่ขยับ

          ผลการศึกษาเมื่อปี 2013 แสดงให้เห็นว่า คนที่กินอิ่มแล้วนั่งจมอยู่กับโซฟา หรือมัวแต่นั่งเล่นดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย คนกลุ่มนี้จะเสี่ยงต่อความอ้วนมากกว่าคนที่จบมื้อเย็นแล้วขยับตัวไปทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างกวาดบ้าน ถูบ้าน หรือพาน้องหมาออกไปเดินเล่นไม่ต่ำกว่า 10 นาที ดังนั้นหากไม่อยากเป็นคนอ้วนในอนาคต เรามาขยับหลังมื้อเย็นเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญกันสักหน่อยดีกว่า
 
11. กินมื้อเย็นหน้าทีวี

          ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยไบรมิงแฮม พบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่กินมื้อเย็นไปด้วย ดูทีวีไปด้วยจะอร่อยกับอาหารมื้อนั้นและกินอาหารได้เยอะกว่ากลุ่มที่นั่งกินมื้อเย็นบนโต๊ะอาหาร อีกทั้งการได้ดูทีวีระหว่างกินอาหารอาจทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลินจนจบมื้อาหารแล้วก็ไม่อยากลุกไปไหน ลดโอกาสในการขยับเขยื้อนร่างกายเพิ่มขีดความสามารถของเมตาบอลิซึมนั่นเอง

12. ทำงานก่อนเข้านอน

          สายบ้างานต้องรู้ไว้เลยค่ะว่า การเช็กอีเมลงานก่อนนอนหรือเคลียร์งานก่อนนอนอาจส่งผลให้คุณนอนไม่หลับและอ้วนขึ้นได้ เพราะการทำงานในเวลานี้อาจพาความเครียดติดไปกับสมองของคุณในระหว่างที่คุณนอนหลับ ส่งผลให้เสี่ยงต่อการฝันเป็นตุเป็นตะจนร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
 
13. เล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอน

          น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่าสมาร์ทโฟนจะส่องแสงสีฟ้าผ่านหน้าจอออกมาแม้เราจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาก็ตาม ซึ่งแสงสีฟ้าที่ว่านี้มีอันตรายต่อสุขภาพของเราไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะในตอนกลางคืน หากเราเล่นสมาร์ทโฟนก่อนนอน ร่างกายอาจโดนแสงสีฟ้าเล่นงานจนรบกวนการทำงานของเมลาโทนิน ฮอร์โมนสำคัญต่อการนอนหลับพักผ่อนของร่างกาย ทำให้เรานอนไม่หลับ นอนฝันร้าย และลามไปจนถึงอ้วนขึ้นได้ เพราะร่างกายจะส่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ทำให้ในวันรุ่งขึ้นเราจะรู้สึกอยากกินแต่อาหารรสหวาน อาหารฟาสต์ฟู้ด เพื่อเติมความสดชื่นให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว หายจากความอ่อนเพลียเพราะนอนไม่พอ

14. นอนดึกทุกวัน

          ขอย้ำอีกทีว่าการนอนไม่พอทำให้อ้วนขึ้นได้จริง ๆ โดยนายแพทย์ Stuart Quan ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เปิดเผยผลการศึกษาเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 ว่า การนอนหลับส่งผลโดยตรงต่อความเสี่ยงโรคอ้วน โดยพบว่าคนที่นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคอ้วนสูงถึง 45% ซึ่งในการศึกษาได้แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติและเข้าไปทำให้ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) หรือฮอร์โมนความหิวเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังทำให้ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความอิ่มลดลง จึงเป็นสาเหตุทำให้เราหิวบ่อยขึ้นนั่นเอง

          นอกจากนี้การพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอยังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการกินด้วย โดยจะทำให้เราเลือกกินอาหารจำพวกขนมขบเคี้ยว น้ำตาล คาเฟอีน อาหารแคลอรีสูง อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง และแอลกอฮอล์มากกว่าปกติ อีกทั้งยังอาจส่งผลให้กินอาหารไม่เป็นเวลา หรือรับประทานอาหารไม่ครบ 3 มื้อ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุของความอ้วนตามมาค่ะ
 
15. ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ซะสายโด่ง

          บางคนตั้งใจว่าจะนอนตื่นเที่ยงเลยก็มีค่ะ ซึ่งพฤติกรรมนอนตื่นสายที่เคยชินกันมาตลอดนี่แหละต้นตอของความอ้วน เพราะการนอนตื่นสายจะทำให้เราพลาดมื้อเช้าที่แสนจะสำคัญ อย่างที่ผลการวิจัยชิ้นหนึ่งได้บอกเอาไว้ว่า การได้กินอาหารที่มีโปรตีนสูงในมื้อเช้าจะช่วยให้เราควบคุมอาหารได้ตลอดทั้งวัน ทำให้รู้สึกหิวจุบจิบน้อยลง เสี่ยงต่อความอ้วนน้อยกว่าคนที่พลาดมื้อเช้าค่อนข้างมาก และหากยังไม่เชื่อก็ลองดูนี่

          - จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่กินอาหารเช้า ?

          ถ้าไม่อยากอ้วนขึ้น และมีสุขภาพพัง ๆ จากการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ก็พยายามเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้กันด้วยล่ะ

ภาพจาก pexels.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
brightside, prevention, eatthis, reader’s digest
http://health.kapook.com/view164754.html

No comments:

Post a Comment