Wednesday, March 26, 2014

5 วิธีสร้างแรงกระตุ้นในการทำงาน




สิ่งที่คนทำงานจะต้องทำกันอย่างหนัก คือ การสร้างแรงกระตุ้นในการทำงานและการใช้ชีวิตเพื่อให้ตัวเองตื่นตัวไปสู่เป้าหมายได้เต็มที่

หลายคนพยายามเปลี่ยนแปลงการทำงาน เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตแต่ก็ตกม้าตายเพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ใช่ว่าคนคนนั้นไม่มีเป้าหมายค่ะ แต่ระหว่างทางที่จะไปให้ถึงเป้านั้นเราเกิดท้อ สูญเสียตัวเอง และหมดไฟกันไปก่อน

วันนี้เรามี 5 วิธีสร้างแรงกระตุ้นในการทำงานมาฝากค่ะ และเชื่อว่าน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้เราตื่นตัวได้ตลอดปี


สร้างอารมณ์ว่ากันว่าเหตุผลกับอารมณ์เป็นเรื่องที่ขัดกันเสมอ ดังนั้นเราต้องทำให้มันคู่กันให้ได้ด้วยการสร้างอารมณ์เชิงบวกให้ตัวเองก่อนค่ะ เช่น ตั้งเป้าว่าจะมองโลกในแง่ดี แล้วก็เดินหน้าทำตามเป้าอารมณ์นั้นให้ได้


สร้างปณิธานส่วนตัวข้อนี้จำเป็นมากค่ะเพราะเราควรจะมีปณิธานหรือสิ่งที่ย้ำเตือนความตั้งใจไว้เสมอ เช่น 

** ฉันสวย ฉันเก่ง ฉันทำได้ทุกอย่าง
** ฉันเดินหน้าสู้แล้วจะไม่ถอย
** ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้
** ฉันมีค่าและคู่ควรกับทุกอย่างที่ฉันจะได้รับ 


สร้างบทสมมติ เลี่ยงไม่ได้ค่ะที่บางครั้งเราจะรู้สึกท้อ เหนื่อย หรือรู้สึกกำลังล้มเหลว แต่ให้ลองแกล้งทำ แกล้งรู้สึกว่าเรากำลังจะประสบความสำเร็จแล้ว เราใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว จะเป็นการกระตุ้นให้เราตื่นตัวและสู้ได้อีกครั้ง


สร้างเสียงหัวเราะ ถ้างานไม่เป็นไปในทิศทางที่หวัง หรือมีอุปสรรคมาขวางตรงหน้า เอาการมองโลกในแง่ดีและอารมณ์ขันเข้ามาช่วยค่ะ หามุมตลกๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมาบ้าง หรือยิ้มนิดๆ ก็ยังดี เสียงหัวเราะจะช่วยกระตุ้นให้เรามีพลังต่อ 


รื้อฟื้นทุกความเข้มแข็งและความสำเร็จเชื่อเถอะค่ะว่าเราทุกคนมีความเข้มแข็งในตัวเองและต้องเคยประสบความสำเร็จ กับงานบางอย่างมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ทันทีที่รู้สึกหมดกำลังใจ แรงเฉื่อยเริ่มมากจนท้อ ลองมองกลับไปที่ความสำเร็จที่เคยผ่านมาค่ะ แล้วคุณจะพบกับความเข้มแข็งที่จะทำให้รู้สึกว่าเราเคยทำได้แล้ว ครั้งนี้เราก็ต้องทำได้ ซึ่งนั่นจะทำให้คุณรวมข้อ 1 – ข้อ 4 ข้างต้นกลับมาอีกครั้งแล้วมีพลังทำงานอย่างมีแรงบันดาลใจต่อไปค่ะ  

ทุกอย่างเริ่มที่ใจค่ะ ถ้าเราตั้งใจดี มีเป้าหมาย และบอกสิ่งนั้นกับตัวเองอยู่ทุกวัน เชื่อเถอะว่าเราจะมีแรงบัลดาลใจ มีแรงกระตุ้นให้ทำงานได้จนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน

แหล่งที่มา   Momypedia
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต




















No comments:

Post a Comment