Tuesday, November 24, 2015

วิธีแก้สะอึก ชะงักอาการสะดุด ทำปุ๊บหยุดสะอึกปั๊บ !




สะอึก
อึก อึก... อาการที่ใครเป็นแล้วก็อดที่จะรำคาญตัวเองไม่ได้ ถ้าอยากหยุดสะอึก แค่ใช้วิธีแก้สะอึกตามนี้ รับรองว่าหายแน่ !

        อาการ สะอึก แวะเวียนมาหาทีไร นอกจากจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดแล้ว ก็ยังพาลทำให้ทุกอย่างสะดุดตามไปด้วย แถมบางทีก็พาลทำให้คนข้าง ๆ รู้สึกเหมือนจะสะอึกตามไปด้วยอีกต่างหาก ซึ่งวิธีแก้สะอึกที่เรามักจะหยิบมาใช้กันอยู่บ่อย ๆ ก็ได้แก่ การดื่มน้ำ หายใจในถุง หรือแม้แต่ทำให้คนที่สะอึกตกใจ บ้างก็หาย แต่บางคนก็กลับสะอึกหนักกว่าเก่า ครั้นจะใช้วิธีอื่นก็ไม่รู้ว่ามีวิธีไหนอีก และหากปล่อยให้สะอึกนาน ๆ ก็ไม่ดีกับร่างกาย ถ้าอย่างนั้นต้องลอง 10 วิธีแก้สะอึกอื่น ๆ ที่เราหยิบมาในวันนี้ ที่รับรองว่าทำปุ๊บหายปั๊บ กลับมาหายใจโล่งแน่นอน

1. กดจุดหยุดสะอึก

        การกดจุดหยุดสะอึกเป็นวิธีแก้สะอึกที่ค่อนข้างได้ผลชัดเจน เพราะการกดจุดจะเป็นการเบี่ยงเบนระบบประสาทจากอาการสะอึก ทำให้หยุดสะอึกได้ โดยวิธีการกดจุดนั้นมี 2 วิธีคือ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งบีบตรงเนินเนื้อใต้นิ้วโป้งแรง ๆ หรือกดจุดบริเวณร่องของรอยหยักเหนือริมฝีปากบน ก็จะช่วยทำให้หยุดสะอึกได้

2. กลืนน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล

        รสชาติเข้ม ๆ ของน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิลจะเข้าไปทำให้ปุ่มรับรสทำงานหนักขึ้น และช่วยเบี่ยงเบนระบบประสาท โดยแค่เพียงกลืนน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิล 1 ช้อนชาเข้าไป อาการสะอึกก็จะดีขึ้น แต่คนที่มีปัญหาเรื่องโรคกระเพาะก็ระวังน้ำส้มสายชูจะลงไปทำให้ระคายเคืองในท้องนะคะ

3. แลบลิ้นออกมายาว ๆ 

        จริง ๆ แล้ววิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยในกระตุ้นช่องว่างระหว่างเส้นเสียงที่นักร้องมัก จะทำเพื่อช่วยในการหายใจ สามารถทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น ซึ่งวิธีนี้ก็สามารถแก้อาการสะอึกได้เช่นกัน เพราะเมื่อสามารถหายใจได้สะดวก อาการสะอึกก็จะหายไปนั่นเอง

4. กลั้นหายใจ

        อาการสะอึกมีสาเหตุมาจากการที่กะบังลมเกิดการหดตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ระบบการหายใจเกิดความผิดปกติ ซึ่งการกลั้นหายใจจะช่วยให้ร่างกายมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น และส่งผลให้กะบังลมคลายตัว ทำให้การสะอึกลดลง โดยการกลั้นหายใจนี้ควรกลั้นหายใจไว้เพียง 10 วินาทีแล้วค่อยหายใจออก จากนั้นหายใจเข้าลึก ๆ หากยังไม่หายก็สามารถทำซ้ำได้ค่ะ

5. กินน้ำตาล

        การกินน้ำตาลเป็นวิธีแก้สะอึกที่ได้รับความนิยมและสามารถหยุดอาการสะอึกได้ ชะงัด แม้ว่าจะไม่มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจน แต่การกินน้ำตาลเข้าไปนั้น เกล็ดน้ำตาลก็จะเข้าไปทำให้หลอดอาหารเกิดอาการระคายเคือง และส่งผลให้กระบวนการควบคุมการหายใจเกิดการรีเซตตัวเอง ซึ่งก็จะทำให้อาการสะอึกหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยควรกินน้ำตาลเข้าไปแค่เพียง 1 ช้อนชาเท่านั้น เพราะถ้าหากกินมากไปอาจจะได้ผลเสียกับสุขภาพมาเป็นของแถมแทน

6. ใช้กระดาษเช็ดปากปิดตรงปากแก้ว แล้วดื่มน้ำผ่านกระดาษ

        อาจจะดูเป็นวิธีที่ค่อนข้างแปลกไปหน่อย แต่ก็สามารถช่วยแก้สะอึกได้ดีไม่น้อย เพียงนำกระดาษเช็ดปากมาปิดที่ขอบแก้วแล้วค่อย ๆ ดื่มน้ำผ่านกระดาษ ซึ่งการดื่มน้ำผ่านกระดาษเช็ดปากนี้จะทำให้เราต้องออกแรงเพื่อดูดน้ำมากขึ้น และส่งผลให้กะบังลมที่ทำงานผิดปกติกลับมาทำงานได้ดีตามเดิม ทำให้เลิกสะอึกได้ในที่สุด

7. อุดหูขณะที่ดื่มน้ำ

        การสะอึก จะทำระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจทำงานผิดปกติไปด้วย แต่ก็สามารถแก้อาการสะอึกได้ด้วยการทำให้ระบบประสาทส่วนนี้ถูกกดทับ ด้วยการอุดหูขณะที่ดื่มน้ำ และการกลืนน้ำขณะอุดหูจะช่วยให้กระบังลมกลับมาทำงานได้เป็นปกติค่ะ

8.  ดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหย

        กลิ่นที่มีความเข้มข้นสูงสามารถช่วยรีเซตระบบการหายใจที่ผิดปกติให้กลับมา เป็นปกติได้ โดยกลิ่นที่ควรใช้ควรจะเป็นกลิ่นที่ไม่รุนแรงจนเกินไป อาทิ กลิ่นน้ำมันหอมระเหย ยาดม หรือกลิ่นจากธรรมชาติอย่างกลิ่นมะนาว หรือน้ำส้มสายชู เป็นต้น

 9. กินยาลดกรด

        แร่ธาตุแมกนีเซียมที่อยู่ในยาลดกรดสามารถรักษาอาการสะอึกได้ผลเป็นอย่างดี โดยยาลกกรดนี้จะเข้าไปช่วยลดอาการระคายเคืองของเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ควบ คุมระบบการหายใจ ทำให้การหายใจที่ผิดปกติจนทำให้เกิดอาการสะอึกทำงานได้ดีขึ้น ถ้าหากคราวหน้าเกิดสะอึกก็ลองใช้วิธีนี้ช่วยก็ได้นะ

10. ทำให้เรอหรือไอ

        การไอหรือการเรอ จะไปรบกวนการทำงานของกะบังลม ส่งผลให้กะบังลมที่หดตัวอยู่จนทำให้เกิดอาการสะอึกค่อย ๆ คลายตัวออก แต่ก็อย่าเค้นคอไอจนมากเกินไป เพราะนั่นอาจจะทำให้คอเกิดอาการอักเสบได้ และการทำในแต่ละครั้งควรทำให้ห่างกันสักนิดจะดีที่สุด

        หวังว่าคนที่มีอาการสะอึกก็น่าจะสามารถแก้สะอึกได้ด้วยวิธีเหล่านี้นะ แต่ถ้าหากใช้ 10 วิธีที่แนะนำไปแล้วยังมีอาการสะอึกติดต่อกัน 2 วันละก็ ควรจะไปพบแพทย์ดีกว่า เพราะนี่อาจไม่ใช่อาการสะอึกธรรมดา แต่เป็นปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ ซึ่งนั่นอันตรายกว่าที่คิดอีกนะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ชีวจิต, Reader's digest, buzzle.com, hefactsite.com, diyhealth.com
http://health.kapook.com/view135012.html

No comments:

Post a Comment